ความรู้ เกร็ดความรู้ สารานุกรม สารานุกรมออนไลน์ ความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป พจนานุกรม เกมส์ เพลงใหม่ เพลง

อนุรักษ์กันอย่างไร, อนุรักษ์กันอย่างไร หมายถึง, อนุรักษ์กันอย่างไร คือ, อนุรักษ์กันอย่างไร ความหมาย, อนุรักษ์กันอย่างไร คืออะไร
| เปิดอ่าน 0 | ความคิดเห็น 0
อนุรักษ์กันอย่างไร

          ทรัพยากรวัฒนธรรมเป็นของเปราะบางการจะซ่อม  บูรณะ หรือสงวนรักษานั้น ต้องระวังไม่ให้เสียหายไปกว่าเดิม หรือทำขึ้นใหม่ซึ่งกลับเป็นการทำลายคุณค่าทางประวัติศาสตร์ศิลปกรรม  และความเป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุของสิ่งของนั้น ๆ
 
          หน่วยราชการที่รับผิดชอบในการอนุรักษ์โบราณสถานและโบราณวัตถุในประเทศไทย คือกรมศิลปากร ได้วางระเบียบว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ไว้ดังนี้
 
         "ข้อ ๔. ก่อนที่จะดำเนินการอนุรักษ์โบราณสถานใด ๆ ต้องปฏิบัติดังนี้
             (๔.๑) ทำการสำรวจศึกษาสภาพเดิมและสภาพปัจจุบันของโบราณสถาน  ทั้งด้านประวัติการก่อสร้าง   การอนุรักษ์   ซึ่งรวมถึงรูปทรงสถาปัตยกรรม  การใช้วัสดุ  และสภาพความเสียหายที่ปรากฏอยู่ โดยการทำเป็นเอกสารบันทึกภาพ และทำแผนผังเขียนรูปแบบไว้โดยละเอียด เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับนำมาประกอบการพิจารณาทำโครงการอนุรักษ์และเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ต่อไป
             (๔.๒) ทำโครงการอนุรักษ์โบราณสถาน  โดยพิจารณาว่าโบราณสถานนั้นมีคุณค่าและลักษณะความเด่นในด้านใดบ้าง อาทิเช่น ด้านประวัติศาสตร์  โบราณคดี  จิตรกรรม ประติมากรรม หรือสถาปัตยกรรม ฯลฯ เป็นต้น และวางแผนรักษาคุณค่า และความสำคัญที่เด่นที่สุดเป็นหลักไว้ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงคุณค่า และความสำคัญในด้านที่รองลงมาด้วย
             (๔.๓) พิจารณาก่อนว่าโบราณสถานนั้น ๆ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้วหรือไม่เพียงใด หากได้ถูกแก้ไขและส่วนแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นใหม่นั้น ทำให้คุณค่าของเดิมเสียไป ควรพิจารณารื้อสิ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมออกและบูรณะให้เหมือนเดิม
         ข้อ ๕. การอนุรักษ์โบราณสถานใด ๆก็ตาม จะต้องคำนึงถึงภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมโดยรอบโบราณสถานนั้นด้วย สิ่งใดที่จะทำลายคุณค่าของโบราณสถานนั้น ๆ ให้ดำเนินการปรับปรุงให้เหมาะสมด้วย
         ข้อ ๖. โบราณสถานที่มีการอนุรักษ์โดยมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาก่อนแล้ว  จะต้องพิจารณาศึกษาให้ละเอียดว่าได้บูรณะแก้ไขมาแล้วกี่ครั้ง   ผิดถูกอย่างไร ระยะเวลานานเท่าใดการอนุรักษ์ใหม่ที่จะทำนี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้แบบใดแบบหนึ่งเสมอไป แต่ให้พิจารณาเลือกแบบที่เหมาะสมที่สุดที่เป็นหลักในการอนุรักษ์ เพื่อให้โบราณสถานนั้นมีคุณค่าและความสำคัญมากที่สุด ทั้งนี้จะต้องทำเป็นหลักฐานแสดงให้ปรากฏถึงการเปลี่ยนแปลงแก้ไข จะด้วยวิธีการบันทึกเป็นเอกสารเขียนแบบไว้  ทำหุ่นจำลอง  หรือโดยวิธีการอนุรักษ์ก็ได้
          ข้อ  ๗. โบราณสถานที่มีคุณค่า ความสำคัญเยี่ยมยอด ควรทำแต่เพียงเสริมความมั่นคงแข็งแรงหรือสงวนรักษาไว้เท่านั้น
          ข้อ  ๘.  การนำวิธีการและเทคนิคฉบับใหม่มาใช้ในงานอนุรักษ์ เพื่อความมั่นคงแข็งแรง จะต้องมีการศึกษาและทดลองจนได้ผลเป็นที่พอใจแล้ว จึงจะนำมาใช้ได้ โดยไม่ทำให้โบราณสถานนั้นเสื่อมคุณค่าไป
          ข้อ ๙. การต่อเติมเพื่อความมั่นคงแข็งแรงของโบราณสถาน ทำเท่าที่จำเป็นให้ดูเรียบง่ายและมีลักษณะกลมกลืนกับของเดิม
          ข้อ ๑๐. ในกรณีที่จำเป็นจะต้องทำชิ้นส่วนของโบราณสถานที่ขาดหายไปขึ้นใหม่  เพื่อรักษาคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรม  และให้การอนุรักษ์โบราณสถานนั้นสามารถดำเนินการได้ต่อไปการทำชิ้นส่วนขึ้นใหม่นั้น  อาจทำได้โดยวิธีการออกแบบที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการทำขึ้นใหม่   จะด้วยวิธีการใช้วัสดุต่าง ๆ  กันการใช้สีต่างกัน หรือการทำพื้นผิวให้ต่างกันกับของเดิมก็ได้ แต่ต้องเป็นไปในลักษณะที่มีความผสมกลมกลืนกับของเดิม
          ข้อ ๑๑. การอนุรักษ์ชิ้นส่วนที่มีคุณค่าเยี่ยมยอดทางจิตรกรรม   ประติมากรรม  และโบราณวัตถุ  ซึ่งติดหรืออยู่ประจำโบราณสถานนั้น ๆ ทำได้แต่เพียงการสงวนรักษา  หรือเพิ่มความมั่นคงแข็งแรงขึ้นเท่านั้น  ทั้งนี้ เพื่อคงคุณค่าของเดิมให้ปรากฏเด่นชัดมากที่สุด  ยกเว้นปูชนียวัตถุที่มีการเคารพบูชา สืบเนื่องมาโดยตลอดและได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการแล้ว
          ข้อ  ๑๒. ซากโบราณสถานควรอนุรักษ์โดยการรวบรวมชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่มีผู้มาประกอบขึ้นไว้ให้เหมือนเดิม หรืออาจจะเป็นเพียงการรวบรวมชิ้นส่วนต่าง ๆ มาประกอบขึ้นไว้เป็นบางส่วน สำหรับชิ้นส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งจำเป็นในการสงวนรักษานั้น ก็อาจทำเพิ่มขึ้นใหม่ได้
          ข้อ ๑๓. การอนุรักษ์ซากโบราณสถานซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีนั้น ทำได้โดยรักษาไว้ตามสภาพเดิมหลังการขุดแต่ง แต่ต้องป้องกันมิให้เสียหายต่อไปด้วยวิธีที่ไม่ทำให้โบราณสถานเสียคุณค่า
          ข้อ ๑๔. โบราณสถานที่เป็นปูชนียสถานอันเป็นที่เคารพบูชา ซึ่งเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันดีของประชาชนโดยทั่วไป  จะต้องบูรณะไว้โดยไม่มีการแก้ไข  เปลี่ยนแปลง  ลักษณะสีและทรวดทรง ซึ่งจะทำให้โบราณสถานนั้นหมดคุณค่าหรือเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ไป
          ข้อ ๑๕. เพื่อป้องกันมิให้ชิ้นส่วนของโบราณสถานที่มีคุณค่าทางศิลปะ ซึ่งรวมถึงประติมากรรม  จิตรกรรม  และศิลปกรรม เกิดการชำรุดเสียหาย หรือถูกโจรกรรม จะต้องนำชิ้นส่วนนั้นมาเก็บรักษาไว้ในสถานที่อันปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย  พร้อมทั้งทำแบบจำลองให้เหมือนของเดิมไปประกอบไว้ในที่โบราณสถานนั้นแทน ซึ่งวิธีการนี้จะปฏิบัติได้ก็ต่อเมื่อไม่สามารถรักษาได้โดยวิธีอื่นแล้ว
          ข้อ  ๑๖. โบราณสถานใดที่ยังมีประโยชน์ใช้สอยอยู่ จะกระทำการอนุรักษ์โดยการเสริมสร้างหรือต่อเติมสิ่งที่จำเป็นขึ้นใหม่ก็ได้เพื่อความเหมาะสม  ทั้งนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้เหมือนของเดิมทีเดียว แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นใหม่นั้นจะต้องมีลักษณะกลมกลืนและไม่ทำลายคุณค่าของโบราณสถานนั้น ๆ
          ข้อ  ๑๗.โบราณสถานต่าง ๆ ทั้งที่ขึ้นทะเบียนแล้วและยังไม่ขึ้นทะเบียน  จะต้องมีมาตรการในการบำรุงรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรง สวยงามอยู่เสมอ
          ข้อ  ๑๘. กรณีที่โบราณสถานใดมีสภาพชำรุดทรุดโทรม อาจจะเป็นอันตราย   การดำเนิน-การในเบื้องต้น   ควรใช้มาตรการอันเหมาะสมทำการเสริมความมั่นคงแข็งแรงไว้ก่อนที่จะดำเนินการอนุรักษ์  เพื่อป้องกันมิให้เสียหายต่อไป
          ข้อ  ๑๙. ในบางกรณีจะต้องดำเนินการติดต่อขอความร่วมมือกับหน่วยราชการอื่น ๆหรือสถาบันเอกชนซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ต่อการอนุรักษ์สมบัติวัฒนธรรมของชาติ
          ข้อ ๒๐. งานทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์หรือการขุดค้น จะต้องทำรายงานในรูปของการวิเคราะห์และวิจัย  โดยมีภาพประกอบซึ่งเป็นภาพลายเส้นและภาพถ่ายและจะต้องรายงานสิ่งที่ได้ปฏิบัติทุกขั้นตอนโดยละเอียดเช่น  งานแผ้วถาง   การจัดบริเวณงาน  เสริมความมั่นคงชิ้นส่วนต่าง ๆ ฯลฯ เป็นต้น และการบันทึกรายงานนี้จะต้องเก็บรักษาไว้ ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
          ข้อ ๒๑. ให้อธิบดีกรมศิลปากร รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้

          ส่วนระเบียบหรือหลักการในการอนุรักษ์โบราณวัตถุนั้น ไม่มีประกาศเป็นเอกเทศ  คงอนุโลมให้ใช้ระเบียบข้อ  ๑๐. และ ๑๑. ของระเบียบการอนุรักษ์โบราณสถานข้างต้นไปพลางก่อน"
          
           ขอให้ดูหลักการดังกล่าวที่เป็นสากลเปรียบเทียบกับอดีต จะเห็นว่าเป็นไปในทำนองเดียวกัน
           ๑. พระราชกระแสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับการบูรณะพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม
 
           "...การซ่อมพระปรางค์วัดอรุณและบริเวณ  ต้องตั้งใจว่าจะรักษาของเก่าที่ยังคงใช้ได้ไว้ให้หมด ถึงสีจะมัวหมองเป็นของเก่ากับใหม่ต่อกัน เช่น รูปภาพเขียน  ลายเพดาน เป็นต้นอย่าได้พยายามที่จะแต่งของเก่าให้สุกสดเท่าของใหม่ ถ้าหากกลัวอย่างคำที่เรียกว่าด่าง ให้พยายามที่จะประสมสีใหม่อ่อนลง  อย่าให้สีแหลมเหมือนที่ใช้อยู่เดี๋ยวนี้  พอให้กลืนไปกับสีเก่า  ลวดลายฤารูปพรรณอันใดก็ตามให้รักษาคงไว้ตามรูปเก่าถ้าจะเปลี่ยนแปลงแห่งใดสิ่งใดให้ดีขึ้น ต้องให้กราบทูลก่อนฯ..."
           ๒. รายงานการตรวจสภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
 
           "...การซ่อมงานเขียนทั้งปวง  ในพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามนั้น  การเขียนอื่น ๆก็ตาม ธรรมดาสำคัญอยู่แต่การเขียนผนังเท่านั้นเพราะว่าของเก่าทำไว้อย่างสุดฝีมือของช่างเอกในเวลานั้น ในการที่เพลิงไหม้ครั้งนี้ก็ไม่ทำให้เสียหายไปหมด ผนังเขียนทั้งหมดคิดเป็นตารางเมตร ได้ ๓๖๖ เสียไปน้อยกว่าที่ยังคงดี คือ
 
          ปูนไม่แตกสีไม่เสีย    ๒๒๔    ตารางเมตร
          ปูนไม่แตกสีเสีย              ๓    ตารางเมตร
          ปูนแตกสีไม่เสีย           ๖๑    ตารางเมตร
          ปูนแตกสีเสีย               ๑๙    ตารางเมตร
          ปูนกะเทาะหาย           ๔๗    ตารางเมตร

          ที่ปูนไม่แตกสีไม่เสีย ควรคงเก่าไว้ให้กุลบุตรภายหน้าได้ดูต่อไป ดีกว่าลบเขียนใหม่หมด ส่วนที่บุบสลายเสียไปนั้น จะทำได้เป็นสองอย่าง  อย่างหนึ่งเขียนเลียนให้เหมือนของเก่า  อย่างหนึ่งเขียนให้ดีอย่างใหม่ตามฝีมือช่างทุกวันนี้  เมื่อพิจารณาดูในสองอย่างนี้ว่าอย่างใดจะดีกว่ากัน  ก็เห็นว่าอย่างเขียนเลียนให้เหมือนเก่าดีกว่า  เพราะว่าจะได้เข้ากันกับของเดิมที่ยังเหลืออยู่ แลทั้งเป็นกระบวนไทยแท้น่าชมกว่าวิธีเขียนอย่างใหม่...   ส่วนที่ปูนไม่แตกแต่สีเสียและที่ปูนแตกสีเสีย  และปูนกะเทาะหายนั้นไม่มีอย่างอื่น ถ้าทำเช่นนี้การที่จะต้องทำก็น้อย  จะคงไว้ตามเดิมได้ถึง  ๒๒๔  ตารางเมตร จะต้องเขียนใหม่  ๑๔๑ ตารางเมตร เท่านั้น แลในส่วนที่เขียนใหม่นี้จะได้ตามสำเนาเก่า ๖๑ ตารางเมตรจะเป็นใหม่แท้ ๘๐ ตารางเมตร..."

          . พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงมกุฎราชกุมารเมื่อคราวเสด็จประพาสจังหวัดเพชรบุรีเกี่ยวกับวัดใหญ่สุวรรณาราม
 
          "...พระในวัดนี้  ตั้งแต่พระครูเป็นต้นไปเป็นช่างด้วยกันโดยมาก  รู้จักรักษาของเก่าดีเป็นอย่างยิ่ง  เช่น  การเปรียญ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม้ท่อนไหนผุเปลี่ยนแก้ไม้ท่อนนั้น    ส่วนที่เป็นลวดลายสลักหรือเขียนอันยังจะใช้ได้ เก็บของเก่าประกอบอย่างดีที่สุดซึ่งจะทำได้  แต่ในการซึ่งจะซ่อมขึ้นให้ดีบริบูรณ์อย่างเก่านั้น  ไม่แต่ฝีมือพระ  ถึงฝีมือช่างหลวงทุกวันนี้ก็ยากที่จะทำให้เข้ากันกับของเดิมได้ รูปภาพเทพชุมนุมที่นั่งเป็นชั้น ๆ ในผนังอุโบสถดูได้ทุกตัว และเห็นได้ว่าไม่มีฝีมือแห่งใดในกรุงเทพฯ  เหมือนเลยเช่น หน้ายักษ์ไม่ได้เขียนเป็นหัวโขน  เขียนเป็นหน้าคนอ้วน ๆ ย่น ๆ  ที่ซึ่งเป็นกนกก็เขียนเป็นหนวดเคราแต่อย่าเข้าใจว่าเป็นภาพกาก ผู้ที่เขียนนั้นรู้ความคิดเรื่องเครื่องแต่งตัว  รู้ว่าจะสอดสวมอย่างไร  ไม่ได้เขียนยุ่ง ๆ อย่างทุกวันนี้ รูปนั้นอยู่ข้างจะลบเลือนมาก  เพราะเหตุว่าคงจะได้เขียนก่อน  ๓๐๐ ปีขึ้นไป  เว้นแต่ด้านหน้ามารผจญที่ชำรุดมาก  จึงได้เขียนเพิ่มขึ้นใหม่  ก็เลยเห็นได้ถนัดว่าความคิดไม่ตลอดลงร่องรอยเสาปูนแต่งทาสีน้ำมันเขียนลายรดน้ำ  เปลี่ยนแม่ลายต่างกันทุกคู่  แต่กรอบเชิงอย่างเดียวกันกรอบเชิงงามนัก..."
 
           ๔. ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  ถึงสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  เกี่ยวกับการซ่อมหอไตรวัดระฆังในสาส์นสมเด็จ เล่มที่ ๑๗ หน้า ๑๓๖ - ๑๓๗

          "...การซ่อมหอไตรวัดระฆัง  ยังกราบทูลอนุโมทนาไม่ได้  เพราะยังไม่ได้ไปเห็นว่าทำอย่างไร อันการซ่อมนั้นความหมายแต่ก่อนกับเดี๋ยวนี้ย่อมเดินเคลื่อนความเข้าใจกันไปเสียแล้วแต่ก่อนขึ้นชื่อว่าซ่อมแล้วก็คืออะไรที่แตกหักก็ทำเสียให้ดี แต่เดี๋ยวนี้ขึ้นชื่อว่าซ่อมแล้ว อะไรที่เก่าก็ทำให้เห็นเป็นใหม่หมด เช่น  รูปภาพที่พระอาจารย์นาคเขียนไว้ที่หอไตรนั้น นับอายุก็ตั้ง ๑๕๐ ปี สีย่อมเก่าไปมากทีเดียว ถ้าซ่อมให้เป็นใหม่จำเป็นต้องทาสีทับเก่า  การทานั้นลิงก็ทำได้  "ท่านหนู"  ซึ่งอาศัยอยู่ ณ หอไตรนั้นว่ามีกัลนาณ์ คงไม่ทำเช่นว่านั้น..."

          ๕. ปาฐกถาเรื่องสงวนรักษาของโบราณของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ  กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  นายกราชบัณฑิตสภา ทรงแสดงแก่เทศาภิบาล ณ พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร  เมื่อวันพุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๗๓ ตอนหนึ่งความว่า

          "...ลักษณะการสงวนของโบราณที่ราชบัณฑิตยสภาทำมานั้น วิธีจัดสงวนโบราณสถานกับโบราณวัตถุผิดกัน ในตอนนี้จะว่าด้วยสงวนโบราณสถานก่อน  วิธีสงวนโบราณสถาน กำหนดการที่ทำเป็น ๓ อย่าง  อย่างที่ คือ การค้นให้รู้ว่ามีโบราณสถานอยู่ที่ไหนบ้าง   ดังเช่นราชบัณฑิตยสภาได้มีตราขอให้เทศาภิบาลต่างมณฑล ช่วยสืบแล้วบอกมาให้ทราบเพื่อจะทำบัญชีและหมายลงแผนที่ประเทศสยามไว้เป็นตำรา อย่างที่ ๒ การตรวจ คือ เมื่อรู้ว่าโบราณสถานที่มีอยู่ ณ ที่ใดแล้ว แต่งให้ผู้เชี่ยวชาญออกไปยังที่นั้น  พิจารณาดูให้รู้ว่าเป็นของอย่างไรสร้างในสมัยใด  และเป็นของสำคัญเพียงใด การตรวจนี้บางแห่งขุดหาแนวรากผนังและค้นลวดลาย  ต้องมากบ้าง น้อยบ้าง ตามลักษณะสถานนั้น  อย่างที่ ๓ การรักษา ซึ่งนับว่าเป็นการยากยิ่งกว่าอย่างอื่น เพราะโบราณสถานในประเทศนี้มีมาก   ในเวลานี้ยังเหลือกำลังราชบัณฑิตยสภาที่จะจัดการรักษาได้ทุกแห่ง  จึงคิดจะจัดการรักษาแต่ที่เป็นสถานสำคัญ และที่พอจะสามารถรักษาได้เสียก่อน  ถึงกระนั้นก็ยังต้องผ่อนผันทำไปทีละน้อย เพราะต้องหาเงินสำหรับจ่ายในการรักษานั้น จำเป็นต้องกำหนดลักษณะการรักษาเป็น ชั้น คือ ชั้นต่ำ เป็นแต่ห้ามปรามมิให้ผู้ใดรื้อทำลายโบราณสถานมิให้พังอีกต่อไป ยกตัวอย่างดังเช่นได้ทำที่พระราชวังกรุงศรีอยุธยา  และที่ในเมืองลพบุรี  เป็นต้น การรักษาโบราณสถานซึ่งนับว่าเป็นชั้นสูงนั้น คือ ปฏิสังขรณ์ให้คืนดีอย่างเดิม เรื่องนี้ฝรั่งเศสกำลังพากเพียรทำที่นครธม ราชบัณฑิตยสภาก็กำลังทำที่ปรางค์สามยอด เมืองลพบุรีดูแห่งหนึ่ง เพื่อจะให้รู้ว่าจะยากและสิ้นเปลืองสักเท่าใด แต่ถ้าว่าถึงเรื่องปฏิสังขรณ์แล้ว   ประเทศเรามีภาษีอยู่อย่างหนึ่ง  ด้วยมักมีบุคคลภายนอกศรัทธาบำเพ็ญกุศลในการปฏิสังขรณ์วัดวาอารามของโบราณ ซึ่งควรนับว่าช่วยรัฐบาลได้มาก แต่ในเรื่องนี้ทางเสียที่ต้องป้องกันก็มีอยู่ ด้วยในการปฏิสังขรณ์บางรายผู้ทำมักชอบรื้อหรือแก้ไขแบบอย่างของเดิมเปลี่ยนแปลงไปตามชอบใจตนจนเสียของโบราณ  มีตัวอย่างปรากฏในมณฑลพายัพหลายแห่ง  จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบมณฑลนั้นทรงรำคาญ  ได้พระราชทานพระราชทรัพย์โปรดให้ราชบัณฑิตยสภาอำนวยการปฏิสังขรณ์หอธรรมวัดพระสิงห์ให้คืนดี และคงตามแบบเดิมไว้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นแห่งหนึ่ง
          ในเรื่องการปฏิสังขรณ์โบราณสถาน  ราชบัณฑิตยสภาใคร่จะให้เทศาภิบาลคอยสอดส่องในความ ข้อที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ
          ข้อ ๑. ถ้ามีผู้ศรัทธาจะปฏิสังขรณ์โบราณสถานที่สำคัญ ขอให้ชี้แจงแก่เขาให้ทำตามแบบเดิมอย่าให้เปลี่ยนแปลงรูปร่างและลวดลายไปเป็นอย่างอื่นเอาตามชอบใจ
          ข้อ ๒. อย่าให้รื้อทำลายโบราณสถานที่สำคัญ เพื่อจะสร้างของใหม่ขึ้นแทน ข้อนี้มีเรื่องตัวอย่างจะยกมาแสดง เช่น ที่วัดพลับพลาชัยเมืองเพชรบุรี  เดิมทีโบสถ์โบราณที่หน้าบันปั้นปูนเป็นภาพเรื่องพระพุทธประวัติ  เมื่อเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์  งามน่าดูยิ่งนัก ใคร ๆ ไปเมืองเพชรบุรี แม้ที่สุดจนสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็เสด็จไปยังวัดพลับพลาชัยเพื่อไปชมรูปภาพที่หน้าบันนั้น ครั้นถึงรัชกาลที่ เกิดไฟไหม้เมืองเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ วัดพลับพลาชัยถูกไฟไหม้ด้วย  แต่ผนังโบสถ์กับรูปปั้นที่หน้าบันยังดีอยู่  ถึงสมัยนั้นข้าพเจ้าออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเสียแล้ว  แต่เผอิญมีกิจไปเมืองเพชรบุรีก็ไปที่วัดพลับพลาชัยตามเคยไปได้ความว่าพวกชาวเมืองกำลังเรี่ยไรกันจะปฏิสังขรณ์  หัวหน้าทายกคนหนึ่งบอกข้าพเจ้าว่า โบสถ์เดิมเล็กนัก เขาคิดจะรื้อลงทำใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเก่า  ข้าพเจ้าได้ตักเตือนว่า โบสถ์เดิมนั้นมีลายปั้นที่หน้าบันเป็นสิริของวัด  ไม่ควรจะรื้อลงทำใหม่ ถ้าประสงค์จะมีโบสถ์ให้ใหญ่โตก็ควรสร้างโบสถ์ใหม่ เอาโบสถ์เดิมไว้เป็นวิหารข้าพเจ้าสำคัญว่าเขาจะเชื่อก็วางใจ   ต่อนานมาจึงทราบว่ามีผู้ถือตัวว่าเป็นช่างคนหนึ่งเข้าไปขันรับว่า จะปั้นรูปที่หน้าบันมิให้ผิดเพี้ยนของเดิมได้ พวกทายกกับพระสงฆ์หลงเชื่อ ก็ให้รื้อโบสถ์เดิมลงสร้างใหม่  ด้วยเห็นว่าจะเปลืองน้อย  รูปภาพของเดิมก็เลยพลอยสูญ  และเลยไม่มีใครชอบไปดูวัดพลับพลาชัยเหมือนแต่ก่อน  เพราะภาพที่ปั้นขึ้นแทนเลวทรามรำคาญตาไม่น่าดูลาภพระสงฆ์วัดนั้นก็เห็นจะพลอยตกไปด้วย
          ข้อ ๓. วัดโบราณที่ทำการปฏิสังขรณ์นั้นมักมีผู้ศรัทธาสร้างสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมของโบราณดังเช่น สร้างพระเจดีย์ขนาดย่อม ๆ ขึ้นบรรจุอัฐิธาตุของญาติวงศ์  เป็นต้น  ของที่สร้างเพิ่มเติมเช่นว่านี้ไม่ควรจะสร้างขึ้นในอุปจารใกล้ชิดกับของโบราณที่ดีงาม  ด้วยอาจพาให้ของโบราณเสียสง่า และไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้สร้าง เพราะฉะนั้นควรจะให้กะที่ไว้เสียส่วนหนึ่งในบริเวณวัดนั้นสำหรับให้สร้างของใหม่ ของนั้นจะได้อยู่ถาวรสมปรารถนาของผู้สร้าง  การปฏิสังขรณ์วัดย่อมมีผู้เป็นหัวหน้าอำนวยการและมักเป็นพระภิกษุ  ขอให้เทศาภิบาลชี้แจงข้อที่ควรระวังให้ทราบเสียแต่ก่อนลงมือปฏิสังขรณ์ ถ้าสงสัยหรือขัดข้องอย่างไรก็ควรรีบบอกมา ให้ราชบัณฑิตยสภาทราบ จะได้ป้องกันหรือเกื้อหนุนให้ทันการ ความเช่นนี้มีตัวอย่างจะยกมาแสดง เมื่อสักสองปีมาแล้ว  มีผู้ศรัทธาจะปฏิสังขรณ์พระมหาธาตุหริภุญชัยที่เมืองลำพูน เห็นว่าแผ่นทองแดงที่หุ้มพระมหาธาตุมีชำรุดอยู่มาก จะขอลอกแผ่นทองแดงเสีย และใช้โบกปูนซีเมนต์แทนเจ้าพระยามุขมนตรีเมื่อยังเป็นพระยาราชนุกูลสมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพบอกมาหารือราชบัณฑิตยสภาห้ามไว้ทัน แผ่นทองแดงของโบราณอันมีชื่อผู้ถวายจารึกอยู่โดยมากจึงมิได้สูญเสีย..."

         
จะเห็นได้ว่าหลักการส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปกี่มากน้อย  ที่ต่างกันจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นเพราะสมัยก่อนยังไม่มีวิชาการอนุรักษ์  (ศิลปกรรม/ศิลปวัฒนธรรม)ตัวอย่างที่ลอกมาเป็นอุทาหรณ์   จึงอาจเป็นเพียงข้อสังเกตและสำนึก   ซึ่งเกิดจากการผูกพันกับมรดกวัฒนธรรมของท่านเหล่านั้น ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่พ้องกับแนวคิดในปัจจุบัน

อนุรักษ์กันอย่างไร, อนุรักษ์กันอย่างไร หมายถึง, อนุรักษ์กันอย่างไร คือ, อนุรักษ์กันอย่างไร ความหมาย, อนุรักษ์กันอย่างไร คืออะไร

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

บทความอื่น ของสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 16

สารานุกรมเล่มอื่นๆ

คำยอดฮิต

Sanook.commenu