ความหมายของทุนการศึกษา
ทุนการศึกษา หมายถึงเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่บุคคลหรือองค์การต่างๆบริจาคให้เพื่อช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ที่มิได้อยู่ในหน้าที่เลี้ยงดูปกครองโดยตรงของตนได้ศึกษาเล่าเรียนการศึกษาในระบบโรงเรียนและสถาบันการศึกษาในสมัยปัจจุบัน มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นหลายประการ เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือ เครื่องมือและอุปกรณ์ ค่าบำรุงกีฬาและกิจกรรม และ
ฯลฯ ที่โรงเรียนหรือสถานศึกษาเรียกเก็บ ค่าเครื่องแบบนักเรียน ค่าเดินทางและกินอยู่ พักผ่อนหย่อนใจและกิจการสังคม ฯลฯ ที่ผู้เรียนจับจ่ายใช้สอยเอง ถ้าผู้เรียนไม่สามารถพำนักที่บ้านกับครอบครัวของตนเองได้ ก็มีค่าเช่าที่พักที่จะต้องจ่ายเพิ่มอีก ดังผู้ที่ไปศึกษาต่างจังหวัดหรือต่างประเทศประจักษ์ได้ดี
ในอดีตมีหลักฐานการให้สิ่งจูงใจให้เล่าเรียน เช่น ประชุมพงศาวดาร (ภาคที่ ๓๒) ระบุว่าคณะสอนศาสนาชาวฝรั่งเศสเคยให้ทุนคนไทยไปศึกษาต่างประเทศในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๒๑๙-๒๒๓๑) แห่งกรุงศรีอยุธยามีการช่วยเหลือการเล่าเรียนของเด็กไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คน ไทยในระดับเจ้านายและขุนนางข้าราชการ เริ่มสนใจความรู้ของตะวันตกซึ่งหมอสอนศาสนาหรือมิชชันนารีตะวันตกนำมาเผยแพร่ มิชชันนารีคณะเพรสไบทีเรียน ชาวอเมริกัน ที่ตั้งโรงเรียนในเมืองไทยหาเด็กเข้าเรียนไม่ได้ ต้องใช้วิธีจ้างเด็กให้เรียน มิชชันนารีชาติเดียวกันนี้ได้ให้ทุนสตรีไทยคือนางเต๋อ หรือนางเอสเทอร์ (Esther)ไปศึกษาวิชาผดุงครรภ์แผนใหม่ที่สหรัฐอเมริกาและกลับมาเมืองไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓ เมื่อทางราชการเริ่มจัดการศึกษาแผนใหม่ในระบบโรงเรียนตามแบบตะวันตกอย่างจริงจัง เพื่อรับเอาความรู้ของตะวันตกมาใช้ในการบริหาร และสร้างความเจริญให้ประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่งนักเรียนไปศึกษาวิชาภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์ และวิชาการตะวันตกที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๔ นักเรียนเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้งสิ้น
ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้น ก็มีทุนของเอกชนชาวต่างประเทศซึ่งอยู่ในเมืองไทย คือหมอเฮาส์ (Samuel House) มิชชันนารีชาวอเมริกันให้แก่นายเทียนฮี้ สารสิน ต่อมารับราชการได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสารสินสวามิภักดิ์ ไปศึกษาวิชาแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กลับมาเมืองไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔
ทุนการศึกษาที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่นักเรียนไทยให้ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ ก็โดยพระราชประสงค์จะให้กลับมารับราชการ ได้ใช้และถ่ายทอดความรู้ของตะวันตกเผยแพร่ทั่วไปในหมู่อนุชนคนไทยแทนผู้เชี่ยวชาญและครูอาจารย์ชาวต่างประเทศรุ่นแรกๆ ที่รัฐบาลจ้างมา ดังปรากฏในพระราชปรารภในกฎหมายข้อบังคับสำหรับนักเรียนสยามที่เรียนวิชาอยู่ ณ ประเทศยุโรป ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) ว่า"...โดยพระบรมราชประสงค์เพื่อจะให้ได้วิชา]เวลากลับเข้ามากรุงเทพฯ จะได้ทำการสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์แก่ราชการและบ้านเมืองต่อไป เพราะเหตุฉะนั้นจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดเด็กคนไทยส่งออกไปเล่าเรียนวิชา และพระราชทานเงินหลวงเป็นค่าเล่าเรียน เสื้อผ้า กินอยู่เบ็ดเสร็จตามสมควร..." ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๔๐ มีการวางระเบียบการพระราชทานเงินส่งนักเรียนไปศึกษาวิชา ณต่างประเทศ แยกเป็นทุน "คิงส์สกอลาร์ชิป" (King's Scholarship) ส่วนพระองค์ ซึ่งผู้ได้รับพระราชทานทุนนี้ไม่จำเป็นต้องกลับมารับราชการประเภทหนึ่ง กับทุนตามความต้องการของกระทรวง ซึ่งผู้ศึกษาต้องกลับมารับราชการอีกประเภทหนึ่ง ทุนประเภทแรกภายหลังวิวัฒนาการมาเป็นทุนเล่าเรียนหลวง หลังจากที่ขาดตอนไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ และรื้อฟื้นใหม่ในรัชกาลปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ ส่วนทุนประเภทหลังวิวัฒนาการมาเป็นทุนรัฐบาลไปศึกษาวิชาในต่างประเทศตามความต้องการของราชการสืบต่อมาไม่ขาดตอน คือทุนซึ่งคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)เป็นผู้บริหารในปัจจุบัน
นอกจากทุนของทางราชการไทยแล้ว ก็ยังมีทุนของมูลนิธิเอกชนไทยอีกหลายทุน เช่น ทุนระพีมูลนิธิ ซึ่งบรรดาศิษย์และผู้คุ้นเคยของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ร่วมกันตั้งขึ้นถวายกุศล เริ่มให้ทุนส่งนักเรียนกฎหมายไปศึกษาต่อต่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ ทุนของมูลนิธิต่างประเทศ เช่น ทุนร็อกกีเฟลเลอร์ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในรัชกาลปัจจุบัน) ทรงเจรจาติดต่อขอมาเป็นทุนให้นักเรียนไทยไปศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์ และการแพทย์ และสาขาอักษรศาสตร์ในประเทศทางยุโรปและอเมริกา
ทุนให้ไปศึกษาวิชาในต่างประเทศหลังจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๕ นอกจากทุนของรัฐบาล และเอกชนไทยแล้ว ก็มีทุนจากรัฐบาลและองค์การต่างประเทศมากขึ้นโดยลำดับ เช่น ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยไปศึกษาวิชาในประเทศมากที่สุด
ในปัจจุบัน ทุนการศึกษามิได้มีให้เฉพาะนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศ เพราะมีความจำเป็นที่ต้องเรียนความรู้แบบตะวันตกเท่านั้นหากเมื่อการศึกษาวิชาการในสถาบันการศึกษาแพร่หลายและมีประโยชน์เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปทุนให้ผู้เรียนศึกษาภายในประเทศก็ปรากฏตามมาและมากขึ้น เพื่อผู้ขัดสนแต่มีสติปัญญาและความมานะพยายามจะได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาอย่างเสมอภาคกันตามที่ควรจะได้
นอกจากให้ทุนนักเรียนไทยได้เรียนทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว รัฐบาลไทยในสมัยหลังยังให้ทุนนักศึกษาต่างประเทศได้เข้ามาศึกษาวิชาการในประเทศไทยได้ด้วย เช่น ทุนรัฐบาลไทยภายใต้ความร่วมมือกับองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ที่เริ่มมีให้หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๒- ๒๔๘๘) มีนักศึกษาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกทุกทวีป ได้รับทุนปีละประมาณ ๑๐ คนมาศึกษาค้นคว้าในสถาบันอุดมศึกษาของไทยทุกปี