เมื่อต้นรัตนโกสินทร์ นับจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ ณ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๕ นอกจากจะต้องทรงสร้างบ้านสร้างเมืองให้เหมือนกับเมื่อครั้งบ้านเมืองยังดี เพื่อบำรุงขวัญอาณาประชาราษฎร์แล้ว ยังต้องทรงเตรียมการสำหรับป้องกันภัยจากข้าศึกศัตรูภายนอก อันมีพม่าเป็นสำคัญอีกด้านหนึ่งด้วย
การณ์ก็เป็นไปอย่างที่ทรงคาดคิด เพราะหลังจากสร้างพระนครได้เพียง ๓ ปี เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการสมโภชในปีพุทธศักราช ๒๓๒๘ พม่าก็ยกทัพใหญ่เข้ามาถึง ๙ ทัพ โดยกำหนดให้ทัพต่างๆ เข้าตีหัวเมืองทั้งหัวเมืองฝ่ายเหนือ หัวเมืองปักษ์ใต้ฝั่งตะวันตก และเข้าตีกรุงเทพฯ ซึ่งพระเจ้าปดุงกำหนดให้ตีพระนครให้แตกพ่ายเพื่อจะได้มีพระเกียรติยศเลื่องลือเหมือนดังที่พระเจ้าบุเรงนองแห่งกรุงหงสาวดีเคยตีได้กรุงศรีอยุธยา
ศึกเก้าทัพนี้เองที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้จารึกวีรกรรมของสตรีสองพี่น้องแห่งเมืองถลางซึ่งได้นำชาวเมืองต่อสู้กองทัพพม่าปกป้องบ้านเมืองให้รอดพ้นจากการถูกยึดครองอย่างองอาจกล้าหาญจนข้าศึกต้องถอยทัพกลับไป เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นเป็นท้าวเทพ กระษัตรีและท้าวศรีสุนทร เพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและประกาศเกียรติคุณในความกล้าหาญ เรื่องราววีรกรรมของสองวีรสตรีแห่งเมืองถลางในครั้งนั้นเป็นความภาคภูมิใจที่จารึกในความทรงจำของชาวเมืองและของชาวไทยทั้งชาติตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
อนึ่ง เพื่อให้การศึกษาประวัติชีวิตของบุคคลซึ่งได้รับการยกย่องขึ้นเป็นวีรบุรุษวีรสตรีของชาติ มีความเป็นเหตุเป็นผลที่ศึกษาและเข้าใจได้ มิใช่เป็นแต่เพียงคำสรรเสริญอย่างไร้หลักฐาน จึงขอนำข้อมูลประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวชีวิตและเหตุการณ์ของ ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร มาเสนอไว้ดังต่อไปนี้
ท้าวเทพกระษัตรี มีนามเดิมว่า "จัน" ส่วนท้าวศรีสุนทร มีนามเดิมว่า "มุก" เป็นบุตรีของเจ้าเมืองถลาง มีชื่อเรียกตามถิ่นที่ตั้งของเมืองถลางสมัยนั้นซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านตะเคียนว่า จอมร้างบ้านตะเคียน มารดามีเชื้อสายเจ้าเมืองไทรบุรี จันและ
มุกมีน้องสาวน้องชายร่วมบิดามารดาอีก ๓ คน คือ หมา อาด และเรือง
ท้าวเทพกระษัตรีหรือจัน เกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาราวปีพุทธศักราช ๒๒๘๐ เมื่อเจริญวัยเป็นสาวได้สมรสครั้งแรกกับหม่อมศรีภักดี บุตรจอมนายกองเมืองนครศรีธรรมราช และเมื่อหม่อมศรีภักดีถึงแก่กรรม ได้กลับมาเมืองถลาง ได้สมรสใหม่กับพระพิมลอดีตเจ้าเมืองกระชุมพร มีบุตรชายหญิงรวม ๕ คน คือ ปราง เทียน ทอง จุ้ย และเนียม พระพิมลสามีของท่านเคยออกไปเป็นเจ้าเมืองพัทลุงระยะหนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นเจ้าเมืองถลางต่อจากพระยาถลาง ซึ่งเป็นน้องชายท้าวเทพกระษัตรี
ส่วนท้าวศรีสุนทรหรือมุก ไม่พบหลักฐานรายละเอียดเกียวกับชีวิตครอบครัว บ้างว่าสมรสกับอาจ เป็นพระปลัดแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน และบ้างก็ว่าท่านน่าจะมิได้สมรส ดังนั้นในส่วนของรายละเอียดหลักฐานที่ปรากฏ จึงเป็นเรื่องราวของท้าวเทพ กระษัตรีเสียเป็นส่วนใหญ่
สำหรับเหตุการณ์วีรกรรมของท่านทั้งสองตามที่มีบันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มีความดังนี้
"...ฝ่ายกองทัพพม่าซึ่งพระเจ้าอังวะให้ยกลงไปตีหัวเมืองไทยฝ่ายตะวันตกตามชายทะเลนั้นก็ยกกองทัพบกเรือลงไปพร้อมกันอยู่ ณ เมืองมะริด แต่เดือนอ้าย ปีมะเส็ง สัปตศก (พ.ศ. ๒๓๒๘) แกงวุ่นแมงยี่ แม่ทัพใหญ่จึงให้ยี่วุ่น เป็นนายทัพถือพล ๓,๐๐๐ กับนายทัพนายกองทั้งปวง ยกทัพเรือลงไปทางทะเลไปตีเมืองถลาง แล้วให้เนมโยคุงนรัดเป็นทัพหน้า กับนายทัพนายกองทั้งปวงถือพล ๒,๕๐๐ ยกทัพบกมาทางเมืองกระบุรี เมืองระนอง เข้าตีเมืองชุมพร ตัวแกงวุ่นแมงยี่แม่ทัพใหญ่ถือพล ๔,๕๐๐ ยกหนุนมาทั้ง ๒ ทัพ เป็นคน ๗,๐๐๐..."
"...ฝ่ายยี่วุ่นแม่ทัพเรือพม่าก็ยกทัพเรือลงไปตีเมืองตะกั่วป่าตะกั่วทุ่งแตก แล้วยกไปถึงเกาะถลาง ให้พลทหารขึ้นบกเข้าตั้งค่ายล้อมเมืองถลางไว้เป็นหลายค่าย และเมื่อกองทัพพม่าไปถึงเมืองนั้น พระยาถลางถึงแก่กรรมเสียก่อนแล้ว ยังหาได้ตั้งเจ้าเมืองใหม่ไม่ และจันภรรยาพระยาถลางกับน้องหญิงคนหนึ่งชื่อมุก คิดอ่านกับกรมการทั้งปวง เกณฑ์ไพร่พลตั้งค่ายใหญ่สองค่าย ป้องกันรักษาเมืองเป็นสามารถ และตัวภรรยาพระยาถลางกับน้องผู้หญิงนั้น องอาจกล้าหาญมิได้เกรงกลัวย่อท้อต่อข้าศึก เกณฑ์กรมการกับพลทหารทั้งชายหญิง ออกระดมยิงปืนใหญ่น้อยนอกค่ายสู้รบกับพม่าทุกวัน ทัพพม่าจะหักเอาเมืองมิได้ แต่สู้รบกันอยู่ประมาณเดือนเศษ พม่าขัดเสบียงอาหาร จะหักเอาเมืองมิได้ ก็เลิกทัพลงเรือกลับไป..."
จากศึกถลางครั้งนี้แม้บ้านเมืองจะรอดจากการยึดครองของพม่าไปได้ แต่ก็มีสภาพบอบช้ำจากภัยสงครามอย่างมาก ท่านผู้หญิงจันต้องรับภาระกอบกู้สถานการณ์ทุกด้าน ตั้งแต่การจัดหาข้าวปลาอาหารสำหรับชาวเมือง ไปจนถึงการฟื้นฟูการประกอบอาชีพ การทำมาหากินซึ่งมีการทำเหมืองแร่ดีบุกเป็นสำคัญ ท้าวเทพกระษัตรีหรือท่านผู้หญิงจันในฐานะภริยาเจ้าเมืองถลาง ได้มีหนังสือไปถึงพระยาราชกปิตัน หรือฟรานซิสไลท์เจ้าเมืองปีนังแจ้งข่าวเรื่องศึกพม่า และขอความอนุเคราะห์เรื่องเสบียงอาหารของชาวเมืองที่กำลังขาดแคลน ดังนี้
"หนังสือท่านผู้หญิงจำเมรินมายังท่านพญาราชกปิตันเหล็กก็ให้แจ้ง ด้วยมีหนังสือฝากให้แก่นายเรือตะหน้าวถือมาเถิงเป็นใจความว่า เมื่อท่านอยู่ ณ เมืองบังลา รู้ข่าวไปว่า พม่ายกมาตีเมืองถลาง จะได้เมืองถลางประการใด แลตูข้าลูกเต้าทั้งปวงจะได้ไปด้วยหรือประการใดมิแจ้ง ต่อท่านมาถึงเมืองไซ รู้ไปว่าเมืองถลางไม่เสียแก่พม่า แลตูข้าลูกเต้าทั้งปวงอยู่ดีกินดี ค่อยวางใจลงในหนังสือ มีเนื้อความเป็นหลายประการนั้นขอบใจเป็นหนักหนา พระคุณท่านหาที่สุดมิได้ แลอยู่ทุกวันนี้ ณ เมืองถลาง พม่าตีบ้านเมืองเป็นจลาจลอดข้าวปลาอาหารเป็นหนักหนา ตูข้ายกมาตั้งทำดีบุก อยู่ ณ ตะปำ ได้ดีบุกบ้างเล็กน้อย เอาซื้อข้าวแพง ได้เท่าใดเอาซื้อสิ้นเท่านั้น..."
อนึ่ง ตูข้าได้จัดดีบุกสิบภารา เป็นส่วนเจ้าลิบแปดภารา ส่วนตูข้าสองภารา จัดให้มาแก่ท่าน และเจ้าลิบนั้นได้แต่งให้จีนเฉียวพี่ชาย และตูข้าได้แต่งนายแช่มจินเสมียนอิ่ว คุมเอาดีบุกไปถึง ท่านให้ช่วยจัดซื้อข้าวให้ อนึ่ง ถ้าข้าว ณ เกาะปุเหล้าปีนังขัดสน ขอท่านได้ช่วยแต่งให้ผู้หนึ่งผู้ใดไปช่วยจัดซื้อข้าว ณ เมืองไซ ถ้าได้ข้าวแล้วนั้น ขอท่านได้ช่วยแต่งสุหลุป กำปั่นเอามาส่งให้ทัน ณ เดือนสิบเอ็ด เห็นว่าจะได้รอดชื่อเห็นหน้าท่านสืบไป..."
จากหลักฐานดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในฐานะเป็นภริยาเจ้าเมือง ท้าวเทพกระษัตรีต้องรับภาระช่วยเหลือหน้าที่ราชการของสามีทั้งในการปกครอง การติดต่อซื้อขายกับพ่อค้าชาวต่างชาติ ทั้งในยามปกติและในยามที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะขาดแคลนเสบียงอาหาร ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกสงคราม ทั้งนี้เพื่อช่วยในการฟื้นฟูและบรรเทาความอดอยากของราษฎร ด้วยการเร่งรัดให้ชาวเมืองช่วยกันผลิตดีบุกเพื่อนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนกับข้าว และอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อเตรียมการป้องกันการรุกรานจากข้าศึกที่อาจจะเข้ามารุกรานอีก
ท้าวเทพกระษัตรีหรือท่านผู้หญิงจันนั้น เป็นสตรีที่มีความชาญฉลาด มีไหวพริบ และมีความกล้าเกินกว่าสตรีทั่วไปในยุคสมัยเดียวกันดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่พยายามรักษาสิทธิ และเกียรติยศชื่อเสียงในฐานะทายาทของตระกูลเจ้าเมืองถลางไว้อย่างเต็มความสามารถ เมื่อทางกรุงเทพฯ ได้แต่งตั้งเจ้าพระยาสุรินทราชา(จันทร์ จันทโรจวงศ์) ให้มาเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองถลาง และหัวเมืองในภาคใต้อีก ๘ หัวเมือง ท้าวเทพกระษัตรีซึ่งหมายมั่นว่าจะให้บุตรชายขึ้นเป็นเจ้าเมืองแต่พลาดโอกาส จึงพาบุตรธิดาคือ พระยาทุกขราษฎร์เทียน จุ้ย เนียม และทองเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ดังมีหลักฐานในหนังสือของท่านและบุตรชายมีไปถึงพระราชกปิตันพรรณนาเหตุการณ์และการเตรียมการเพื่อเข้าไปเฝ้า ณ กรุงเทพมหานคร ดังนี้
"...หนังสือข้าพเจ้าท่านผู้หญิงปราณีบัติมายังโตกพญาท่านด้วย ณ เดือนแปดข้างแรมนี้ ข้าพเจ้าจะเข้าไปกรุงเป็นแน่ แต่จะมาทางเมืองตรัง ถ้าข้าพเจ้ามาถึงเกาะตะลิโบงแล้ว จะให้พญาทุกราชกับพ่อจุ้ยมากราบเท้าพญานายท่าน จะขอพึ่งชื่อของท่านสักสามสิบสี่ภารา จะได้เอาเข้าไปแก้ไข ณ กรุง... แลพญานายท่านได้เห็นดูแก่ข้าพเจ้าเช่นนี้ด้วยเถิด ข้าพเจ้าหามีผู้ใดเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่แล้ว ยังเห็นหน้าแต่ท่านแห่งเดียว และให้โตกพญานายท่านช่วยจัดปืนสะตันสัก ๕๐ บอก ผ้าขาวก้านแย้งลายเครือ ผ้าขาวอุเหมาเนื้อดี ผ้าขาวกาษาหน้าทอง หน้าจั่ว ผ้าลายดอกต่างกัน ผ้าเข้มขาบ โหมดตาด ผ้าดำเนื้อดี แพรดาไหรสีต่างกัน น้ำมันจัน น้ำกุหลาบ... ข้าพเจ้าว่ากล่าว คิดอ่านออกมาให้พญาทุกราชทำการ ณ เมืองถลาง ดูสักครั้ง...
ในการเข้าเฝ้าครั้งนั้น ท้าวเทพกระษัตรีได้นำบุตรสาวชื่อ ทอง เข้าถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาได้รับพระมหากรุณาให้เป็นเจ้าจอม ต่อมาได้มีพระราชธิดา ๑ องค์ พระนามว่า พระองค์เจ้าหญิงอุบล ส่วนบุตรชายคือ พระยาทุกขราษฎร์ ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาเพชรคิรีศรีพิชัยสงครามรามคำแหง เจ้าเมืองถลาง และต่อมาได้เป็นผู้ช่วยเจ้าพระยาสุรินทราชา ผู้สำเร็จราชการ ๘ หัวเมือง เพื่อแบ่งเบาภาระอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย นอกจากนี้บุตรชายชื่อจุ้ย ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระยายกรบัตร บุตรชายชื่อเนียม ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กวังหลวง นับว่าท้าวเทพกระษัตรีสามารถทำหน้าที่ในการสร้างความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างอำนาจการปกครอง
ส่วนท้องถิ่นกับการปกครองส่วนกลาง โดยเฉพาะราชสำนักเป็นผลสำเร็จอย่างดียิ่ง นับว่าประวัติการต่อสู้ของวีรสตรีเมืองถลาง คือ ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทรนั้น เป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่าบทบาทของหญิงไทยนั้น ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างได้ทั้งในยามบ้านเมืองเป็นปกติหรือในยามคับขัน
ดังบทกวีสรรเสริญความกล้าหาญของวีรสตรีสองพี่น้อง ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือ "นารีเรืองนาม"
เพื่อเป็นการยกย่องวีรกรรมของท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทรให้จารึกในจิตใจลูกหลานเมืองถลางและของชาวไทย ทางการได้ตั้งนามสถานที่ตั้งเมืองถลางเมื่อครั้งศึกพม่าว่า ตำบลเทพกระษัตรี และให้รวมตำบลท่าเรือ กับตำบลลิพอนตั้งเป็นตำบลชื่อว่า ศรีสุนทร นอกจากนี้ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ ยังได้สร้างอนุสาวรีย์ของวีรสตรีแห่งเมืองถลาง ไว้ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นเครื่องหมายและอนุสรณ์แห่งความกล้าหาญของสตรีในประวัติศาสตร์ชาติไทยอีกแห่งหนึ่ง