
มีการใช้ปอให้เป็นประโยชน์มาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เมื่อประมาณ ๖๗๐ ปีมาแล้ว เชือกปอในสมัยนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของราษฎรจึงมีการจารึกลงในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๗ ก ซึ่งขุดพบที่วัดมหาธาตุหรือวัดสระศรี เรียกว่า "ปอฟั่น" ในสมัยนั้นใช้ในรูปปอกลีบ นำมาทำเชือกสำหรับมัดสิ่งของและผูกสัตว์เลี้ยง เพราะในสมัยนั้นไม่มีการใช้กระสอบสำหรับบรรจุอาหารและธัญพืช เมื่อประเทศเจริญรุ่งเรืองขึ้นมีการขนส่งระยะไกล ตลอดจนธัญพืชและผลิตผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้น จึงเริ่มมีการใช้กระสอบตามหลักฐานพบว่า ใน พ.ศ. ๒๔๗๐ ประเทศไทยสั่งกระสอบเข้าเป็นมูลค่า ๙ ล้านบาท และต้องใช้เพิ่มขึ้นเพราะผลิตผลข้าวเพิ่มขึ้น กรมเกษตรในสมัยนั้นก็ได้สำรวจ แหล่งปลูกปอกระเจาและทดลองทำปอฟอกใน พ.ศ. ๒๔๘๒ ที่สถานีทดลองภาค ๔ (สุโขทัย) ตลอดจนส่งเสริมให้ทำเส้นใยปอฟอก แต่ไม่สำเร็จ เพราะราคาเส้นใยปอฟอกต่ำกว่าปอกลีบ
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๘๔ รัฐบาลมีนโยบายจะตั้งโรงงานทอกระสอบขึ้นในประเทศ จึงให้กรมเกษตรและกรมพาณิชย์ส่งเสริมการปลูกและรับซื้อเส้นใยปอฟอก จนถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลจึงตั้งโรงงานทอกระสอบแห่งแรกขึ้นที่ ตำบลบางกระสอ จังหวัดนนทบุรี ชื่อ "โรงงานทอกระสอบป่าน กรมโรงงานอุตสาหกรรม" ดำเนินกิจกรรมเป็นรัฐวิสาหกิจในการควบคุมของกระทรวงอุตสาหกรรม ผลิตกระสอบ ผ้า กระสอบ ผ้าเฮซเซียน (ผ้ากระสอบที่ต้องทอหน้ากว้าง บางกว่าผ้ากระสอบทั่วไป ต้องใช้ปอคุณภาพดี) ด้าย และเชือก ต่อมามีการตั้งโรงงานทอกระสอบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดอิ่มตัว
เพราะมีเส้นใยสังเคราะห์เป็นคู่แข่ง ใน พ.ศ. ๒๕๑๖ มีพื้นที่ปลูกปอเพิ่มขึ้นถึง ๒.๗ ล้านไร่ ผลิตผลเส้นใยมีถึง ๔.๖๘ แสนตัน หลังจากนั้น โรงงานทอกระสอบบางรายต้องปิดกิจการและเปลี่ยนผู้ดำเนินการ มีผลทำให้ราคาเส้นใยปอตกต่ำ และพื้นที่ปลูกลดลงเรื่อย ๆ บางปีถึงกับต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศโรงงานทอกระสอบป่านแห่งแรกของประเทศไทยได้ปิดกิจการลงเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๓
ปัจจุบันมีโรงงานทอกระสอบที่ยังเปิด ดำเนินการอยู่เพียง ๙ โรง เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบ ซึ่งต้องการปีละ ๒๒๐,๐๐๐-๒๕๐,๐๐๐ ตัน จำเป็นต้องสั่งซื้อปอคุณภาพสูงจากบังกลาเทศเข้ามาอีกปีละประมาณ ๔๖,๐๐๐ ตัน (พ.ศ. ๒๕๓๕) นอกจากนี้ยังต้องการต้นปอแห้งอีกปีละ ๒๐๐,๐๐๐ ตันเพื่อใช้ในการผลิตเยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์ของปอที่ผลิตได้ร้อยละ ๔๕ ใช้ภายในประเทศไทยโดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ร้อยละ ๙๗ เป็นกระสอบใช้บรรจุสินค้าทางการเกษตร และจำแนกเป็นกระสอบร้อยละ ๔๐ และเป็นเส้นเชือกร้อยละ ๖๐ มีประเทศในกลุ่มตลาดร่วมยุโรป ซาอุดีอาระเบีย และญี่ปุ่น เป็นประเทศผู้สั่งซื้อรายใหญ่ การผลิตกระสอบเพื่อใช้ในประเทศมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมีการแข่งขันกับกระสอบพลาสติกใยสังเคราะห์ และมีการเปลี่ยนแปลงระบบการขนส่ง