
บุคคลสำคัญที่นำกิจการการพิมพ์ตัวอักษรไทยเข้ามาในเมืองไทยคือ หมอแดน บีช บรัดเลย์ซึ่งคนไทยเรียกว่าหมอแบรดเลย์หรือบรัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley M.D.) หมอบรัดเลย์เกิดวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๕๑ ได้ออกเดินทางจากสหรัฐอเมริกาพร้อมกับภรรยาจากเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซท สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. ๒๓๗๗ โดยเรือใบ ใช้เวลาหกเดือนจึงมาถึงเมืองสิงคโปร์ หมอบรัดเลย์และคณะมิชชันนารีอเมริกันได้พักอยู่ที่สิงคโปร์เป็นเวลาหกเดือนรอให้คลื่นลมสงบ ระหว่างพักอยู่นั้นได้ศึกษาภาษาไทยไปบ้าง และได้ศึกษาคุ้นเคยกับแท่นพิมพ์ที่ทำด้วยไม้ไปด้วย แล้วจึงลงเรือเข้ามาในประเทศไทย
คณะมิชชันนารีได้มอบให้หมอบรัดเลย์นำเอาแท่นพิมพ์ที่ทำด้วยไม้และแผ่นหินที่ทำมาจากเมืองเบงกอลเครื่องหนึ่ง และตัวพิมพ์ซึ่งมีตัวพิมพ์อักษรไทยอยู่ด้วยนำเข้ามาในกรุงเทพฯ ด้วยเรือใบได้มาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๗๘ คณะมิชชันนารีใช้เวลาในการติดตั้งและเตรียมการพิมพ์นานพอสมควรกว่าจะจัดพิมพ์หนังสือไทยออกมาได้เป็นครั้งแรก ตามบันทึกหมอบรัดเลย์เขียนไว้ว่า ในวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๗๙ บาทหลวง ชาร์ลส โรบินสัน ได้ส่งหนังสือฉบับหนึ่งที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรไทยมาให้หมอบรัดเลย์แยกถ้อยคำ นับว่าหนังสือฉบับนี้เป็นหนังสือไทยฉบับแรกที่พิมพ์ขึ้นในเมืองไทย ผู้เป็นช่างพิมพ์คือบาทหลวงโรบินสัน และผู้จัดพิมพ์คงเป็นหมอบรัดเลย์ หนังสือเล่มแรกที่พิมพ์นั้นเป็นจุลสาร หนา ๘ หน้า เป็นเรื่องบัญญัติสิบประการของคริสต์ศาสนาพิมพ์จำนวน ๑,๐๐๐ ฉบับ
คณะมิชชันนารีได้ส่งช่างพิมพ์อเมริกันคนแรกเข้ามาประจำในเมืองไทยคือ นายโรเบิร์ต ดี.ดาเวนพอร์ต (Robert D. Davenport) เดินทางเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๒ กรกฎาคมปีเดียวกันและในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๘๐ เรือใบเจมมะดิลดา ได้นำแท่นพิมพ์ทำด้วยโลหะยี่ห้อโอทีส (Otis) หนึ่งแท่น และยี่ห้อสแตนดิง (Standing) หนึ่งแท่น พร้อมด้วยกระดาษ ๑๐๐ รีม จากเมืองสิงคโปร์เข้ามาในกรุงเทพฯ ทำให้โรงพิมพ์มิชชันนารีมีทั้งช่างพิมพ์และเครื่องพิมพ์พร้อมที่จะพิมพ์งานได้อย่างดี กระดาษที่ใช้พิมพ์นั้นตอนแรกเริ่มพวกมิชชันนารีสั่งผ่านเข้ามาจากสิงคโปร์ แต่บางคราวกระดาษขาดมือ บาทหลวงโรบินสันได้ทดลองให้ใช้กระดาษที่ผลิตจากเมืองจีนมาใช้พิมพ์แทน ซึ่งมีราคาถูกกว่ากระดาษจากประเทศตะวันตกเท่าตัว แต่คุณภาพทางการพิมพ์ไม่ดีเท่าอย่างไรก็ดีได้มีการใช้กระดาษที่ผลิตในประเทศตะวันออกพิมพ์หนังสือหลายเล่ม
ใน พ.ศ. ๒๓๘๒ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้จ้างโรงพิมพ์มิชชันนารีอเมริกัน พิมพ์หมายประกาศห้ามสูบฝิ่นจำนวน ๙,๐๐๐ ฉบับ นับว่าเป็นเอกสารทางราชการของไทยชิ้นแรกที่ได้จัดพิมพ์ขึ้น ทางโรงพิมพ์ต้องใช้เวลาพิมพ์อยู่เดือนเศษจึงเสร็จกระดาษที่ใช้พิมพ์ก็เป็นกระดาษที่ผลิตในเอเชีย
สำหรับตัวพิมพ์ที่นำมาจากสิงคโปร์ตอนแรก เมื่อใช้งานก็ย่อมสึกหรอลงไป จำเป็นต้องสั่งหล่อเพิ่มเติมจากสิงคโปร์เข้ามาใช้งาน แต่ตัวพิมพ์ที่สั่งหล่อจากต่างประเทศมักไม่มีความถูกต้องแน่นอน และไม่สมบูรณ์ ต้องชี้แจงแก้ไขกันมาก การอธิบายกันโดยจดหมายทำได้ยาก ทางคณะมิชชันนารีจึงได้ส่งคณะไปสั่งทำแม่ทองแดงที่เมืองปีนัง และนำไปหล่อเป็นตัวพิมพ์ที่เมืองมะละกา โดยการควบคุมของนายแซมมวลไดเออร์ (Samuel Dyer) ช่างหล่อตัวพิมพ์ของคณะลอนดอนมิชชันนารีเมืองปีนัง แต่ก็ยังได้ตัวพิมพ์ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ตัวครบสมบูรณ์ จึงได้คิดที่จะหล่อตัวพิมพ์ขึ้นเองในเมืองไทย โดยส่งเครื่องมือสำหรับหล่อตัวพิมพ์จากสิงคโปร์ คณะมิชชันนารีได้นำเครื่องมือเหล่านั้นเข้ามาดำเนินการหล่อตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้นในเมืองไทยได้สำเร็จใน พ.ศ.๒๓๘๔ รูปตัวพิมพ์ที่หล่อได้ในเมืองไทยมีรูปร่างสวยงามกว่าตัวพิมพ์ที่ซื้อมาจากสิงคโปร์ และสามารถย่อขนาดให้เล็กลงกว่าตัวเดิมมาก
หมอบรัดเลย์เป็นผู้ที่ดำเนินการริเริ่มธุรกิจทางการพิมพ์ขึ้นในเมืองไทยมากมายหลายอย่าง เช่น
ใน พ.ศ. ๒๓๘๕ ได้พิมพ์ปฏิทินตามสุริยคติเป็นภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก และพิมพ์หนังสือคัมภีร์ครรภรักษา ซึ่งเป็นหนังสือทางวิชาการแพทย์
ต่อมาวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๘๗ได้ออกหนังสือพิมพ์เป็นฉบับแรกขึ้นในเมืองไทย ชื่อ บางกอกรีคอร์ดเดอร์ (Bangkok Recorder) ซึ่งขณะนั้นเรียกว่า จดหมายเหตุอย่างสั้น ออกเดือนละสองครั้ง ไม่มีผู้เป็นเอดิเตอร์ ทำอยู่ได้ปีเดียวก็เลิกกิจการไป และออกใหม่อีกใน พ.ศ.๒๔๐๗ เป็นรายเดือนๆ ละฉบับ โดยมีหมอบรัดเลย์เป็นบรรณาธิการ เป็นหนังสือที่บรรจุสารคดี และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกประเทศ
พ.ศ. ๒๔๐๒ หมอบรัดเลย์ได้นำแท่นพิมพ์หิน (Lithographic Press) เข้ามาใช้งานเป็นครั้งแรกในเมืองไทย
พ.ศ. ๒๔๐๔ หมอบรัดเลย์ได้ซื้อลิขสิทธิ์หนังสือนิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัยมาจัดพิมพ์จำหน่าย นับว่าเป็นการซื้อขายลิขสิทธิ์ใน การพิมพ์หนังสือครั้งแรกในประเทศไทย และได้จัดพิมพ์หนังสือด้วยตัวอักษรลาวขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย
พ.ศ. ๒๔๐๕ พิมพ์หนังสือกฎหมายสยาม พ.ศ. ๒๔๐๗ พิมพ์เรื่องสามก๊กและพงศาวดารหมอบรัดเลย์ได้จัดพิมพ์หนังสือวรรณคดีออกมาหลายเรื่องและจัดพิมพ์หนังสือสารคดีเป็นจำนวนมาก หนังสือหลายเล่มเป็นหนังสือที่หมอบรัดเลย์แปลและแต่งเอง หนังสือที่หมอบรัดเลย์ผลิตออกมา ได้เข้าเล่มเป็นรูปหนังสือเล่มแบบที่ผลิตในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นของใหม่ในเมืองไทย เพราะแต่เดิมหนังสือไทยมีลักษณะเป็นสมุดพับกลับไปกลับมาเรียกว่าสมุดไทย เป็นการเขียนคัดลอกกันลงบนสมุดข่อย อาจเป็นสมุดข่อยดำหรือข่อยขาวแต่เล่มหนังสือที่หมอบรัดเลย์ผลิตขึ้นเป็นหนังสือที่มีการเย็บเล่ม เข้าปกแบบหนังสือฝรั่งจึงเรียกว่าสมุดฝรั่ง
โรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ตอนแรกตั้งอยู่ใต้ถุนบ้านของคณะมิชชันนารีบนที่เช่าของเจ้าพระยาพระคลัง (ต่อมาได้เป็นสมเด็จเจ้าพระยามหาประยูรวงศ์) อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และอยู่ริม คลองหน้าวัดประยูรวงศ์ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ได้ย้ายไปอยู่หลังป้อมวิชัยประสิทธิ์ ปากคลองบางหลวง โรงพิมพ์มีชื่อว่าโรงพิมพ์มิชชันนารีอเมริกัน (American Missionary Association Press) ธุรกิจทางการพิมพ์ที่หมอบรัดเลย์ดำเนินการจะเห็นได้จากแผ่นโฆษณาของหมอบรัดเลย์ที่จะคัดมาให้ดู และจะได้เห็นสำนวนการเขียนภาษาไทยของหมอบรัดเลย์ด้วย
หมอบรัดเลย์ในตอนหลังได้ใช้ชีวิตในเรื่องการพิมพ์เกือบทั้งสิ้น โดยแทบจะพูดได้ว่าเลิกอาชีพแพทย์และได้ออกจากคณะมิชชันนารีมาดำเนินการทางด้านการพิมพ์และทำหนังสือพิมพ์จนในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ นายโอบะเร กงสุลฝรั่งเศสได้ฟ้องหมอบรัดเลย์ในฐานะเอดิเตอร์บางกอกรีคอร์ดเดอร์ต่อนายฮูต กงสุลอเมริกัน ฐานตีพิมพ์โฆษณาหมิ่นประมาท โดยกล่าวหาว่ากงสุลฝรั่งเศส ได้ขอให้รัฐบาลไทยเอาเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ออกจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเรื่องอื่นๆอีกซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้กงสุลฝรั่งเศสต้องอับอายคนทั้งปวง ทำให้คนทั้งหลายเกลียดชังตนขอเรียกค่าเสียหาย ๑,๕๐๐ เหรียญ ศาลกงสุลอเมริกันได้สืบพยานและตัดสิน ในที่สุดให้หมอบรัดเลย์เสียค่าทำขวัญให้แก่กงสุลฝรั่งเศสเป็นเงิน ๙๐๐เหรียญ และต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลต่างๆ อีกลดให้แล้วเป็นเงิน ๔๘ เหรียญ ๗๕ เซ็นต์เมื่อมาเมืองไทยหมอบรัดเลย์นำภรรยามาด้วยและได้รับลูกของมิชชันนารีด้วยกันเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่งเมื่อมาแวะที่สิงคโปร์ และเมื่อมาอยู่ในพระนครหมอบรัดเลย์และภรรยามีลูกอีก ๒ คนรวมเป็น ๓ คน เป็นหญิงทั้งสิ้น นางบรัดเลย์อายุสั้น ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๓๘๘ ด้วยโรควัณโรคและศพได้ฝังอยู่ในเมืองไทย ในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ หมอบรัดเลย์กลับไปอเมริการะยะหนึ่งโดยพาบุตรและบุตรบุญธรรมกลับไปอเมริกาด้วยทั้ง ๓ คน และได้กลับมาเมืองไทยอีกในปี พ.ศ. ๒๓๙๓ หมอบรัดเลย์ได้ภรรยาใหม่มาคนหนึ่ง ซึ่งได้มาดูแลหมอบรัดเลย์ตอนแก่ตัวลง กับภรรยาใหม่นี้ได้มีบุตรชายด้วยกันคนหนึ่งคือ คอร์เนลิอุส บี บรัดเลย์ (Cornelius) หมอบรัดเลย์ได้ถึงแก่กรรมในเมืองไทยเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๔ ศพฝังที่สุสานโปรเตสแตนต์ ที่ใกล้โรงงานยาสูบ ถนนตก ซึ่งยังมีอยู่จนทุกวันนี้