ได้มีการจัดการศึกษาพิเศษมาเป็นเวลานานแล้ว แต่มิได้บังคับให้เด็กไทยทุกคนต้องเข้าเรียน จนกระทั่งใน
ปี พ.ศ.๒๔๗๘ ได้มีการตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาภาคบังคับ แต่ให้การยกเว้นแก่เยาวชนผู้พิการไม่ต้องเข้าเรียน จนกระทั่งต่อมาเมื่อได้มีการเปลี่ยนมาใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งกำหนดให้เด็กทุกคนเข้ารับการศึกษา ทำให้ผู้ปกครองที่ไม่ต้องการให้เด็กพิการเข้าเรียนต้องยื่นคำร้องขอยกเว้นจึงจะได้รับการยกเว้น ทั้งนี้เพราะกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้จัดการสอนเยาวชนผู้พิการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๒ พบว่าเยาวชนพิการสามารถเรียนได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กพิการประเภทใด
การศึกษาพิเศษของประเทศไทย ได้เริ่มขึ้นเมื่อมีสุภาพสตรีตาบอดชาวอเมริกันชื่อ นางสาวเจเนวีฟ คอลฟิลด์ (Geneviev Caulifield) (พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๑๕) เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ซึ่งเป็นระยะเวลาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยได้ร่วมกับเพื่อนคนไทยและชาวอเมริกัน นำคนไทยตาบอดคนหนึ่งมาเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนให้ฝึกหัดอ่านและเขียนอักษรเบรลล์ ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยการฝึกหัดทำงานการฝีมือ เช่น ถักนิตติ้ง โครเชต์ฝึกทำงานบ้านและงานในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการทำอาหาร จนกระทั่งต่อมาจำนวนคนตาบอดที่เข้ามารับการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนมีเพิ่มมากขึ้น จึงได้มีการจัดตั้งเป็นโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ พร้อมๆ กับจัดตั้งมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ฉะนั้นจึงจัดได้ว่าการจัดการศึกษาพิเศษในประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒
การศึกษาสำหรับเยาวชนผู้พิการตาบอดได้มีความเจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน มีโรงเรียนพิเศษอีกหลายแห่งถือกำเนิดขึ้น คือโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โรงเรียนการศึกษาคนตาบอด จังหวัดขอนแก่น โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่ พัทยานอกจากนี้ยังได้จัดให้เยาวชนผู้พิการตาบอดเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติในระดับชั้นมัธยมศึกษาตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ที่โรงเรียนเซนต์คาเบียลกรุงเทพฯ จน
ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ กรมสามัญศึกษาได้รับความช่วยเหลือจาก มูลนิธิอเมริกันเพื่อคนตาบอดโพ้นทะเล (American Foundation for Overseas Blind) จัดทำโครงการทดลองให้เด็กตาบอดเรียนร่วมกับเด็กปกติในโรงเรียนระดับประถมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร และได้ขยายโครงการออกสู่ภูมิภาคในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ แต่ต่อมาก็ล้มเลิกไปด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณและสภาพครอบครัวของเด็กตาบอดแต่ในกรุงเทพมหานครก็ยังดำเนินการต่อไป และต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๐ กองการศึกษาพิเศษก็ได้รับอนุมัติงบประมาณให้ดำเนินการขยายโอกาสให้เด็กตาบอดเรียนร่วมในโรงเรียนปกติระดับประถมศึกษาในสังกัดกองศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ และสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร ตามกำลังงบประมาณที่กำหนดไว้ในแผนการพัฒนาการศึกษาระยะที่ ๕ และ ๖ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๓๔
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้มีการจัดตั้ง "ศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มเด็กตาบอดและครอบครัว" ขึ้นที่วิทยาลัยครูสวนดุสิต เพื่อให้บริการแก่ครอบครัวที่มีลูกตาบอดและแก่เด็กตาบอดอายุ ๐-๗ ปี โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระตุ้นพัฒนาการเด็กตาบอด และส่งเสริมให้พ่อแม่สามารถเลี้ยงลูกตาบอดได้อย่างถูกวิธีเพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กเหล่านี้ คือให้สามารถเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติได้เร็วขึ้น และปีการศึกษา ๒๕๓๔ นี้ ก็ได้ทดลองนำเด็กตาบอดและเด็กเห็นเลือนลางเข้าเรียนร่วมในระดับชั้นอนุบาลที่โรงเรียนสาธิตอนุบาลละอออุทิศ
นอกจากความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษาแล้ว ก็ยังมีการขยายงานช่วยเหลือบุคคลตาบอดในด้านอาชีพด้วย กล่าวคือ ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพคนตาบอดขึ้นหลายแห่ง ในปัจจุบันมีนักเรียนตาบอดที่มีความสามารถเรียนได้ในระดับสูงทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ในสถาบันต่างๆทั้งของรัฐและเอกชน เช่น วิทยาลัยครูสวนดุสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นต้น
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ กรมสามัญศึกษาได้รับอนุมัติให้จัดตั้งหน่วยทดลองสอนเยาวชนหูหนวกขึ้นเป็นครั้งแรก โดยอาศัยห้องเรียน ๑ ห้องเรียนของโรงเรียนเทศบาล ๑๗ วัดโสมนัสวิหารกรุงเทพมหานคร ต่อมามีจำนวนเด็กมากขึ้นจึงได้จัดตั้ง "มูลนิธิเศรษฐเสถียร" ในปี พ.ศ.๒๔๙๕ เพื่อร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการจัดตั้ง "โรงเรียนสอนคนหูหนวก" ในปี
พ.ศ.๒๔๙๖ คุณหญิงโต๊ะ นรเนติบัญชากิจ ได้บริจาคที่ดินพร้อมอาคารตึกให้เป็นสถานที่เรียน ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนเศรษฐเสถียร" ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้มีการยกเลิกมูลนิธิเศรษฐเสถียรและจัดตั้งเป็น "มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก" แทน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้โปรดเกล้าฯ ทรงรับมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนคนหูหนวกทุ่งมหาเมฆ ในกรุงเทพมหานครปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆ" และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ จนถึงปัจจุบันนี้ กระทรวงศึกษาธิการก็ได้เปิดโรงเรียนพิเศษสำหรับสอนเยาวชนผู้พิการหูหนวกอีกหลายแห่งทั่วประเทศ เช่น โรงเรียนสอนคนหูหนวกขอนแก่น โรงเรียนสอนคนหูหนวกตากโรงเรียนสอนคนหูหนวกสงขลา เป็นต้น สำหรับโรงเรียนสอนคนหูตึงชลบุรี โรงเรียนโสตศึกษาจำปา กรุงเทพมหานคร และโรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโรงเรียนที่รับเด็กหูตึงที่สูญเสียการได้ยินไม่เกิน ๘๕ เดซิเบล สามารถใช้เครื่องช่วยฟังและใช้วิธีการสอนพูดกับเด็กเหล่านี้
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ กรมการฝึกหัดครูอนุมัติให้วิทยาลัยครูสวนดุสิต จัดตั้งศูนย์ทดลองสอนเด็กหูพิการชั้นเด็กเล็ก ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ก็ได้จัดให้เด็กอนุบาลปกติเข้ามาเรียนร่วมกับเด็กอนุบาลหูตึง และต่อมาก็ได้ส่งเด็กหูตึงเข้าเรียนร่วมในระดับชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนปกติ ที่กองการศึกษาพิเศษได้จัดการสอนที่โรงเรียนพญาไท เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖
ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นมา กระทรวงศึกษาธิการได้ขยายโครงการสอนเด็กหูตึงเรียนร่วมในระดับประถมศึกษาออกไปอีกหลายแห่ง เช่น โรงเรียนอนุบาลสามเสน โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ โรงเรียนอนุบาลวัดนางนองในกรุงเทพมหานคร และในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้ขยายโครงการออกสู่ภูมิภาคที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์สกลนคร จังหวัดสกลนคร และโรงเรียนจิตต์อารี จังหวัดลำปาง เป็นต้น
การศึกษาพิเศษสำหรับเยาวชนผู้พิการทางร่างกายในประเทศไทยนั้น ได้เริ่มโดยกรมสามัญศึกษา อนุมัติให้กองการศึกษาพิเศษจัดทำโครงการสอนเด็กเจ็บป่วยด้วยโรคโปลิโอในโรงพยาบาลในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ทั้งนี้เพราะระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๔ - พ.ศ. ๒๔๙๕ โรคไขสันหลังอักเสบ (โปลิโอ) ระบาดในประเทศไทย ทำให้มีเด็กเจ็บป่วยด้วยโรคนี้เป็นจำนวนมาก จึงมีกลุ่มบุคคลคณะหนึ่งจัดตั้งมูลนิธิสงเคราะห์คนพิการขึ้น เพื่อช่วยเหลือในการฟื้นฟูสมรรถภาพให้แก่เด็กเหล่านี้ ให้สามารถอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาลได้สะดวกขึ้น ต่อมาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์มูลนิธินี้ จึงได้ชื่อว่า "มูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระบรมราชินูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี"
ต่อมามีเด็กจำนวนหนึ่งที่สามารถกลับบ้านได้ แต่แพทย์ให้มารับการตรวจรักษาอีกเป็นครั้งคราว พร้อมทั้งให้เข้ารับการฟื้นฟูบำบัดสมรรถภาพเป็นประจำเกือบทุกวัน เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กยากจน และมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดและไกลจากโรงพยาบาลศิริราชในกรุงเทพมหานคร ทางมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการจึงได้จัดตั้ง "ศูนย์บริการเด็กพิการ" ที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ จำนวนเด็กที่ศูนย์บริการเด็กพิการมีจำนวนมากขึ้น และเด็กจำเป็นต้องได้รับการศึกษาให้สามารถกลับไปเรียนต่อที่โรงเรียนเดิมได้โดยไม่ต้องหยุดเรียนหรือกลับไปเรียนซ้ำชั้น ทางมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการจึงได้จัดตั้ง "โรงเรียนสอนเด็กพิการ" ขึ้นโดยมีบุคลากรจากกองการศึกษาพิเศษไปทำหน้าที่เป็นผู้บริหารและทำการสอนทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น
ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ กระทรวงศึกษาธิการได้อนุมัติเงินก่อสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติม และในโอกาสนี้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพระราชทานชื่อโรงเรียนว่า "โรงเรียนศรีสังวาลย์"
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ที่ได้มีการเริ่มจัดทำโครงการสอนเด็กเจ็บป่วยด้วยโรคโปลิโอในโรงพยาบาลนั้น ก็ได้มีการดำเนินการมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้รวมเอาเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเลือด โรคไต โรคเบาหวาน ที่ต้องรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานานติดต่อกันเข้ามาในโครงการจัดการศึกษาดังกล่าวด้วย และในปัจจุบันก็ได้มีการขยายโครงการไปที่โรงพยาบาลอื่นๆทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและภูมิภาค เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลมหาราชที่จังหวัดเชียงใหม่ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ และโรงพยาบาลขอนแก่นที่จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น และยังมีแผนที่จะขยายสู่โรงพยาบาลในส่วนภูมิภาคให้มากขึ้นต่อไปอีก
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๙ - พ.ศ. ๒๕๐๐ ผู้ที่เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกได้ทำการสำรวจจำนวนบุคคลปัญญาอ่อนในประเทศไทย โดยวิธีสุ่มตัวอย่าง ปรากฏว่ามีบุคคลพิการทางสติปัญญาประมาณร้อยละ ๑ ของพลเมืองทั้งประเทศกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จึงขอจัดตั้งโรงพยาบาลปัญญาอ่อนขึ้น ในปี พ.ศ.๒๕๐๓ และได้มีการจัดตั้ง "มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์" ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ก็ได้จัดชั้นเรียนพิเศษขึ้นในโรงพยาบาล เพื่อสอนเด็กปัญญาอ่อนอายุระหว่าง ๗ - ๑๘ ปี โดยจัดเด็กเรียนตามระดับความสามารถ คือ ระดับเรียนได้ ระดับฝึกได้และระดับปัญญาอ่อนรุนแรง และในปี พ.ศ.๒๕๐๗ พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนาถ มาเปิดโรงเรียนซึ่งพระราชทานนามว่า "โรงเรียนราชานุกูล" ที่ได้พระราชทานรายได้จากการฉายภาพยนต์ส่วนพระองค์ จัดสร้างอาคารเรียนให้ภายในบริเวณโรงพยาบาล
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้จัดตั้ง "โรงเรียนปัญญาวุฒิกร" สำหรับเด็กพิการทางสติปัญญาระดับเรียนได้ เป็นโรงเรียนพิเศษสำหรับเด็กประเภทนี้เป็นแห่งที่ ๒ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ทางโรงเรียนและมูลนิธิฯ ได้ขยายงานโดยจัดตั้งโรงงานในอารักษ์ฝึกอาชีพคนปัญญาอ่อนขึ้นที่โรงเรียนปัญญาวุฒิกร และที่ศูนย์วิชาชีพหญิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมและยังได้มีการขยายงานไปสู่ส่วนภูมิภาคโดยจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อนในภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดอุบลราชธานีใน
พ.ศ. ๒๕๒๖ และในภาคใต้ที่จังหวัดสงขลาในปี พ.ศ. ๒๕๓๐
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ กรมสามัญศึกษาได้รับโอนโรงเรียนกาวิละวิทยา กองทัพบกอุปถัมภ์และเปิดเป็นโรงเรียนสอนเด็กปัญญาอ่อนขึ้นโดยใช้ชื่อว่า "โรงเรียนกาวิละอนุกูล จังหวัดเชียงใหม่" ได้รับนักเรียนปกติที่อยู่ใกล้โรงเรียนเข้าเรียนร่วมกับเด็กปัญญาอ่อนด้วย
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้จัดตั้ง "ศูนย์ฝึกเด็กปัญญาอ่อนประภาคารปัญญา" เพื่อฝึกเด็กปัญญาอ่อนรุนแรง ศูนย์ตั้งอยู่ที่ถนนปิ่นเกล้านครชัยศรี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และต่อมาในปี
พ.ศ. ๒๕๒๗ มูลนิธิฯ ก็ได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กปัญญาอ่อนวัยก่อนเข้าเรียน ในชุมชนคลองเตย กรุงเทพมหานคร เพื่อฝึกอบรมและกระตุ้นพัฒนาการด้านต่างๆ และเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กเหล่านี้ก่อนเข้าเรียน
ใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ กองการศึกษาพิเศษกรมสามัญศึกษา ได้จัดตั้ง "โรงเรียนอนุบาลปัญญานุกูล" จังหวัดอุบลราชธานี โดยรับโอนมาจากโรงเรียนบ้านคำไฮวิทยา จากกองการมัธยมศึกษา
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อน ก็ได้เริ่มโครงการจัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพแบบโรงงานในอารักษ์ที่นนทนิเวศน์ จังหวัดนนทบุรีเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพแก่บุคคลพิการทางสติปัญญาวัยผู้ใหญ่
สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่เป็นเด็กเรียนช้านั้น ก็ได้มีการจัดการศึกษาพิเศษให้ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ โดยกรมสามัญศึกษา จัดเป็นชั้นเรียนพิเศษในโรงเรียนปกติในเขตกรุงเทพมหานคร ๔ แห่ง คือ ที่โรงเรียนพญาไท โรงเรียนวัดชนะสงคราม โรงเรียนวัดนิมมานรดี และโรงเรียนวัดหนัง ต่อมาได้ขยายออกไปอีก ๕ แห่ง และในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้มีบางโรงเรียนยกเลิกโครงการไป แต่กรมสามัญศึกษาก็ยังสงวนไว้ ๕ แห่ง คือ โรงเรียนวัดชนะสงคราม โรงเรียนพญาไท โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ โรงเรียนวัดหนัง และโรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาส
ในปัจจุบัน ได้มีการขยายโอกาสให้เด็กพิการทางสติปัญญาทั้งประเภทเรียนช้าและปัญญาอ่อนระดับเรียนได้ ในระดับประถมศึกษาออกไปอีกหลายแห่งทั้งในกรุงเทพมหานคร ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถม-ศึกษาแห่งชาติ และโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์สังกัดกองการศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา รวมทั้งในต่างจังหวัดอีกหลายแห่ง เช่น กาญจนบุรีเลย สุราษฎร์ธานี และนครราชสีมา
ประเทศไทย
ประเทศไทย, ประเทศไทย หมายถึง, ประเทศไทย คือ, ประเทศไทย ความหมาย, ประเทศไทย คืออะไร
ประเทศไทย, ประเทศไทย หมายถึง, ประเทศไทย คือ, ประเทศไทย ความหมาย, ประเทศไทย คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!