ศาสนาอิสลาม เกิดในประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดศาสนาหนึ่งของโลก ผู้ที่ได้รับศาสนาอิสลาม คือ ท่านนบี มูฮัมมัด ซึ่งเป็นศาสดาองค์สุดท้ายของโลกหลังจากนี้ไม่มีศาสดาองค์ใดอีกเลย ท่านผู้นี้เกิดที่นครมักกะฮฺ ในประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อเดือนรอบีอุลเอาวาล บิดาของท่านชื่อ อับดุลลอฮฺ มารดาชื่อ อามีนะฮฺ เมื่อท่านเกิดได้เพียง ๓ เดือน บิดาก็ถึงแก่กรรม ต่อมามารดาก็มอบให้ท่านอยู่ในความเลี้ยงดูของแม่นมชื่อ หะลีมะฮฺทั้งนี้เป็นธรรมเนียมของชาวอาหรับที่ต้องฝึกเด็กให้ชินต่อความเป็นอยู่ของชนบทและทะเลทรายเมื่ออายุได้ ๖ ขวบจึงได้กลับมาอยู่กับมารดา ในระหว่างที่มารดาพาท่านไปเยี่ยมศพบิดาที่เมืองมะดีนะฮฺ มารดาท่านก็ถึงแก่กรรม ที่เมืองมัดยัน (เมืองนี้อยู่ระหว่างนครมักกะฮฺ-มะดีนะฮฺ) นับว่าท่านกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เล็ก ต่อมาปู่ของท่านก็รับท่านไปอุปการะอยู่ได้เพียง ๒ ปี
ปู่ก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงได้อยู่ในความอุปการะของลุง ชื่ออะบู ฏอบิล เรื่อยมาจนกระทั่งได้รับฉายาว่า มูฮัมมัด-อามีน (ผู้ซื่อสัตย์) แต่เพราะความยากจนบีบบังคับ ท่านจึงต้องไปรับจ้างเป็นคนเลี้ยงแกะตั้งแต่เยาว์วัย พออายุได้ ๑๒ ขวบ ท่านก็เริ่มรู้จักความเป็นไปของโลก มีอุปนิสัยชอบคิด และชอบท่องเที่ยวไปในทะเลทรายเพื่อค้าขายตามเมืองไกลๆ
เมื่อท่านมีอายุได้ ๒๕ ปี ก็ไปรับจ้างนางเคาะดีญะฮฺ เศรษฐีนีม่ายชาวนครมักกะฮฺ จึงตั้งให้เป็นผู้คุมกองคาราวานไปค้าขายในประเทศซีเรียเนืองๆ ทำให้ท่านรู้เรื่องศาสนายิวและคริสต์ศาสนามากขึ้น ทั้งค้าขายได้กำไรมากด้วย ต่อมานางเคาะดีญะฮฺ ซึ่งมีอายุแก่กว่าท่าน ๑๕ ปี ก็ได้ขอแต่งงานกับท่าน และมีบุตรด้วยกัน ๖ คน เป็นชาย ๒ หญิง ๔แต่บุตรชายได้เสียชีวิตหมดตั้งแต่เยาว์วัย
เมื่ออายุได้ ๔๐ ปี ท่านได้ปลีกตนไปเข้าสมาธิในถ้ำเขา "หิรอ" เป็นประจำอยู่เนืองๆคืนหนึ่งท่านได้รับวะฮฺญู (แต่งตั้ง) จากญิบรออีล ด้วยคำกล่าวว่า "โอ้มูฮัมมัด จงอ่านเถิดด้วยพระนามแห่งอัลอฮฺ ผู้ทรงสร้างมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก คือพระเจ้าผู้ทรงเกียรติผู้ทรงสอนมนุษย์ให้รู้ในสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้" ทั้งๆ ที่ท่านอ่านไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา (นบี) ผู้สอนศาสนา ซึ่งท่านได้ทำหน้าที่ประกาศสอนศาสนาในครอบครัวของท่านก่อน และค่อยๆขยายวงกว้างออกไปยังเพื่อนฝูงและญาติมิตร โดยสอนให้เคารพและกราบไหว้ต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าองค์เดียว (พระเจ้าคือผู้สร้าง) ห้ามกราบไหว้รูปเคารพและสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ด้วยคำประกาศห้ามนี้เป็นเหตุให้มีอุปสรรคในการเผยแผ่ศาสนาท่านต้องทิ้งภูมิลำเนาระหกระเหินไปอยู่ตามป่าตามเขา เกือบจะเสียชีวิตหลายครั้ง
ท่านศาสดามูฮัมมัด ต้องทำสงครามขับเคี่ยวอยู่กับพวกกุยรัยซีหลายครั้งหลายหน ในที่สุดก็เป็นฝ่ายมีชัยชนะอย่างเด็ดขาด และสามารถรวบรวมแคว้นต่างๆ เป็นอาณาจักรของชาวอาหรับขึ้นในโลก พวกที่ถือศาสนาอิสลามจึงยกท่านขึ้นเป็น "คอลีฟะฮฺ" แม้จะเป็นคอลีฟะฮฺแล้ว แต่ท่านยังคงปฏิบัติตนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คงประทับอยู่ในเรือนหลังเล็กๆอย่างสามัญชน และยังคงใช้ผ้าคลุมพระเศียรอยู่อย่างเดิม ไม่ทรงเปลี่ยนไปใช้มงกุฎ ทรงใช้สุเหร่าเป็นที่รับแขกเมือง ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้นับถือศาสนาอิสลามทั้งหลายมีความจงรักภักดีต่อพระองค์มากขึ้นอีก พระองค์ทรงปกครองประเทศอาหรับและสอนศาสนาจนสิ้นพระชนม์ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๖๓ ปี ทรงสอนศาสนาอยู่ในนครมักกะฮฺ ประมาณ ๑๓ ปี แล้วต้องอพยพจากนครมักกะฮฺไปสู่เมืองมะดีนะฮฺ และได้ทำการสอนอยู่ที่นั่นอีก ๑๐ ปี รวมเวลาสอนศาสนาทั้งสิ้น๒๓ ปี
ในศาสนาอิสลามไม่มีคำสอนเรื่องกรรม เรื่องเวียนว่ายตายเกิด ถือว่าโลกนี้มีผู้สร้างโลกนี้จึงมีวันแตกดับ วันแตกดับของโลก เรียกว่า "วันสุดท้าย" ในคัมภีร์อัล-กุรอาน บอกไว้ว่าในวันสุดท้ายนั้น จะมีเสียงกัมปนาทและสรรพสิ่งในโลกจะหายไปหมด น้ำในทะเลจะเหือดแห้งภูเขาจะแตกกระจายเช่นฝุ่นละออง ระบบของโลกจะสับสนมาก
ผู้ที่ถือศาสนาอิสลามทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงจะต้องทำ นมาซ คือ การเคารพหรือนมัสการพระเจ้าวันละ ๕ ครั้ง คือ ในเวลาเช้า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นหนึ่งเวลา คล้อยบ่ายราวบ่ายโมงครึ่งหนึ่งเวลา บ่ายประมาณ ๓ โมงครึ่งหรือบ่าย ๔ โมงหนึ่งเวลา หลังพระอาทิตย์ตกดินหนึ่งเวลา และเวลาค่ำ ราว ๒ ทุ่ม หนึ่งเวลา
นอกจากนั้นก็มีการถือศีลอดหรือถือบวช ปีหนึ่งมี ๒๙-๓๐ วัน ซึ่งผู้ที่ถือศาสนาอิสลามไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือยาจกจะต้องกระทำเช่นเดียวกันหมด การถือศีลอดนี้ ห้ามบริโภคอาหาร น้ำ ห้ามประพฤติในด้านกามารมณ์ ห้างล่วงเกินกันไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจาหรือทางใจ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก การถือศีลอดเป็นการทดลองและฝึกหัดร่างกายเมื่อยามหิวให้หวนระลึกถึงสภาพของผู้ยากจน เป็นการขัดเกลาจิตให้ผ่องใส ให้มีคุณธรรม
ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ถ้ามีความสามารถเพียงพอจะต้องไปประกอบพิธีหัจญ์ที่นครมักกะฮฺ ประมาณวันที่ ๘-๙-๑๐-๑๑-๑๒-๑๓ของเดือนซุลหิจญะฮฺของทุกๆปี ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างภราดรภาพในระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วย ณที่นั้นจะมีประชาชนชาติต่างๆ ไม่ว่ามั่งมีหรือยากจน ผิวขาวหรือผิวดำ ฯลฯ มาร่วมชุมนุม
พบปะกันในเวลาทำหัจญ์ ผู้ที่ได้ทำหัจญ์แล้ว เรียกว่า หัจญี
ในศาสนาอิสลามมีข้อห้ามเด็ดขาดอยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ
๑. การรับประทานเนื้อหมูและสัตว์ตายเองซึ่งมิได้เชือด และเลือดของสัตว์
๒. การให้เงินกู้คิดดอกเบี้ย (เพราะศาสนาอิสลามสอนให้คนร่ำรวยช่วยเหลือคนยากจน)
๓. การเสพสุรา และสิ่งเสพติดทั้งหลายที่ให้โทษต่อร่างกาย แม้บุหรี่
๔. การเล่นการพนัน และการเสี่ยงทายทุกชนิด
สถานที่สำคัญที่สุดของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามก็คือ วิหารอัลกะบะฮฺ ซึ่งอยู่ที่นครมักกะฮฺ ในวิหารนี้มีก้อนหินดำอยู่ตรงมุมหนึ่งของวิหารอัลกะบะฮฺ เรียกว่า ฮายารอลอัสวัดเวลาที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามไปทำพิธีหัจญ์ที่เมืองเมกกะ ก็ทำที่วิหารอัลกะบะฮฺ นี้เองนอกจากนั้นก็มีเมืองเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่ผู้นับถือศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลามต่างก็เคารพนับถือด้วยกัน เยรูซาเล็มได้กลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของอิสลามอีกแห่งหนึ่งหลังจากที่อาหรับยึดเมืองนี้ได้ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๑๘๐ เป็นต้นมา แต่บัดนี้อยู่ในความยึดครองของยิวนอกจากสถานที่ ๒ แห่งนี้แล้ว ก็ปรากฏว่ามีสุเหร่าซึ่งเป็นที่ประชุมทำศาสนกิจของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม สุเหร่ามีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งที่มีประชาชนนับถือศาสนานี้
ในศาสนาอิสลามไม่มีนิกายใดๆทั้งสิ้น ทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามจักต้องปฏิบัติตามคัมภีร์อัล-กุรฺอานและซุนนะฮฺของท่านนบีมูฮัมมัด เพียง ๒ อย่างนี้เท่านั้น ผู้ใดไปนับถือและเชื่อในสิ่งอื่นนอกเหนือจาก ๒ อย่างนี้ถือว่าผิด ไม่ถูกต้อง การกระทำนั้นๆ จะไม่ได้รับผลตอบแทน (สูญเปล่า) ให้ระมัดระวังมากๆ อิสลามสอนให้เรียนรู้ก่อนทำสิ่งใดๆ
ในประเทศไทย มีผู้นับถือศาสนาอิสลามประมาณ ๕ ล้านคนเศษ คิดเป็นร้อยละประมาณ ๑๐% ของพลเมืองทั้งประเทศ โดยมีคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินงาน นอกจากนั้นก็มีกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และกรรมการมัสยิด (สุเหร่า) อื่นๆ รวมกว่า ๕,๐๐๐ แห่งโดยประมาณ
ศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลาม, ศาสนาอิสลาม หมายถึง, ศาสนาอิสลาม คือ, ศาสนาอิสลาม ความหมาย, ศาสนาอิสลาม คืออะไร
ศาสนาอิสลาม, ศาสนาอิสลาม หมายถึง, ศาสนาอิสลาม คือ, ศาสนาอิสลาม ความหมาย, ศาสนาอิสลาม คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!