ความรู้ เกร็ดความรู้ สารานุกรม สารานุกรมออนไลน์ ความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป พจนานุกรม เกมส์ เพลงใหม่ เพลง

ศาสนาอิสลาม, ศาสนาอิสลาม หมายถึง, ศาสนาอิสลาม คือ, ศาสนาอิสลาม ความหมาย, ศาสนาอิสลาม คืออะไร
| เปิดอ่าน 0 | ความคิดเห็น 0
ศาสนาอิสลาม

          ศาสนาอิสลาม  เกิดในประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดศาสนาหนึ่งของโลก   ผู้ที่ได้รับศาสนาอิสลาม  คือ  ท่านนบี  มูฮัมมัด ซึ่งเป็นศาสดาองค์สุดท้ายของโลกหลังจากนี้ไม่มีศาสดาองค์ใดอีกเลย ท่านผู้นี้เกิดที่นครมักกะฮฺ ในประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อเดือนรอบีอุลเอาวาล บิดาของท่านชื่อ   อับดุลลอฮฺ มารดาชื่อ  อามีนะฮฺ  เมื่อท่านเกิดได้เพียง ๓ เดือน  บิดาก็ถึงแก่กรรม ต่อมามารดาก็มอบให้ท่านอยู่ในความเลี้ยงดูของแม่นมชื่อ หะลีมะฮฺทั้งนี้เป็นธรรมเนียมของชาวอาหรับที่ต้องฝึกเด็กให้ชินต่อความเป็นอยู่ของชนบทและทะเลทรายเมื่ออายุได้  ๖  ขวบจึงได้กลับมาอยู่กับมารดา  ในระหว่างที่มารดาพาท่านไปเยี่ยมศพบิดาที่เมืองมะดีนะฮฺ มารดาท่านก็ถึงแก่กรรม  ที่เมืองมัดยัน (เมืองนี้อยู่ระหว่างนครมักกะฮฺ-มะดีนะฮฺ) นับว่าท่านกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เล็ก ต่อมาปู่ของท่านก็รับท่านไปอุปการะอยู่ได้เพียง ๒ ปี
ปู่ก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงได้อยู่ในความอุปการะของลุง  ชื่ออะบู ฏอบิล  เรื่อยมาจนกระทั่งได้รับฉายาว่า มูฮัมมัด-อามีน (ผู้ซื่อสัตย์) แต่เพราะความยากจนบีบบังคับ  ท่านจึงต้องไปรับจ้างเป็นคนเลี้ยงแกะตั้งแต่เยาว์วัย พออายุได้ ๑๒ ขวบ   ท่านก็เริ่มรู้จักความเป็นไปของโลก  มีอุปนิสัยชอบคิด และชอบท่องเที่ยวไปในทะเลทรายเพื่อค้าขายตามเมืองไกลๆ
          เมื่อท่านมีอายุได้  ๒๕   ปี  ก็ไปรับจ้างนางเคาะดีญะฮฺ เศรษฐีนีม่ายชาวนครมักกะฮฺ จึงตั้งให้เป็นผู้คุมกองคาราวานไปค้าขายในประเทศซีเรียเนืองๆ ทำให้ท่านรู้เรื่องศาสนายิวและคริสต์ศาสนามากขึ้น  ทั้งค้าขายได้กำไรมากด้วย ต่อมานางเคาะดีญะฮฺ  ซึ่งมีอายุแก่กว่าท่าน ๑๕  ปี  ก็ได้ขอแต่งงานกับท่าน และมีบุตรด้วยกัน ๖ คน  เป็นชาย ๒ หญิง ๔แต่บุตรชายได้เสียชีวิตหมดตั้งแต่เยาว์วัย
         เมื่ออายุได้  ๔๐ ปี  ท่านได้ปลีกตนไปเข้าสมาธิในถ้ำเขา "หิรอ" เป็นประจำอยู่เนืองๆคืนหนึ่งท่านได้รับวะฮฺญู (แต่งตั้ง) จากญิบรออีล ด้วยคำกล่าวว่า "โอ้มูฮัมมัด จงอ่านเถิดด้วยพระนามแห่งอัลอฮฺ ผู้ทรงสร้างมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก คือพระเจ้าผู้ทรงเกียรติผู้ทรงสอนมนุษย์ให้รู้ในสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้" ทั้งๆ ที่ท่านอ่านไม่ออก  เขียนก็ไม่ได้ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา (นบี) ผู้สอนศาสนา ซึ่งท่านได้ทำหน้าที่ประกาศสอนศาสนาในครอบครัวของท่านก่อน และค่อยๆขยายวงกว้างออกไปยังเพื่อนฝูงและญาติมิตร โดยสอนให้เคารพและกราบไหว้ต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าองค์เดียว (พระเจ้าคือผู้สร้าง) ห้ามกราบไหว้รูปเคารพและสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ด้วยคำประกาศห้ามนี้เป็นเหตุให้มีอุปสรรคในการเผยแผ่ศาสนาท่านต้องทิ้งภูมิลำเนาระหกระเหินไปอยู่ตามป่าตามเขา  เกือบจะเสียชีวิตหลายครั้ง
          ท่านศาสดามูฮัมมัด  ต้องทำสงครามขับเคี่ยวอยู่กับพวกกุยรัยซีหลายครั้งหลายหน ในที่สุดก็เป็นฝ่ายมีชัยชนะอย่างเด็ดขาด   และสามารถรวบรวมแคว้นต่างๆ เป็นอาณาจักรของชาวอาหรับขึ้นในโลก   พวกที่ถือศาสนาอิสลามจึงยกท่านขึ้นเป็น "คอลีฟะฮฺ"   แม้จะเป็นคอลีฟะฮฺแล้ว   แต่ท่านยังคงปฏิบัติตนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คงประทับอยู่ในเรือนหลังเล็กๆอย่างสามัญชน และยังคงใช้ผ้าคลุมพระเศียรอยู่อย่างเดิม ไม่ทรงเปลี่ยนไปใช้มงกุฎ  ทรงใช้สุเหร่าเป็นที่รับแขกเมือง    ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้นับถือศาสนาอิสลามทั้งหลายมีความจงรักภักดีต่อพระองค์มากขึ้นอีก  พระองค์ทรงปกครองประเทศอาหรับและสอนศาสนาจนสิ้นพระชนม์ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๖๓ ปี ทรงสอนศาสนาอยู่ในนครมักกะฮฺ ประมาณ ๑๓ ปี แล้วต้องอพยพจากนครมักกะฮฺไปสู่เมืองมะดีนะฮฺ และได้ทำการสอนอยู่ที่นั่นอีก  ๑๐  ปี  รวมเวลาสอนศาสนาทั้งสิ้น๒๓  ปี
          ในศาสนาอิสลามไม่มีคำสอนเรื่องกรรม  เรื่องเวียนว่ายตายเกิด  ถือว่าโลกนี้มีผู้สร้างโลกนี้จึงมีวันแตกดับ วันแตกดับของโลก   เรียกว่า "วันสุดท้าย"  ในคัมภีร์อัล-กุรอาน บอกไว้ว่าในวันสุดท้ายนั้น จะมีเสียงกัมปนาทและสรรพสิ่งในโลกจะหายไปหมด  น้ำในทะเลจะเหือดแห้งภูเขาจะแตกกระจายเช่นฝุ่นละออง  ระบบของโลกจะสับสนมาก
          ผู้ที่ถือศาสนาอิสลามทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงจะต้องทำ   นมาซ   คือ   การเคารพหรือนมัสการพระเจ้าวันละ ๕  ครั้ง  คือ  ในเวลาเช้า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นหนึ่งเวลา   คล้อยบ่ายราวบ่ายโมงครึ่งหนึ่งเวลา  บ่ายประมาณ  ๓  โมงครึ่งหรือบ่าย  ๔ โมงหนึ่งเวลา หลังพระอาทิตย์ตกดินหนึ่งเวลา  และเวลาค่ำ  ราว  ๒  ทุ่ม  หนึ่งเวลา
          นอกจากนั้นก็มีการถือศีลอดหรือถือบวช  ปีหนึ่งมี  ๒๙-๓๐  วัน  ซึ่งผู้ที่ถือศาสนาอิสลามไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือยาจกจะต้องกระทำเช่นเดียวกันหมด  การถือศีลอดนี้   ห้ามบริโภคอาหาร  น้ำ  ห้ามประพฤติในด้านกามารมณ์ ห้างล่วงเกินกันไม่ว่าจะทางกาย   ทางวาจาหรือทางใจ    ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก การถือศีลอดเป็นการทดลองและฝึกหัดร่างกายเมื่อยามหิวให้หวนระลึกถึงสภาพของผู้ยากจน   เป็นการขัดเกลาจิตให้ผ่องใส  ให้มีคุณธรรม
          ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามทุกคน   ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ถ้ามีความสามารถเพียงพอจะต้องไปประกอบพิธีหัจญ์ที่นครมักกะฮฺ ประมาณวันที่ ๘-๙-๑๐-๑๑-๑๒-๑๓ของเดือนซุลหิจญะฮฺของทุกๆปี  ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างภราดรภาพในระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วย ณที่นั้นจะมีประชาชนชาติต่างๆ  ไม่ว่ามั่งมีหรือยากจน   ผิวขาวหรือผิวดำ ฯลฯ มาร่วมชุมนุม
พบปะกันในเวลาทำหัจญ์  ผู้ที่ได้ทำหัจญ์แล้ว  เรียกว่า  หัจญี

         ในศาสนาอิสลามมีข้อห้ามเด็ดขาดอยู่  ๔  ประการด้วยกัน  คือ
         ๑. การรับประทานเนื้อหมูและสัตว์ตายเองซึ่งมิได้เชือด  และเลือดของสัตว์
         ๒. การให้เงินกู้คิดดอกเบี้ย (เพราะศาสนาอิสลามสอนให้คนร่ำรวยช่วยเหลือคนยากจน)
         ๓. การเสพสุรา  และสิ่งเสพติดทั้งหลายที่ให้โทษต่อร่างกาย แม้บุหรี่
         ๔. การเล่นการพนัน และการเสี่ยงทายทุกชนิด
          สถานที่สำคัญที่สุดของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามก็คือ   วิหารอัลกะบะฮฺ ซึ่งอยู่ที่นครมักกะฮฺ  ในวิหารนี้มีก้อนหินดำอยู่ตรงมุมหนึ่งของวิหารอัลกะบะฮฺ เรียกว่า ฮายารอลอัสวัดเวลาที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามไปทำพิธีหัจญ์ที่เมืองเมกกะ ก็ทำที่วิหารอัลกะบะฮฺ   นี้เองนอกจากนั้นก็มีเมืองเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่ผู้นับถือศาสนายิว ศาสนาคริสต์  และศาสนาอิสลามต่างก็เคารพนับถือด้วยกัน  เยรูซาเล็มได้กลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของอิสลามอีกแห่งหนึ่งหลังจากที่อาหรับยึดเมืองนี้ได้ตั้งแต่  พ.ศ. ๑๑๘๐  เป็นต้นมา  แต่บัดนี้อยู่ในความยึดครองของยิวนอกจากสถานที่  ๒ แห่งนี้แล้ว  ก็ปรากฏว่ามีสุเหร่าซึ่งเป็นที่ประชุมทำศาสนกิจของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม สุเหร่ามีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งที่มีประชาชนนับถือศาสนานี้
          ในศาสนาอิสลามไม่มีนิกายใดๆทั้งสิ้น ทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามจักต้องปฏิบัติตามคัมภีร์อัล-กุรฺอานและซุนนะฮฺของท่านนบีมูฮัมมัด เพียง ๒ อย่างนี้เท่านั้น ผู้ใดไปนับถือและเชื่อในสิ่งอื่นนอกเหนือจาก ๒ อย่างนี้ถือว่าผิด ไม่ถูกต้อง การกระทำนั้นๆ จะไม่ได้รับผลตอบแทน (สูญเปล่า) ให้ระมัดระวังมากๆ อิสลามสอนให้เรียนรู้ก่อนทำสิ่งใดๆ
          ในประเทศไทย   มีผู้นับถือศาสนาอิสลามประมาณ  ๕  ล้านคนเศษ คิดเป็นร้อยละประมาณ   ๑๐%  ของพลเมืองทั้งประเทศ  โดยมีคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินงาน นอกจากนั้นก็มีกรรมการอิสลามประจำจังหวัด   และกรรมการมัสยิด (สุเหร่า)   อื่นๆ รวมกว่า ๕,๐๐๐  แห่งโดยประมาณ 

ศาสนาอิสลาม, ศาสนาอิสลาม หมายถึง, ศาสนาอิสลาม คือ, ศาสนาอิสลาม ความหมาย, ศาสนาอิสลาม คืออะไร

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

บทความอื่น ของสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 4

สารานุกรมเล่มอื่นๆ

คำยอดฮิต

Sanook.commenu