
คำสั่งสอนในพระไตรปิฎก มีคุณค่าสูงในการยกระดับความประพฤติทางกายวาจาและยกระดับคุณธรรมทางจิตใจให้สูงขึ้น มีคำสอนที่อำนวยประโยชน์แก่บุคคลทั่วไป เช่น ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เรียกว่าประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ที่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานที่เรียกว่าประโยชน์อนาคตเพราะช่วยให้มีความเจริญยั่งยืนติดต่อไปนานไกล ไม่ล่มสลายเสียเพราะความประพฤติชั่วช้าทุจริต และประโยชน์ สูงสุดที่เรียกว่าประโยชน์อย่างยิ่ง สามารถดับความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งปวงได้เพราะคุณธรรมคือการละเว้นความชั่ว การประพฤติความดี และการชำระจิตใจของตนให้สะอาด
เพื่อความเข้าใจชัดเจนขึ้นในคุณค่าของพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นที่รวมแห่งคำสอนทางพระพุทธศาสนา จะขอสรุปลักษณะคำสั่งสอนย่อ ๆ มากกล่าวไว้ในที่นี้พร้อมทั้งแสดงหลักฐานว่านำมาจากพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี บอกเล่ม ข้อและหน้าเป็นตัวเลขไว้ด้วย ดังต่อไปนี้
ลักษณะคำสั่งสอนทั่วไปในพระไตรปิฎก
(จะนำมากล่าวโดยสังเขปเพียง ๙ ข้อ)
๑. ให้มีระเบียบวินัย มีจรรยามารยาท มีสมบัติผู้ดี
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒ ตลอดเล่มกับในเล่มอื่น ๆ ทั่วไป)
๒. ให้มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และต่อโลก
ไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๕ - ๖ หน้า๓ - ๔ มงคลสูตร เล่ม ๑๑ ข้อ ๑๗๒ - ๒๐๖หน้า ๑๙๔ - ๒๐๗ สิงคาลกสูตร เล่ม ๒๑ ข้อ๑๘๖ หน้า ๒๔๓) โดยเฉพาะจากเล่ม ๒๑ ขอนำใจความย่อมากล่าวดังนี้ : ภิกษุผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก ย่อมไม่คิดเบียดเบียนตน ผู้อื่นทั้งตนและผู้อื่น เมื่อคิดย่อมคิดสิ่งเกื้อกูล แก่ตนเอง แก่ผู้อื่น แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น และ แก่โลกทั้งโลก
๓. ให้กตัญญูรู้คุณและกตเวทีตอบแทนคุณท่านผู้มีพระคุณ ให้บำรุงเลี้ยงมารดาบิดา(พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ สิงคาลกสูตร : เล่ม ๒๕ มงคลสูตร : และเล่ม ๒๐ ข้อ ๑๖๔ หน้า ๑๐๙)
๔. ให้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้านเอาชนะความทุกข์ยากและอุปสรรค (พระไตรปิฎกเล่ม ๑๕ ข้อ ๘๔๓ หน้า ๓๑๕ และใกล้เคียง เช่นว่าจะล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร คนหมั่นขยันย่อมหาทรัพย์ได้ เป็นต้น) นอกจากนี้ยังมีคำสอนเรื่องความเพียรอีกมากกว่าพระไตรปิฎกเล่มอื่น ๆ เพราะความเพียรเป็นเหตุให้บรรลุความสำเร็จผลอันสำคัญประการหนึ่ง
๕. ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต ละอายใจและรังเกียจกลัวที่จะทำความชั่วใด ๆ ถือว่าถ้าใครมีคุณธรรมคือความละอายใจและความรังเกียจกลัวต่อการทำความชั่วนี้ ผู้นั้นได้ชื่อว่ามีคุณธรรมของเทวดาและมีคุณธรรมระดับใช้ปกครองโลกได้ทั้งโลกที่เรียกว่าโลกบาล (พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๖ หน้า ๓ และเล่ม๒๐ ข้อ ๒๕๕ หน้า ๖๕ ว่าด้วยเรื่องเทวธรรมคือธรรมะที่ทำคนให้เป็นเทวดาโดยไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน และธรรมะที่เป็นโลกบาลคือ(คุ้มครองโลก)
๖. ให้มีความอดทนอดกลั้น ไม่อ่อนแอไม่วู่วาม เช่น อดทนต่อความลำบากตรากตรำอดทนต่อทุกขเวทนา อดทนต่อถ้อยคำล่วงเกินเป็นต้น (พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๒๔ หน้า๔๐ ; ข้อ ๖ หน้า ๔ ; เล่ม ๒๐ ข้อ ๔๑๐ หน้า๑๑๘ ; เล่ม ๑๕ ข้อ ๘๔๕ หน้า ๓๑๖)
๗. ให้มีเมตตาคือไมตรีจิตคิดจะให้เป็นสุข ให้มีกรุณาคือคิดช่วยให้พ้นทุกข์ ให้มีมุทิตาพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ไม่ริษยาและให้มีอุเบกขารู้จักวางใจเป็นกลางไม่ลำเอียง ตามความเหมาะสมและถือว่าเป็นพรหมวิหารธรรมคือธรรมประจำใจของผู้ใหญ่หรือผู้ประเสริฐ คนธรรมดาถ้ามีคุณธรรมเหล่านี้ก็เป็นพระพรหมโดยคุณธรรมได้ (พระไตรปิฎกเล่ม ๒๑ ข้อ ๑๙๐ หน้า ๒๔๙)
๘. ให้รู้จักทำใจให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ความสงบนี้เรียกว่าสมถะบ้าง เรียกว่าสมาธิบ้าง
๙. ให้รู้จักทำปัญญาให้เกิดขึ้น ด้วยการคิด ด้วยการฟัง อ่าน หรือศึกษาเล่าเรียนด้วยการลงมือปฏิบัติ หรืออบรมให้เกิดปัญญา ปัญญานี้เรียกว่าญาณความรู้บ้าง วิปัสสนาความเห็นแจ่มแจ้งบ้าง คำสอนทั้งข้อ ๘ และข้อ ๙ นี้เป็นข้อปฏิบัติอบรมจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดผ่านคลายความโลภหรือเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวผ่อนคลายความโกรธ และผ่อนคลายความหลงเป็นเหตุให้ระงับดับความทุกข์ได้
คำสอนทั้ง ๒ ข้อคือข้อ ๘ กับข้อ ๙เรื่องให้ทำจิตให้สงบ และเรื่องทำให้เกิดปัญญานี้ถือว่าเป็นคำสอนให้ปฏิบัติเพื่อคลายทุกข์ บางครั้งพระพุทธเจ้าทรงย่ออริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นชอบ เป็นต้น มีความตั้งใจมั่นชอบเป็นข้อสุดท้ายลงในคุณธรรมเพียง ๒ ข้อคือสมถะหรือสมาธิข้อหนึ่ง กับวิปัสสนาหรือปัญญาอีกข้อหนึ่ง (พระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ ข้อ ๒๗๕หน้า ๗๗ -๗๘ ; เล่ม ๑๙ ข้อ ๑๙๔ หน้า ๗๘และข้อ ๑,๖๕๔ หน้า ๕๒๐)