เท่าที่ได้กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าการแพทย์ของไทยโบราณ แม้จะได้รับความรู้มาจากประเทศที่ก้าวหน้าไปบ้างในทางการแพทย์ เช่นประเทศอินเดียและประเทศจีน ความรู้ที่ได้มาดูจะหนักไปในการรักษาทางยา มากกว่าวิชาการทางศัลยกรรม เพราะผู้ที่จะเป็นศัลยแพทย์ได้ดีจำเป็นจะต้องมีความรู้เรื่องร่างกายของมนุษย์ดีด้วย เมื่อความรู้ทางพื้นฐานไม่แน่นพอ การที่นำวิชาการไปถ่ายทอดต่อไปจึงไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เข้าใจว่าการรักษาโรคภัยไข้เจ็บในสมัยสุโขทัยคงเป็นการรักษาโดยใช้ยาเป็นวิธีการที่สำคัญ แม้กระนั้นเท่าที่ได้สืบค้นมาถึงขณะนี้ ยังไม่พบบันทึกใดที่เกี่ยวกับการใช้ยาหรือวิธีการใดในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บในสมัยสุโขทัยหรือก่อนหน้านั้น แต่มีหลักฐานอยู่ประการหนึ่งซึ่งยังเป็นที่โต้เถียงกันมาก คือได้พบแผ่นหินที่มีช่องเจาะและมีรอยเท้า ๒ ข้างเหมือนฝาปิดส้วมซึมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ขณะนี้ชิ้นหนึ่งยังตั้งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติรามคำแหงจังหวัดสุโขทัย นายแพทย์สำราญ วังสพ่าห์ เข้าใจว่าเป็นฝาส้วมจริงๆ ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่าประชาชนในกรุงสุโขทัย มีความก้าวหน้าในเรื่องสุขภาพอนามัยยิ่งกว่าชาวชนบทในปัจจุบัน คือรู้จักควบคุมอุจจาระไม่ให้แพร่กระจาย อันเป็นสาเหตุของโรคที่พบในปัจจุบันหลายโรค แต่บางท่านก็ไม่เชื่อ กลับไปอธิบายว่าเป็นฐานรองรับศิวลึงค์ในลัทธิฮินดู ผู้เขียนทดลองไปนั่งดู เท้าทั้งสองข้างวางได้ที่ แต่เกิดสงสัย เพราะถ้าถ่ายอุจจาระจริงๆ อุจจาระจะเลยรูที่เจาะไว้
การแพทย์ที่ใช้อยู่ในสมัยสุโขทัยคงสืบต่อมาจนถึงสมัยอยุธยา และอาจสืบต่อมาถึงปัจจุบันด้วย เพราะตำรายาไทยที่พบและใช้มากมายก็เป็นตำรับที่สืบต่อกันมา ไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าได้มีผู้ใดตั้งตำรับประสมยาขนานใดขนานหนึ่งขึ้นใหม่ แต่ตำรับยาแต่ละตำรับก็สืบเนื่องกันมาตามการอบรมการเป็นแพทย์ในสมัยนั้นๆ คือการแพทย์แผนโบราณ ไม่ปรากฏมีโรงเรียนและมีหลักสูตรแน่นอน การจะเป็นแพทย์ก็คือเข้าไปฝึกฝนกับอาจารย์คนใดคนหนึ่งโดยตรง แบบชีวกโกมารภัจจ์ที่เดินทางไปศึกษาที่เมืองตักกสิลา ศึกษากับอาจารย์คนใดคนหนึ่งตามความรู้ความชำนาญของอาจารย์คนนั้น ซึ่งผิดกับการอบรมแพทย์ตามแผนปัจจุบันมาก เพราะเมื่อได้จำแนกวิชาลงไปแล้ว โรงเรียนแพทย์แผนปัจจุบันก็หาอาจารย์มาสอนเฉพาะแขนงวิชานั้นๆ ไม่ได้มอบหมายศิษย์คนใดคนหนึ่งกับอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งอบรมสั่งสอนตลอด หลักสูตรของการเรียนแพทย์ แพทย์ที่เป็นอาจารย์จึงอาจฝึกฝนในวิชาของตนให้มีความรู้กว้างขวางขึ้น แต่ก็ไม่อาจจะรู้ไปทุกแขนงวิชาของการแพทย์ ความรู้อาจจะก้าวหน้าจริงตามความสามารถ ความชำนาญและการสืบสวนค้นคว้าของอาจารย์ แต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดวิชาที่ตนรู้ทั้งหมดแก่ศิษย์คนใดคนหนึ่งได้ เพราะเขาจะไปเล่าเรียนกับอาจารย์คนอื่นๆ ในแขนงวิชาต่างๆ จนจบหลักสูตรการแพทย์ ต่อจากนั้นจึงจะมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งตามความสมัครใจของศิษย์ผู้นั้นภายหลังเมื่อสำเร็จแพทย์แล้ว แม้ในหนังสือบางเล่มจะกล่าวถึงวิธีการเรียนแพทย์แผนโบราณว่า คล้ายการแพทย์แผนปัจจุบัน คือ มีการเพ่งเล็งสมุฏฐานของโรคว่า คือสาเหตุการเกิดโรคในการทายโรคและวินิจฉัยโรค แต่การแพทย์แผนปัจจุบันแม้จะศึกษาสาเหตุของการเกิดโรคเช่นกัน แต่ก็พิจารณาการเป็นโรค นอกจากสาเหตุแล้วยังพิจารณาอวัยวะที่เป็นโรคไปพร้อมกันด้วย สมุฏฐานของโรคในการแพทย์แผนโบราณไม่ได้เพ่งเล็งที่อวัยวะหรือแม้จะเพ่งเล็งก็น้อยมาก ฉะนั้นจึงจัดสมุฏฐานออกเป็น ธาตุสมุฏฐาน คือ สมุฏฐานของการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนของธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน (ปัถวีธาตุ) ธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) ธาตุลม (วาโยธาตุ) และธาตุไฟ (เตโชธาตุ) แม้จะมีฤดูสมุฏฐาน คือ สาเหตุจากความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ อายุสมุฏฐาน คืออายุของบุคคลมีความโน้มเอียงที่จะเกิดโรคต่างๆ ได้ และ กาล สมุฏฐาน คือ โรคซึ่งเกิดขึ้นตามเวลาแห่งวัน ทั้ง ๓ สมุฏฐานที่ กล่าวก็เป็นเพียงข้อปลีกย่อยที่นำไปประกอบธาตุสมุฏฐานทั้ง ๔ ดังตัวอย่างที่ย่อจากคู่มือการศึกษาวิชาเวชกรรม (พ.ศ. ๒๕๑๓) ต่อไปนี้
กองที่ ๒ กองอุตุสมุฏฐาน (ฤดูสมุฏฐาน) แปลว่า ฤดูเป็นที่ตั้งที่ แรกเกิดของโรค แบ่งออกเป็น ๓ หมวด ...... หมวดที่ ๒ ในปีหนึ่ง แบ่ง ๔ ฤดู เป็นฤดูละ ๓ เดือน ฤดูที่ ๑ นับจากขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ เดือน ๖ ถึงสิ้นเดือน เป็นสมุฏฐานเตโชธาตุ ...... หมวดที่ ๓ ในปีหนึ่งแบ่ง ๖ ฤดู เป็นฤดูละ ๒ เดือน ฤดูที่ ๕ นับจากแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ถ้าเป็นไข้เป็นเพื่อวาโย ธาตุ เสมหะและปัสสาวะ
กองที่ ๓ กองกาละสมุฏฐาน แบ่งออกเป็น ๔ ตอน (ยาม)... ตอนที่ ๔ เวลากลางวัน นับแต่ ๑๕.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น. เวลากลางคืน นับตั้งแต่ ๐๓.๐๐ น. ถึง ๐๖.๐๐ น. เป็นสมุฏฐาน วาโยธาตุ
จากตัวอย่างดังกล่าวธาตุทั้ง ๔ คือธาตุสมุฏฐานจึงเป็น รากฐานในการแพทย์แผนโบราณของไทย
ปัถวีธาตุ เป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรคมี ๒๐ อย่าง
๑. เกษา (ผม)
๒. โลมา (ขน)
๓. นขา (เล็บ)
๔. ทันตา (ฟัน)
๕. ตะโจ (หนัง)
๖. มังสัง (เนื้อ)
๗. นหารู (เส้น-เอ็น)
๘. อัฐิ (กระดูก)
๙. อัฐมัญชัง (เยื่อในกระดูก)
๑๐. วักกัง (ม้าม)
๑๑. หทยัง (หัวใจ)
๑๒. กิโลมกัง (พังผืด)
๑๓. ยกนัง (ตับ)
๑๔. ปัทถัง (ไต)
๑๕. ปับผาสัง (ปอด)
๑๖. อันตัง (ลำไส้ใหญ่)
๑๗. อันตคุนัง (ลำไส้น้อย)
๑๘. อุทริยัง (อาหารใหม่)
๑๙. กรีสัง (อาหารเก่า)
๒๐. มัตถเกมตถลุงกัง (มันสมอง)
อาโปธาตุ เป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค ๑๒ อย่าง
๑. ปิตตัง (น้ำดี)
๒. เสมหัง (น้ำเสลด)
๓. ปุพโพ (น้ำหนอง)
๔. โลหิตัง (น้ำโลหิต)
๕. เสโท (น้ำเหงื่อ)
๖. เมโท (น้ำมันข้น)
๗. อัสสุ (น้ำตา)
๘. วสา (น้ำมันเหลว)
๙. เขโฬ (น้ำลาย)
๑๐. สังฆานิกา (น้ำมูต)
๑๑. อสิกา (น้ำมันไขข้อ)
๑๒. มุตตัง (น้ำปัสสาวะ)
วาโยธาตุ เป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค ๖ อย่าง
๑. อุทธังคมาวาตา (ลมพัดขึ้น)
๒. อโธคมาวาตา (ลมพัดลง)
๓. กุจฉิสยาวาตา (ลมในท้อง)
๔. โกฏฐานยวาตา (ลมในลำไส้)
๕. อังมังคานุสาริวาตา (ลมพัดในกาย)
๖. อัสสาสะ ปัสสะวาตา (ลมหายใจ)
เตโชธาตุ เป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค ๔ อย่าง
๑. สันตัปปัคคี (ไฟสำหรับอบอุ่นกาย)
๒. ปริทัยหัคคี (ไฟสำหรับร้อนระส่ำระสาย)
๓. ธิรถอัคคี (ไฟสำหรับเผาให้ แก่คร่ำคร่า)
๔. ปริณามัคคี (ไฟสำหรับย่อยอาหาร)
รวมเป็นที่ตั้งและที่เกิดของโรค ๔๒ อย่าง แต่คำอธิบายค่อนข้างจะสับสน ทำให้ยากต่อการเรียนตามความเข้าใจของแพทย์ที่เรียนแต่การแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น มีผู้ป่วยเป็นปัถวีธาตุ พิการที่ยกนัง (ตับ) ตำราแผนโบราณอธิบายไว้ว่า ถ้ายกนังพิการ ให้ตับโต ตับย้อย ตับช้ำ ตับแข็ง และ เป็นฝีที่ตับ แต่ไม่บอกอาการอย่างอื่น กลับมากล่าวถึงอาโปธาตุพิการ ที่ปิตตัง (น้ำดี) เมื่อพิการให้ปวดศีรษะ ตัวร้อน สะท้านร้อน สะท้านหนาว ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง จับไข้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการดังที่ได้อธิบายมา ถ้าเป็นแพทย์แผนโบราณก็ต้องให้การรักษาธาตุที่พิการถึง ๒ ธาตุ คือ ปัถวีธาตุและอาโปธาตุ คือพิการทั้งตับและน้ำดี แต่ การแพทย์แผนปัจจุบันถืออาการที่เกิดจากการผิดปกติของน้ำดี เช่น มีจับไข้ ตัวร้อน สะท้านร้อน สะท้านหนาว ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง มีตับเป็นสาเหตุ การรักษาก็มุ่งหน้าไปที่ตับแห่งเดียว เมื่อตับดีขึ้น อาการที่เกิดจากน้ำดีก็พลอยกลับไปปกติด้วย
ขอลอก "ยาแก้ดีกำเริบ" ซึ่งปรากฏอยู่ใน "ตำราพระโอสถพระนารายณ์" มาให้ดูเป็นตัวอย่าง ตำราพระโอสถนี้ หมอหลวงได้ประกอบถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็น ยาหลายขนาน ปรากฏชื่อหมอและมีวันคืนที่ได้ตั้งพระโอสถนั้นๆ จดไว้ชัดเจนว่าอยู่ในระหว่างปีกุน จุลศักราช ๑๐๒๑ (พ.ศ. ๒๒๐๒) ถึงปีฉลู จุลศักราช ๑๐๒๓ (พ.ศ. ๒๒๐๔) คือ ระหว่างปีที่ ๓-๕ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตำราพระโอสถทั้งปวงนี้ พึ่งรวบรวมเข้าคัมภีร์ในชั้นหลัง อยู่ในราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ หรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
อนึ่งลักษณะดีกำเริบ ดีรั่ว ดีค่น ย่อมให้จักษุเหลือง จักษุเขียว อุจจาระปัสสาวะเนื้อก็เหลือง ให้ใจน้อย มักโกรธมักขลาด เจรจาด้วยผี ละเมอเพ้อพกคลั่งไคล้ไหลหลง เพศดังนี้ให้เร่งยาฉับพลัน
ถ้ามิถอยล่วงเข้าตรีโทษได้ จะกลายเป็นลมอัมพาต ลมราทยักษ์ ลมวิหค กำหนดยามิต้อง ๗ วันตาย
ถ้าจะยาไซ้ให้เอา หอมแดง รากขี้กาแดง รากสะอึก แก่นสนสมอไทย บรเพ็ด เสมอภาค สิ่งละตำลึง ต้ม ๔ เอา ๑ กินแก้ดีกำเริบหายแล
ถ้ามิถอยให้เอาแก่นจันทร์ กรุงเขมา แก่นสน กะพังโหม ทั้งใบทั้งรากเสมอภาค ต้ม ๔ เอา ๑ กินหายแล
ถ้าไข้นั้นให้ร้อนกระหายน้ำนัก เอาจันทร์ขาว ใบพลูแก ขิง ขันทศกร เสมอภาค ทำเป็นจุณละลาย น้ำดอกไม้เป็นกระสาย ทั้งบดละลายกิน รำหัด พิมเสนด้วย แก้ร้อนแก้กระหายน้ำแล
ถ้ามิถอยให้เอาเปลือกมะรุม ขมิ้นอ้อย พรรณผักกาดเสมอภาค น้ำดอกไม้เป็นกระสาย บดละลายกินแก้ร้อน แก้
กระหายน้ำหายแล
ถ้ามิถอยให้เอา น้ำอ้อยสด น้ำใบผักเป็ด พริกไทยรำหัดน้อยหนึ่ง กินแก้ร้อนแก้กระหายน้ำหายแล
ถ้ามิถอยให้เอา ชานอ้อย กำยาน แก่นปูนกรักชีกากรมหม้อใหม่ใส่น้ำไว้ จึงเอาดินสอพองเผาให้สุกใส่ลงในหม้อน้ำนั้น ให้คนไข้กินเนืองๆ แก้ร้อนแก้กระหายน้ำหยุดแล
เท่าที่คัดมาให้ดูนี้ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า ยาไทยให้แก้ตามอาการมากกว่าการรักษาต้นเหตุเช่นการแพทย์แผนปัจจุบัน โรคที่แพทย์แผนปัจจุบันแน่ใจว่าไม่สามารถจะรักษาให้หายได้ ก็ไม่มีทางพยุงน้ำใจผู้ป่วยหรือปลอบใจญาติผู้ป่วยได้ดีเท่าการแพทย์แผนโบราณ เพราะมียาแก้อาการตั้งแต่น้อยไปหามาก
สาเหตุที่ยาไทยขาดความศักดิ์สิทธิ์ลง อาจมีสาเหตุ ๒ ประการ ประการหนึ่งคือ บิดผันไม่บอกเล่าตัวยาที่เป็นจริงแก่กัน ดังตัวอย่างข้างล่างนี้
ในสมัยอยุธยามีหลักฐานการใช้ยาฝรั่งอยู่ในหนังสือ "ตำราพระโอสถพระนารายณ์" ขนานที่ ๗๘ ว่า
ขนานที่ ๗๘ น้ำมันมหาจักร ให้เอาน้ำมันงาทนาน ๑ ด้วย ทนาน ๖๐๐ มะกรูดสด ๑๐ ลูก แล้วจึงเอา ....... เพลิงขึ้น รุมเพลิงให้ร้อน เอาผิวมะกรูดใส่ลงให้เหลืองเกรียมดีแล้ว ยกลงกรองกากให้หมดเอาไว้ให้เย็น จึงเอาเทียนทั้ง ๕ (เทียนดำ เทียนแดงเทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั้กแตน) สิ่งละ ๒ สลึง ดีปลีบาท ๑ การบูร ๒ บาท บดจงละเอียดปรุงลงในน้ำมันนั้น ยอนหู แก้ลมแก้ริดสีดวง แก้เปื่อยคันก็ได้ ทาเมื่อยขบก็ได้ ใส่บาดแผลเจ็บปวดเสี้ยนหนามหอกดาบก็ได้ หายแล แต่อย่าให้ถูกน้ำ ๓ วัน มิเป็นปุพโพเลย ฯ
พิจารณาตามที่พรรณนาก็รู้สึกว่าว่ายาขนานนี้เป็นยาทาภายนอก แต่เหตุที่ใช้เทียนทั้ง ๕ ประสมลงไป เพราะเทียนทั้ง ๕ มีสรรพคุณภายใน คือ เทียนดำ มีสรรพคุณแก้ลมอัน บังเกิดแก่กองสมุฏฐาน ทำลายเสมหะอันผูกเป็นก้อนอยู่ในท้อง แก้โลหิตได้สมบูรณ์ เทียนแดง แก้เสมหะลมตีระคนกันซึ่งเรียกว่า สันนิบาต แก้ลมอันเสียดแทงในลำไส้ แก้ลมคลื่นเหียน เทียนขาว แก้ลมทั้งปวง ทำลายเสมหะอันผูก แก้นิ่วและมุตกิด เทียนตาตั้กแตน แก้ธาตุ ทำลายเสมหะ โลหิตกำเดาอันพิการ ให้สมบูรณ์ เทียนข้าวเปลือก ทำลายลมอันระคนกับเสมหะ แก้ลมในกองอำมพฤกษ์
นอกจากการบิดเบือนความจริงแล้ว สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ตำรายาไทยสูญหายไปมากและบางตำรับก็ใช้ไม่
ได้ผล ก็คือการปิดบังจนตำราสูญหายหรือมิฉะนั้นก็ทำลายต้นตอเสีย ไม่ให้ใครคัดลอกต่อไป
ประการสุดท้ายเป็นเพราะ ขาดการรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความชำนาญ ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างดีจะอยู่ในสมัยใกล้กับปัจจุบัน คือ สมัยที่มีการสร้างโรงศิริราชพยาบาล เมื่อสร้างเสร็จแล้วหาหมอยาไทยหรือหมอแผนโบราณมาประจำไม่ได้ เพราะแพทย์หลวงที่มีความชำนาญไม่ยอมรับมาประจำ เป็นแพทย์และเป็นอาจารย์ในโรงพยาบาล เหตุที่ไม่ยอมมาเพราะวิธีการรักษาและการใช้ยาต่างครูต่างอาจารย์ ไม่อาจรวมกันได้ ไม่สามารถจะแลกเปลี่ยนความรู้และความชำนาญของแต่ละคนที่มีสู่ซึ่งกันและกันได้