สำนักพระราชวัง
สำนักพระราชวัง, สำนักพระราชวัง หมายถึง, สำนักพระราชวัง คือ, สำนักพระราชวัง ความหมาย, สำนักพระราชวัง คืออะไร
สำนักพระราชวังเป็นหน่วยงานราชการที่มีประวัติของการวิวัฒนาการมาตั้งแต่พุทธศักราช๑๘๙๓ เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีและทรงจัดระเบียบการปกครองภายในราชธานีออกเป็น ๔ แผนก เรียกรวมกันว่า “จตุสดมภ์” ซึ่งแปลว่า “หลักทั้ง ๔” คือ เมือง (เวียง) วังคลัง และนา หัวหน้าจตุสดมภ์ทั้ง ๔ มีตำแหน่งเป็น “ขุน”
แผนกที่เรียกว่า “วัง” อันเป็นต้นกำเนิดของสำนักพระราชวังนี้ มีหน้าที่ดูแลฝ่ายพระราชสำนัก และช่วยแบ่งเบาภาระของพระมหากษัตริย์ในหน้าที่ตุลาการ โดยมี “ขุนวัง” เป็นหัวหน้า
ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พุทธศักราช ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปรับปรุงระเบียบการปกครองใหม่ โดยแยกการทหารและการพลเรือนออกจากกันเป็นครั้งแรกคือ “สมุหพระกลาโหม” บังคับการฝ่ายทหารทั่วไป และ “สมุหนายก” บังคับการฝ่ายพลเรือนทั่วไป มีตำแหน่งเป็นอัครมหาเสนาบดีเสมอกัน นอกจากนี้ ยังมีจตุสดมภ์อีก ๔ กรม คือ กรมเมือง(กรมเวียง) กรมวัง กรมคลัง และกรมนา ซึ่งมีตำแหน่งรองลงมาคือ เสนาบดี
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมานั้น “กรมวัง” มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบต่อทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชสำนัก รวมทั้งการซ่อมแซมพระบรมมหาราชวัง การพระราชพิธีต่างๆ การตรวจสอบดูแลขุนนางทั้งหมดที่จะเข้ามาในพระบรมมหาราชวัง ยกเว้นมหาดเล็ก ควบคุมพระราชทรัพย์พิเศษที่เกี่ยวกับพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนดูแลแจกจ่ายทาสและไพร่ไปทำงานในวัดหลวง นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระมหากษัตริย์ในหน้าที่ตุลาการและมีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้ง “ยกกระบัตร” ออกไปประจำอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ เมืองละคนโดยทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้พิพากษาประจำหัวเมืองและเป็นผู้ดูแลตรวจสอบข้าหลวง อีกทั้งยังมีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้ง “หลวงวัง” ที่มีหน้าที่ดูแลกิจการภายในจวนข้าหลวงนั้น ออกไปประจำตามหัวเมืองอีกด้วย
“กรมวัง” ได้มีการแบ่งส่วนราชการออกเป็นกรมย่อย ๆ หลายกรม อาทิ กรมพระตำรวจวัง (ตำรวจ เป็นบรรดาศักดิ์ของเขมรโบราณ หมายถึง ขุนนางที่มีหน้าที่รับใช้พระมหากษัตริย์ หรือองครักษ์ของพระมหากษัตริย์) กรมพระราชยาน กรมอาวุธหลวง กรมฉางข้าวหลวง และกรมสวนหลวง
สำหรับตำแหน่งเสนาบดีกรมวังนั้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีบรรดาศักดิ์หรือราชทินนามเป็น “พญาธรรมาธิบดี” แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็น “เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์” ใช้ตราเทพยดาขี่พระนนทิการ (พระโคเผือก) เป็นตราประจำตำแหน่ง
การจัดระเบียบการปกครองที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงวางระเบียบไว้นั้น ยังคงยึดถือปฏิบัติกันต่อมาตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยากรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งนับเป็นเวลานานกว่า ๔๐๐ ปี จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดระเบียบราชการบริหารแบบกระทรวง ทบวงกรม ขึ้นโหม่ ในส่วนของการบริหารราชการส่วนกลางนั้น ได้มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งกระทรวงต่างๆ ออกเป็น ๑๒ กระทรวง เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พุทธศกราช ๒๔๓๕ และทรงพระกรุณาโปรดเก ล้าโปรดกระหม่อมให้ยุบเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์ ให้มีเสนาบดีรับผิดชอบการบริหารราชการแต่ละกระทรวงเสมอกัน ดังนั้น “กรมวัง” จึงถูกยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง เรียกว่า “กระทรวงวัง” มีหน้าที่ปฏิบัติราชการในพระราชสำนักเช่นเดิม ส่วนงานที่เกี่ยวกับการตุลาการนั้นได้โอนไปขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้ตั้งขึ้นใหม่ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมวังแต่เดิมอยู่ก่อนแล้วนั้นเป็นเสนาบดีกระทรวงวัง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการปรับปรุงส่วนราชการต่างๆ ในกระทรวงวัง ให้มีความเหมาะสมต่อราชการในพระองค์เพิ่มขึ้น อาทิ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งกรมสังกัดกระทรวงวัง ๒๐ กรม คือ กรมบัญชาการ กรมสารวัตรใน พระราชสำนัก กรมทะเบียน กรมปลัดบัญชี กรมคลังราชการ กรมพระราชพิธี กรมภูษามาลา กรมสนมพลเรือน กรมวัง กรมรองงาน กรมช้างต้น กรมพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์ กรมทหารรักษาวัง กรมพระนิติศาสตร์ กรมศิลปากร กรมธรรมการ กรมสังฆการี กรมกัลปนากรมราชบัณฑิต และกรมวังในพระราชสำนักสมเด็จพระพันปีหลวง
สำหรับตราประจำตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังนั้น ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีประกาศพระบรมราชโองการให้ยกเลิกตราเทพยดาขี่พระนนทิการ (พระโคเผือก) ที่ใช้มาแต่เดิม และให้ใช้ตราพระมหาเทพทรงพระนนทิการ (พระโคเผือก) สำหรับเสนาบดีกระทรวงวังใช้ประทับในสารตราแห่งกิจราชการแทน ส่วนตราประจำตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังที่ใช้ประทับในกิจการอื่นๆ นั้น ให้ใช้ตราพระนนทิการน้อย ซึ่งเป็นลายพระนนทิการยืนแท่น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้โอนกรมธรรมการ กรมสังฆการี กรมราชบัณฑิต กรมกัลปนา และกรมศิลปากรไปสังกัดกระทรวงธรรมการ และยุบฐานะกรมมหาดเล็กหลวงลงเป็นกรมสามัญ สังกัดกระทรวงวังตามเดิม
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ แล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศพระบรมราชโองการเปลี่ยนชื่อกระทรวงวังเป็น “ศาลาว่าการพระราชวัง” และตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังเป็น “ผู้สำเร็จราชการพระราชวัง” ศาลาว่าการพระราชวังนี้ มีฐานะเทียบเท่ากระทรวงและมีหน้าที่บริหารราชการในพระราชสำนัก แบ่งส่านราชการออกเป็น ๑๐ กรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งกระทรวงและกรม พุทธศักราช ๒๔๗๖ คือ กรมราชเลขานุการในพระองค์ กรมปลัด กรมวัง กรมพระราชพิธี กรมโขลนกรมวังนอก กรมมหาดเล็กหลวง กรมราชพาหนะกรมทหารรักษาวัง และกรมพระคลังข้างที่
ในวันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖ ศาลาว่าการพระราชวังได้เปลี่ยนมาเป็นกระทรวงวังดังเดิม ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวง กรม พุทธศักราช ๒๔๗๖ มีอำนาจ และหน้าที่เกี่ยวกับราชการในพระราชสำนัก และแบ่งส่วนราชการออกเป็น ๗ กรม คือ สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง กรมทหารรักษาวัง กรมพระคลังข้างที่ กรมมหาดเล็กหลวง กรมราชเลขานุการในพระองค์และกรมวัง แต่ในปีต่อมา สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นสมควรให้ยกกรมทหารรักษาวังออกจากหน้าที่ราชการกระทรวงวัง และให้ยุบกรมมหาดเล็กหลวงและกรมวังไปรวมอยู่ในสำนักงานปลัดกระทรวง ตังนั้น กรมโนสังกัดกระทรวงวังจึงเหลือเพียง ๔ กรมเท่านั้น
ปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร กระทรวงวังได้ยุบฐานะลงมาเป็นทบวงการเมือง มีฐานะเทียบเท่ากรม และเปลี่ยนนามเป็นสำนักพระราชวัง มีอำนาจหน้าที่จัดการพระราชวัง ตลอดจนการดูแลรักษาทรัพย์สินและผลประโยชน์ของพระมหากษัตริย์และอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี มีเลขาธิการพระราชวังรับผิดชอบในการบริหารราชการ ได้แบ่งส่วนราชการเป็น ๔ กอง คือสำนักงานเลขานุการ กองมหาดเล็ก กองวังและพระราชพิธี และสำนักงานพระคลังข้างที่
ในรัชกาลปัจจุบัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินนิวัตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มาประทับในราชอาณาจักรเป็นการถาวร ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ แล้วนั้นสำนักพระราชวังจึงได้เพิ่มจำนวนกองมากขึ้นโดยลำดับ เพื่อรองรับพระราชกรณียกิจต่างๆ มากมายที่ต้องทรงปฏิบัติในฐานะองค์พระประมุขของประเทศ
ปัจจุบัน สำนักพระราชวังยังคงเป็นทบวงการเมือง มีฐานะเทียบเท่ากรม อยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และยังคงทำหน้าที่จัดการพระราชวัง ตลอดจนดูแลรักษาทรัพย์สินและผลประโยชน์ของพระมหากษัตริย์เช่นเดิม ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักพระราชวัง พุทธศักราช ๒๕๓๗ นั้นได้กำหนดให้สำนักพระราชวังมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
๑. ถวายความสะดวก ความปลอดภัยแด่พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์
๒. ปฏิบัติงานในพระองค์พระมหา กษัตริย์ตามพระราชประสงค์
๓. ปฏิบัติงานในพระองค์พระบรมวงศานุวงศ์
๔. ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการตรวจรักษาพยาบาลถวายพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
๕. ดูแลรักษาและบูรณะซ่อมแซมเครื่องราชภัณฑ์ราชูปโภค และปูชนียสถานต่างๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักพระราชวัง
๖. จัดการและปฏิบัติงานพระราชพิธี รัฐพิธี การพระราชกุศลต่าง ๆ ตลอดจนงานเสด็จพระราชดำเนิน
๗. จัดการกองทุนต่างๆ และผลประโยชน์ทรัพย์สินของกองทรัพย์ วัดวาอารามที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักพระราชวัง และที่อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตลอดจนทรัพย์สินของพระบรมวงศานุวงศ์ที่ฝากไว้โดยพระบรมราชานุมัติ
๘. ควบคุมดูแลรักษาและบูรณะซ่อมแซมพระราชฐานต่างๆ ตลอดจนวัดหลวง สุสานหลวงและอาคารสถานที่ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักพระราชวัง รวมทั้งพระราชพาหนะ
๙. จัดสวัสดิการเจ้าหน้าที่ในสังกัดตั้งแต่ที่พักอาศัย สโมสรข้าราชบริพาร ตลอดจนฌาปนกิจสงเคราะห์
๑๐. ปฏิบัติการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาผู้ปฏิบัติงานในสังกัด ตลอดจนจัดฝึกอบรมบุตรหลานของผู้ปฏิบัติงานในสังกัด เพื่อให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าแก่สังคมและประเทศชาติต่อไป
๑๑. เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไทย อาทิ การจัดพิพิธภัณฑ์พระแสงปืนและอาวุธปืนโบราณ พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พิพิธภัณฑ์พระที่นั่งวิมานเมฆ และพิพิธภัณฑ์ศิลปาชีพ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต เป็นต้น
๑๒. ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักพระราชวังหรือตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
สำนักพระราชวัง, สำนักพระราชวัง หมายถึง, สำนักพระราชวัง คือ, สำนักพระราชวัง ความหมาย, สำนักพระราชวัง คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!