ปรัชญาการศึกษาของประเทศไทยนั้นมีพื้นฐานมาจากพุทธปรัชญา และแบบวิถีชีวิตของพุทธศาส-นิกชนอยู่มาก ดังนั้น การศึกษาของไทยแต่เดิมจึงเป็นไปเพื่อให้คนดำรงตน ตามแบบอย่างที่ดีทางศีลธรรม มีปัญญาเลี้ยงชีพได้ และดำเนินชีวิตในสังคมอย่างสงบ ดังตัวอย่างปรากฏในกระแสพระ-บรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง การศึกษา ของประเทศสยามเมื่อ ร.ศ. ๑๒๙ (พ.ศ. ๒๔๕๓) ความว่า"...ความประสงค์จำนงหมายในการสั่งสอนฝึกหัด
กันนั้น ให้มุ่งต่อผลสำเร็จดังนี้คือ ให้เป็นผู้แสวงหาศิลปวิชา เครื่องอบรมความสามารถ และความประพฤติชอบ ให้ดำรงรักษาวงศ์ตระกูลของตน ให้โอบอ้อมอารีแก่พี่น้อง ให้มีความกลมเกลียวร่วมทุกข์ร่วมสุขกันระหว่างสามีภริยาให้มีความซื่อตรงกันในระหว่างเพื่อน ให้รู้จักกระเหม็ดกระแหม่เจียมตัว ให้มีเมตตาจิตแก่ผู้อื่นทั้งปวง ให้อุดหนุนสาธารณประโยชน์อันเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งหมด ให้ปฏิบัติตนตามพระราชกำหนดกฎหมายเมื่อถึงคราวจะต้องช่วยชาติและบ้านเมืองให้มอบกายสวามิภักดิ์กล้าหาญ และด้วยจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์อยู่ทุกเมื่อ
เมื่อใดความรู้สึกต่อหน้าที่เหล่านี้ทั้งปวงหมดได้เข้าฝังอยู่ในสันดาน จนปรากฏด้วยอาการกริยาภายนอกแล้ว เมื่อนั้นความสั่งสอนฝึกหัดเชื่อว่าสำเร็จ และผู้ใดได้เล่าเรียนถึงผลสำเร็จเช่นนี้แล้ว ผู้นั้นเชื่อว่าเป็นราษฎรอันสมควรแก่ประเทศสยามยิ่งนัก..."
ปัจจุบันนี้ การศึกษาของไทยมีแนวโน้มที่มุ่งพัฒนาชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ให้มีความสุขและอยู่ดีกินดีให้เยาวชนไทยมีความรู้และความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงตนและธำรงชาติ รู้จักคิดแก้ปัญหาแสวงหาสิ่งใหม่ที่ถูกต้องอย่างมีเหตุผล เป็นพลเมืองดีมีคุณธรรม และเป็นกำลังที่แข็งแกร่งมั่นคงของชาติไทย
การศึกษาของไทยมีประวัติสืบเนื่องมาแต่สมัยล้านนาไทย สุโขทัย และสมัยกรุงศรีอยุธยา โรงเรียนของไทยในสมัยนั้นคือ วัด พระสงฆ์เป็นครูสอนวิชาการ คือ อ่าน เขียน คิดเลข และศึกษาพระศาสนามีการสอนวิชาพิเศษ เช่น วิชาแพทย์แผนโบราณวิชาช่างศิลป์ โหราศาสตร์ และวิชาป้องกันตัว เป็นต้นต่อมาวัดยิ่งมีความสำคัญทางการศึกษามากขึ้น กุลบุตรทั้งหลายที่ต้องการเรียนหนังสือ บิดามารดาจะนำไปฝากไว้กับสมภารเจ้าวัด ให้รับใช้พระสงฆ์ หรือบวชเป็นสามเณร และพระภิกษุตามลำดับ เรียกว่า "บวชเรียน" ได้เรียนหนังสือไทย บาลี ขอม หัดคิดเลข ฝึกวิชาช่าง และวิชาชีพต่างๆ
ส่วนเด็กหญิงได้เรียนวิชาการฝีมือและการเรือนกับมารดาที่บ้าน นับว่าการศึกษาของไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยานี้ หนักไปทางวิชาอักษรศาสตร์และ วิชาช่างเป็นส่วนใหญ่ หนังสือแบบเรียนเล่มแรกของไทยเท่าที่มีปรากฏให้เห็น คือหนังสือจินดามณีซึ่งพระโหราธิบดีแต่งขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
การฝึกอาชีพในครอบครัวนั้น ได้มีการฝึกฝนและถ่ายทอดกันจากต้นตระกูลมาสู่ลูกหลาน ครอบครัวไทยจึงมีตระกูลช่าง และหมู่บ้านที่ประกอบอาชีพทางช่างอยู่มาก เช่น หมู่บ้านบาตร หมู่บ้านช่างหล่อหมู่บ้านดอกไม้ (ดอกไม้ไฟ) เป็นต้น
พระมหากษัตริย์ไทยทุกรัชกาลได้ทรงทำนุบำรุงการศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อมตลอดมา พระบรมมหาราชวังได้เป็นแหล่งวิชาการชั้นสูงในด้านอักษรศาสตร์ ศิลปกรรม และหัตถกรรม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การศึกษายังได้รับการอุปการะจากพระราชวังและวัดอยู่มาก พระราชวังเป็นสถานศึกษาของเจ้านายและลูกหลานข้าราชการ ส่วนวัดเป็นสถานที่ให้ความรู้แก่กุลบุตรทั่วไป ดังจะเห็นได้จากการที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้น ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และใน พ.ศ. ๒๓๗๙ ทรงมีพระราชโองการให้จารึกโคลงโลกนิติ และตำรายาแพทย์หลวงลงบนแผ่นหินอ่อนสำหรับประดับบนกำแพงและเสาในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงจัดการศึกษาให้เป็นระบบโรงเรียน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปมีโอกาสส่งบุตรหลานมาเรียนได้มากขึ้น โดยมุ่งฝึกหัดเล่าเรียนเพื่อจะให้รู้หนังสือ รู้จักคิดเลข และรู้ขนบธรรมเนียมราชการพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ ครั้งถึง พ.ศ. ๒๔๑๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์สอนหนังสือไทยในพระอารามหลวงทุกอาราม และทรงประกาศตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘
ผู้ที่เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรกของโรงเรียนหลวงอันเป็นโรงเรียน แห่งแรกของประเทศไทย คือ หลวงสารประเสริฐ (น้อย อาจาริยางกูร ภายหลังเป็นพระยาศรีสุนทรโวหาร) ท่านได้วางแบบแผนการสอนหนังสือไทยขึ้น โดยได้เรียบเรียบหนังสือขึ้นใหม่ชุดหนึ่ง ชื่อหนังสือมูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกรอักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ และพิศาลการันต์ ทั้งหมดนี้ว่าด้วยวิธีใช้ตัวอักษร พยัญชนะเสียงสูงต่ำ การผัน การประสมอักษรและตัวสะกดการันต์ นับว่าเป็นหนังสือแบบเรียนหลวงชุดแรกที่ใช้ในโรงเรียนสืบต่อจากหนังสือจินดามณี
การศึกษาได้เริ่มแผ่ขยายออกไปสู่ประชาชนในส่วนภูมิภาคมากขึ้น ใน พ.ศ. ๒๔๔๙ นโยบายการจัดการศึกษาได้เน้นหนักทางการสร้างความรู้ให้เหมาะกับอัตภาพของบุคคลเพื่อประกอบอาชีพได้มากกว่าที่มุ่งผลิตคนเข้ารับราชการ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เคยทรงคาดการณ์ไว้ว่า "ความทะเยอทะยานอยากเข้ารับราชการด้วยรู้หนังสือมีวุฒินี้ จะพาให้ผู้เรียนไม่สมหวังในภายหน้า" พระองค์ได้ทรงวางนโยบาย เกี่ยวกับการศึกษาไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยว่า ภารกิจของรัฐบาลจะต้องถือการให้การศึกษาแก่ประชาชนโดยทั่วถึงกันนั้นมีความสำคัญเท่ากับการปฏิรูประเบียบบริหารการปกครอง และการส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อยกระดับการครองชีพของประชาชน นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงสนับสนุนแนวทางการจัดการศึกษาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในการจัดการศึกษาส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น โดยใช้วิธีจัดทั้งปวงให้เป็นโรงเรียนทั่วไป รัฐบาลพิมพ์แบบเรียนแจกหรือจำหน่ายราคาถูก และให้มีพระสงฆ์เป็นพนักงานจัดการตรวจตราให้การสอนตามวัดเป็นไปตามแบบหลวงอย่างทั่วถึง
นับตั้งแต่นั้นมาก็ได้มีการตั้งโรงเรียนขึ้นอีกหลายประเภท เช่น
ก. โรงเรียนเชลยศักดิ์ และโรงเรียนวิเศษเชลยศักดิ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นโรงเรียนราษฎร์
ข. โรงเรียนบุรพบท โรงเรียน ก.ข. นโม และโรงเรียนไทยเบื้องต้น จัดการศึกษาในระดับประถมศึกษา
ค. โรงเรียนไทยเบื้องกลาง จัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา
ง. สากลวิทยาลัย จะจัดขึ้นเมื่อการเรียนวิชาชั้นต้นและชั้นกลางมั่นคงดี ตามแผนงานของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็น พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ กำหนดว่าจะรวมมหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นวิทยาลัยสำหรับวินัยศาสตร์ มหาธาตุ-
วิทยาลัยเป็นวิทยาลัยสำหรับกฎหมาย โรงเรียน แพทยากรเป็นวิทยาลัยสำหรับการแพทย์ และตั้ง วิทยาลัยอื่นๆ อีกตามสมควรรวมเป็นรัตนโกสินทรสากลวิทยาลัย นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนแบบพิเศษ เช่น โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์และโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการ
พลเรือน โรงเรียนการเพาะปลูก โรงเรียนสุศิลป์ เป็นต้น
การศึกษาของไทยมีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุง ให้เหมาะสม กับสภาพความต้องการของบ้านเมืองและความต้องการของประชาชนตลอดมา เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ ทำให้มีการเก็บเงินศึกษาพลีสำหรับใช้จ่ายในการตั้งและดำเนินงานโรงเรียนประชาบาล และทำให้ได้จัดการศึกษาภาคบังคับขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั้งที่อยู่ในเมืองและในชนบทได้เล่าเรียนเสมอกัน
การศึกษาขั้นสูงในศาสตร์สาขาวิชาเฉพาะเริ่มได้รับการวางรากฐาน และปรับปรุงให้ได้มาตรฐานทัดเทียมนานาประเทศ นักวิชาการได้หันมาสนใจจัดตั้งโรงเรียนแบบพิเศษ เพื่อให้การศึกษาเฉพาะอย่าง เช่น โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ โรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน โรงเรียนการเพาะปลูก โรงเรียนสุศิลป์ โรงเรียนกฎหมาย และโรงเรียนแพทย์ เป็นต้น
การศึกษาวิชากฎหมายได้รับการฟื้นฟูอย่างจริงจังเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้ทรงก่อตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นและทรงบรรยายวิชากฎหมายทุกวัน จนได้มีผู้เรียนสำเร็จเป็นบัณฑิตไทยรุ่นแรกในปีเดียวกันนั้นถึง ๙ คน โรงเรียนกฎหมายแห่งนี้ ต่อมาได้เจริญมาเป็นโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม อีกทั้งเป็นต้นกำเนิดของคณะนิติศาสตร์และสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
ทางด้านการศึกษาแพทย์นั้น ย่อมเว้นเสียมิได้ที่จะกล่าวถึงสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ครั้งทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามหิดลอดดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์พระองค์ได้ทรงเป็นผู้วางรากฐานทางการศึกษาวิชาแพทย์ และการศึกษาวิชาพยาบาลไว้อย่างมั่นคงด้วยพระอุตสาหะและพระปรีชาสามารถ ทรงเป็นกำลังสำคัญในการปรับปรุงและขยายงานโรงเรียนแพทย์ และโรงเรียนพยาบาลศิริราช ทรงร่วมวางหลักสูตรสำหรับนักเรียนแพทย์ทั้งทางด้านวิชาการและปฏิบัติการ ทรงปรับปรุงวิธีการสอน จัดวัสดุการสอน เตรียมอาจารย์และประสานงานกับหน่วยงานอื่นทุกด้าน ได้พระราชทานทุนทรัพย์ และทรงส่งเสริมการค้นคว้าทดลองทางการแพทย์ในประเทศไทย จนนับได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งการศึกษาแพทย์โดยแท้
แนวความคิดในการจัดการศึกษาสำหรับทวยราษฎร์ได้พัฒนามาเป็นลำดับ ตัวอย่างที่พอจะยกมาอ้างถึง ได้แก่ แนวความคิดของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ที่ได้เสนอไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ ว่า การศึกษาสำหรับชาติที่จะให้ราษฎรได้เรียนทั่วหน้าตามควรแก่อัตภาพนั้น จะมีแต่ฝ่ายสามัญศึกษาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีวิสามัญศึกษาสอนวิชากสิกรรมหัตถกรรม และพาณิชยการด้วย หากทำได้ดังนี้การศึกษาสำหรับชาติจึงจะชื่อว่าได้เขยิบความรู้แห่งชาติให้สูงขึ้นพร้อมกันทั้งหมด
ส่วนพระยาเทพศาสตรสถิตย์ ได้เสนอแนวความคิดว่าวิธีที่จะแก้ปัญหาคนทิ้งไร่นามารับราชการนั้น จะต้องจัดการศึกษาโดยการสั่งสอนและฝึกอบรมให้นักเรียนประถมศึกษาในโรงเรียนประชาบาลทั่วประเทศรักการทำงานด้วยมือ และมีนิสัยปัจจัยในงานกสิกรรม ซึ่งมีมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษและแก้ไขให้ดีขึ้นด้วยการใช้วิทยาศาสตร์ทางเกษตรเข้าช่วยเพื่อเพิ่มผลผลิตอีกด้วย แนวความคิดในเรื่องนี้ยังเป็นที่เรียกร้องให้ปฏิบัติกันอย่างจริงจังจนถึงปัจจุบัน
แม้ว่าการจัดการศึกษาของไทยจะได้รับการปรับปรุงส่งเสริมมาเพียงใดก็ตาม ประชาชนก็ยังคงนิยมการเรียนทางฝ่ายสามัญมากกว่าการเรียนทางวิชาชีพ ดังจะเห็นได้จากการจัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งได้จัดคู่ขนานกันไปทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ตามแผนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๗๙ แต่ก็มีผู้เข้าเรียนในโรงเรียนอาชีวศึกษาชั้นต้นและชั้นกลางน้อยลง จนถึงกับต้องยุบเลิกเป็นบางโรง
ปัจจุบันนี้ การจัดการศึกษาทั้งในระบบโรงเรียน และนอกระบบโรงเรียน ต่างก็มีการจัดหลักสูตรให้มีลักษณะผสมผสานระหว่างความรู้ทางวิชาการและความชำนาญทางวิชาชีพ รวมทั้งต้องฝึกหัดอบรม ให้ผู้เรียนมีคุณธรรมและวัฒนธรรม เพื่อความเป็น คนไทยอย่างสมบูรณ์
หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษาได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย เทศบาล สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ ทบวงมหาวิทยาลัย และหน่วยงานราชการต่างๆ ที่จัดการศึกษาเพื่อจุดประสงค์เฉพาะกิจ เช่น กระทรวงกลาโหมจัดการศึกษาให้แก่นักเรียนนายทหารเหล่าต่างๆ เป็นต้น
การศึกษา
การศึกษา, การศึกษา หมายถึง, การศึกษา คือ, การศึกษา ความหมาย, การศึกษา คืออะไร
การศึกษา, การศึกษา หมายถึง, การศึกษา คือ, การศึกษา ความหมาย, การศึกษา คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!