ศาสนาสิกข์ เป็นศาสนาของชาวอินเดียประมาณ ๖ ล้านคน เป็นศาสนาที่มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูและศาสนาอิสลาม มีความสมัครสมานสามัคคีกันโดยตั้งเป็นลัทธิศาสนาใหม่ขึ้นมา และกำหนดให้มีพระเป็นเจ้าองค์เดียว สำหรับมนุษยชาติทั้งปวง ไม่มีพระเป็นเจ้าของฮินดูองค์หนึ่ง ของมุสลิมองค์หนึ่ง หรือของคริสต์ศาสนิกชนองค์หนึ่งอีกต่อไป
ผู้ที่นับถือศาสนาสิกข์ และผ่านวิธี "ปาหุล" ตามแบบศาสนาแล้วก็จะได้นามว่า"สิงห์" ต่อท้ายชื่อเหมือนกันทุกคน เมื่อทำพิธีแล้วก็จะได้รับ "กกะ" หรือสิ่งที่ขึ้นต้นด้วยอักษร "ก" ๕ ประการ คือ (๑) เกศ ได้แก่การไว้ผมยาวโดยไม่ต้องตัดเลย (๒) กังฆาหวีขนาดเล็ก (๓) กฉา กางเกงขาสั้น (๔) กรา กำไลมือทำด้วยเหล็ก และ (๕) กฤปานดาบ
ศาสนาสิกข์มี ศาสดา หรือ "คุรุ" รวมทั้งหมด ๑๑ องค์ด้วยกัน องค์แรกซึ่งนับว่าสำคัญที่สุด ชื่อ คุรุนานัก (พ.ศ. ๒๐๑๒-๒๐๘๒) ท่านผู้นี้เกิดที่แคว้นปัญจาบ บิดาชื่อ กาลุ มารดาชื่อ ตฤปตา แม้ท่านจะเกิดในวรรณะกษัตริย์ แต่ก็ยากจน เมื่ออายุได้ ๗ ขวบบิดาส่งเข้าศึกษาในโรงเรียน ท่านได้แสดงความสามารถในการไต่ถามครูบาอาจารย์ถึงความรู้เรื่องพระเป็นเจ้า และมีความรู้แตกฉานในคัมภีร์พระเวทตั้งแต่อายุยังน้อย อายุได้๙ ขวบก็ได้ศึกษาความเป็นมาและศาสนาของเพื่อนบ้าน จนสามารถโต้เถียงเรื่องศาสนากับบรรดาคณาจารย์เก่าๆ ได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก มีผู้เชื่อว่าท่านสามารถสั่งสอนคนได้ตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ ต่อมาท่านก็แต่งงานกับนางสุลักขณี มีบุตร ๒ คน ชื่อ ศรีจันทร์ กับ ลักษมิทา
ต่อมาวันหนึ่งขณะที่ท่านทำสมาธิอยู่ในป่า ท่านได้รับปรากฏการณ์ทางจิต และได้เห็นพระเป็นเจ้า เมื่อกลับมาบ้านแล้ว ก็ลงมือแจกทานแก่คนจน ให้ยาและรักษาพยาบาลคนเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านมีลูกศิษย์ทั้งที่เป็นฮินดูและมุสลิมมากมาย ท่านได้เดินทางไปสั่งสอนตามเมืองต่างๆ ทั้งในอินเดีย ลังกา อาระเบีย รวมทั้งเมืองเมกกะและแบกแดดด้วยหลักคำสอนที่ท่านนำไปสอนก็คือ "สามัคคี เสมอภาค ศรัทธา และภักดีในพระเป็นเจ้า"
คุรุองค์ต่อมาอีก ๙ องค์ มีนามตามลำดับดังนี้ คือ อังคัท อมรทาส รามทาส อรชุนหริโควินท์ หริไร หริกฤษัน เตฆพหทุร์ และ โควินทสิงห์
ศาสนาสิกข์ แยกออกเป็นนิกายใหญ่ๆ ๒ นิกายด้วยกัน คือ
๑. นิกายนานักปันถี หมายถึง ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของคุรุนานักซึ่งเป็นคุรุองค์แรก
๒. นิกายนิลิมเล หมายถึง นักพรตผู้ปราศจากมลทิน นับถือคุรุโควินทสิงห์ซึ่งเป็นคุรุองค์สุดท้าย
หลักคำสอนที่สำคัญๆ ของศาสนาสิกข์ก็คือ สอนให้นับถือเทพเจ้าเพียงองค์เดียวในเรื่องการสร้างโลกก็เชื่อว่า เดิมมีแต่พระเป็นเจ้าเท่านั้น ต่อมาก็มีหมอก ก๊าซ หมุนเวียนเป็นเวลาหลายล้านปีจึงได้เกิดมีแผ่นดิน ดวงดาว น้ำ อากาศ ฯลฯ แล้วก็มีสิ่งที่มีชีวิตเกิดขึ้นมาถึง ๘,๔๐๐,๐๐๐ ชนิด และสอนว่าโลกมีอยู่มากต่อมาก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ก็มีอยู่มากมายเช่นกัน อากาศและอวกาศก็กว้างใหญ่ไพศาลสุดที่จะรู้ทั่วถึงได้
นอกจากนั้นศาสนาสิกข์ถือว่า วิญญาณเป็นอมตะไม่รู้จักดับสูญ ถ้าใครไม่ต้องการเวียนว่ายตายเกิดอีกก็ต้องชำระจิตของตนให้หมดจดจากกิเลส
ศาสนาสิกข์ส่งเสริมให้ยกฐานะผู้หญิงให้เท่าเทียมผู้ชาย ให้ผู้หญิงมีสิทธิในการศึกษาร่วมสวดมนตร์ หรือเป็นผู้นำในการสวดมนตร์ได้เช่นเดียวกับผู้ชาย สอนให้คนมีความเสมอภาคกัน และมีเสรีภาพซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของสังคม นอกจากนั้น คุรุนานัก ซึ่งมองเห็นภัยที่ประเทศชาติกำลังได้รับจากคนต่างชาติและคนในชาติเดียวกัน จึงได้ประกาศธรรมะเพื่อความดำรงอยู่แห่งชาติ เร้าใจผู้ฟังให้มีความสามัคคี มีความรักชาติ โดยไม่เกลียดชาติอื่น และคุรุโควินทสิงห์ก็สอนให้ชาวสิกข์เป็นทหารหาญยอมเสียสละเลือดเนื้อเพื่อชาติ ทั้งคุรุบางองค์ก็ได้เคยเสียสละชีวิตเพื่อชาติมาแล้ว
ในประเทศไทยมีวัดสิกข์ ๑๔ วัด และมีศรีคุรุสิงหสภาซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนจักรเพชรกรุงเทพมหานคร เป็นศุนย์กลางในการประกอบศาสนกิจต่างๆ ของชาวสิกข์ และใช้เป็นสถานที่เพื่อประกอบพิธีการสมรส การจัดงานเลี้ยงต่างๆ นอกจากนั้น เมื่อชาวสิกข์เกิดทะเลาะกัน และไม่อาจตกลงกันได้ คณะกรรมการบริหารของสภาก็จะช่วยตัดสินให้ปัจจุบันนี้ชาวสิกข์ได้กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ โดยมีอาชีพทางด้านธุรกิจการค้าตามจังหวัดใหญ่ๆ หลายจังหวัด
ศาสนาสิกข์
ศาสนาสิกข์, ศาสนาสิกข์ หมายถึง, ศาสนาสิกข์ คือ, ศาสนาสิกข์ ความหมาย, ศาสนาสิกข์ คืออะไร
ศาสนาสิกข์, ศาสนาสิกข์ หมายถึง, ศาสนาสิกข์ คือ, ศาสนาสิกข์ ความหมาย, ศาสนาสิกข์ คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!