คำว่า "หอม" นั้น หมายถึง การรับรู้ของประสาทสัมผัสที่เรียกว่า ฆานประสาท เมื่อมีสารบางอย่างที่ให้กลิ่นกระจายอยู่ในอากาศ แล้วรับรู้ว่ากลิ่นนั้นเป็นที่พอใจ ซึ่งความพอใจ นิยมชื่นชอบใจต่อกลิ่น ย่อมแตกต่างกันไปตามความเคยชินตามกลุ่มเผ่าพันธุ์ และประเพณีของคนหรือกลุ่มคนนั้นๆ หากเป็นกลิ่นที่ไม่พอใจก็จะบอกว่า "เหม็น"
เรื่องของกลิ่นนั้นเป็นการยากที่จะกำหนดหรือจำแนกเป็นประเภทต่างๆ ให้ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับตรงกัน จึงมักจะใช้เปรียบเทียบกับชนิดของพรรณไม้ หรือสิ่งอื่นๆ ที่รู้จักคุ้นเคย ซึ่งใช้ได้เฉพาะกลุ่ม หรือท้องถิ่น หรือประเทศเท่านั้นเช่น คนไทยจะเข้าใจทันทีที่บอกว่า หอมเหมือนกลิ่นใบเตย ซึ่งหมายถึงใบเตยหอมที่คั้นน้ำจากใบมาปรุงแต่งอาหาร แต่สำหรับชนชาติที่ไม่เคยใช้ใบเตยในการปรุงแต่งกลิ่นอาหาร ย่อมไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นอย่างไร เป็นต้น ในการขยายความเรื่องของกลิ่นหอมนั้นมีใช้กันหลายคำ ได้แก่หอมเย็น หอมหวาน หอมฉุน หอมแรง หอมอ่อนๆ หอมเอียน หอมละมุน หอมฟุ้ง หรือหอมตลบตลอดจนหอมตลบอบอวล เป็นต้น
กลิ่นหอมที่ได้จากพืชนั้น เกิดมาจากน้ำมันหอมระเหย (essential oil หรือ volatile oil) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการสร้างและสลาย(metabolism) ในเซลล์ของพืช แล้วเก็บไว้ในเซลล์หรือปล่อยออกมาจากเซลล์ สะสมอยู่ในช่องว่างที่ขยายขนาดขึ้น มีลักษณะเป็นต่อม (gland) ที่ส่วนต่างๆ ของพืช น้ำมันหอมระเหยนี้บางกรณีไม่อยู่ตัว(unstable) จะเปลี่ยนไปตามกระบวนการเคมีได้เป็นสารประกอบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น เป็นยาง(gum) และเรซิน (resin) สารที่ได้ใหม่นี้มักจะรวมตัวกับน้ำมันหอมระเหยที่ยังเหลืออยู่ แล้วถูกลำเลียงจากที่สร้างไปยังส่วนอื่นๆ ของพืช อาจจะเป็น ใบ ดอก ผล เมล็ด เหง้า ราก ต้น ที่ใดที่หนึ่งหรือทุกส่วน แล้วแต่ชนิดของพืช นอกจากนั้นพืชบางชนิดไม่สร้างน้ำมันหอมระเหยแต่ถ้าถูกกระตุ้นโดยมีเชื้อราเข้าไปตามแผล ก็จะเกิดกระบวนการสร้างน้ำมันหอมระเหยขึ้นได้ ดังที่พบในไม้เนื้อหอมหลายชนิด ส่วนการที่มนุษย์หรือสัตว์บางชนิดจะได้กลิ่นหอม เกิดจากน้ำมันหอมระเหยในพืชระเหยออกมา เมื่อสัมผัสกับอากาศเกิดปฏิกิริยาทำให้เกิดกลิ่นฟุ้งกระจายปรากฏการณ์เช่นนี้ส่วนใหญ่เกิดเมื่อดอกไม้บานหรือผลไม้สุก ดังนั้นกลิ่นหอมในธรรมชาติจริงๆจึงมักจะมาจากดอกไม้หรือผลไม้ แต่กลิ่นหอมจากใบหรือส่วนอื่นๆ ของพืชมักจะต้องทำให้เกิดขึ้นโดยผ่านกรรมวิธีต่างๆ และที่สะดวกที่สุดคือ ใช้วิธีทำให้ใบช้ำ หรือขยี้ ถ้าเป็นต้น ราก เมล็ด ใช้วิธีบด หรือฝน หรือเผา หรือต้ม เป็นต้น
กลิ่นหอมของดอกไม้นั้น เกิดจากพืชบางชนิดมีน้ำมันหอมระเหยที่เซลล์พิเศษ หรือที่ต่อมซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของดอกเช่น ฐานรองดอก กลีบดอก เกสรเพศผู้ หรือเกสรเพศเมีย กลิ่นที่เกิดขึ้นนี้ ในธรรมชาติจะช่วยดึงดูดแมลงให้มาตอมดอกไม้ มีผลทำให้เกิดการนำละอองเรณูไปตกที่ยอดเกสรเพศเมีย ทำให้เกิดเมล็ดและผลต่อไป ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้หลังจากพืชผลิดอกแล้วออกผลหลังจากนั้น แต่แมลงหรือสัตว์อื่นๆ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายมาที่ดอกไม้เพื่อสูดกลิ่นหอม แต่มาที่ดอกไม้เพื่อกินน้ำหวานหรือละอองเรณูของดอกไม้ (ส่วนพืชที่ดอกไม่มีกลิ่นนั้นมักจะมีสีสัน รูปทรงของดอก หรือมีต่อมน้ำหวานที่ล่อแมลงหรือสัตว์อื่นให้มาที่ดอกเพื่อช่วยในการผสมเกสร) นอกจากนั้นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมยังดึงดูดมนุษย์ให้ชื่นชอบด้วย และมนุษย์เราไม่เพียงแต่ชอบได้กลิ่นหอมจากธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเช่นเมื่อดอกไม้บานเท่านั้น เรายังนำกลิ่นหอมจากพรรณไม้มาใช้ในการทำเครื่องสำอางอบร่ำเครื่องนุ่งห่ม ตลอดจนบ้านเรือนอีกด้วยและมีหลักฐานการใช้มาไม่น้อยกว่า ๕,๐๐๐ ปีเดิมอาจจะใช้ดอกไม้โดยตรง แต่ต่อมาได้มีการคิดค้นวิธีการต่างๆ สกัดกลิ่นหอมออกมาให้ใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมทั้งปรุงแต่งจนได้กลิ่นหอมต่างๆ ตามแต่รสนิยม ได้เป็นน้ำหอมที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์และจากวรรณคดี จะเห็นได้ว่าชีวิตคนไทยมีความใกล้ชิดและผูกพันกับพรรณไม้เป็นอย่างมาก นอกจากจะใช้พรรณไม้ในพื้นฐานของปัจจัยสี่เพื่อดำรงชีวิตแล้วยังเป็นที่มาของจินตนาการต่างๆ ในวรรณคดีเป็นไม้ประดับ เป็นวัสดุที่นำมาเป็นแบบอย่างหรือดัดแปลงตกแต่งอันเป็นที่มาของศิลปะภาพวาดภาพแกะสลัก การก่อสร้างต่างๆ ในงานประเพณีทุกประเภท ไม่มีงานใดที่จะไม่ใช้พันธุ์ไม้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญและมีความหมายต่องานนั้นๆยิ่งไปกว่านั้นในเรื่องของกลิ่นหอม ยังเป็นเรื่องพิถีพิถันเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้จากการที่คนไทยนิยมข้าวปลาอาหารที่มีกลิ่นหอม เช่น ข้าว เราก็คัดพันธุ์จนได้ข้าวหอมมะลิ ขนมต่างๆ ปรุงแต่งด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ ใบไม้ แม้แต่น้ำดื่มก็ยังนิยมน้ำลอยดอกมะลิ นอกจากเรื่องอาหารแล้วในเรื่องของเครื่องหอมที่ใช้เป็นเครื่องสำอาง อบร่ำเครื่องนุ่งห่ม ตลอดจนยาพื้นบ้าน ก็จะใช้ของหอมต่างๆ มาปรุงแต่งให้เกิดกลิ่นตามความนิยมคนไทยนิยมใช้น้ำอบไทยหรือน้ำปรุงกันโดยทั่วไปในสมัยก่อนที่น้ำหอมจากยุโรปจะเข้ามาขายทั้งน้ำอบไทยและน้ำปรุงได้มาจากกรรมวิธีสกัดกลิ่นจากดอกไม้เป็นหลัก และดอกไม้ที่นิยมใช้กันมากได้แก่ มะลิ กุหลาบ กระดังงา ชำมะนาด ฯลฯ
ในเรื่องของเครื่องหอมที่ได้จากพืชที่คนไทยนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในอดีต และบางอย่างก็ยังใช้จนถึงปัจจุบันนั้น ศาสตราจารย์กสิน สุวตะพันธุ์ ได้เขียนถึงของหอมที่ใช้ในการทำเครื่องหอมต่างๆ ที่ได้จากส่วนอื่นๆ ของพรรณไม้ที่ไม่ใช่จากดอกไม้ไว้ ๑๐ อย่าง ดังนี้
๑. กฤษณา มีลักษณะเป็นแก่นไม้สีดำคล้ำหรือดำปนน้ำตาล ที่เกิดจากต้นกฤษณา (Aquilariamalaccensis Lamk. หรือ A. crassna Pierre ex H. Lec.)เกิดเป็นแผลแล้วมีเชื้อราบางชนิดเข้าไปเจริญเติบโตในเนื้อไม้ ทำให้ต้นกฤษณาซึ่งเดิมมีเนื้อไม้อ่อน เปลี่ยนเป็นเนื้อไม้แข็งและมีกลิ่นหอม แก่นไม้ที่หอมนี้นำมาใช้ปรุงแต่งเครื่องสำอาง ผสมเป็นเครื่องให้กลิ่นในงานพิธีกรรม หรือใช้เป็นเครื่องปรุงยาตามตำรับโบราณ กฤษณาเป็นเครื่องหอมที่นิยมใช้กันมากในประเทศต่างๆ แถบเอเชีย
๒. เทพทาโร ได้จากต้นเทพทาโร หรือต้นจวง หรือจวงหอม (Cinnamomun porrectumKosterm.) เป็นพันธุ์ไม้สกุลเดียวกับอบเชย เนื้อไม้มีกลิ่นหอมคล้ายการบูร ในสมัยโบราณใช้ทำหีบใส่เสื้อผ้า หรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ กันมด ปลวกและแมลงต่างๆ ได้ดี หรือใช้ปรุงแต่งยา หรือนำไปใช้ในงานพิธีกรรมต่างๆ โดยเผาหรืออบให้เกิดกลิ่นกระจายไป
๓. จันทน์แดง ได้จากแก่นของจันทน์แดงหรือจันทน์ผา หรือลักกะจันทน์ (Dracaena loureiriGagnep.) วิธีการเกิดแก่นจันทน์แดงคล้ายกับการเกิดแก่นกฤษณา คือต้นมีแผลแล้วมีเชื้อราเข้าไปเจริญเติบโต ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในบริเวณโคนต้น เป็นแก่นสีแดงและมีกลิ่นหอม
๔. จันทน์ชะมด ได้จากเนื้อไม้ของจันทน์ชะมด ซึ่งมีอยู่ ๒ ชนิดคือ Mansonia gageiDrumm. ในวงศ์ Sterculiaceae และAglaiapyramidata Hance ในวงศ์ Meliaceae ซึ่งเนื้อไม้แห้งมีกลิ่นหอมแรงกว่าเมื่อยังสด
๕. กระแจะ ได้จากเนื้อไม้ของต้นกระแจะหรือขะแจะ หรือตุมตัง หรือพญายา (Hesperethusacrenulata Roem.) ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกับพวกส้มต่างๆเนื้อไม้แห้งมีกลิ่นหอม ใช้ฝนทาผิว ทำให้ผิวนวลและหอม
๖. ชะลูด หรือนูด (Alyxia reinwardtii Bl.)เป็นไม้เถา เนื้อไม้หอม ใช้ได้ทั้งสดและแห้งนำมาอบผ้า กลิ่นติดทนนาน หรือแต่งกลิ่นแป้งร่ำดอกของพันธุ์ไม้ชนิดนี้มีขนาดเล็ก และมีกลิ่นหอมเช่นกัน
๗. ลูกซัด เป็นเมล็ดของพันธุ์ไม้จำพวกถั่ว(Trigonella faenogrecum Linn.) ซึ่งเป็นไม้ท้องถิ่นแถบเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วเขียวแต่เล็กกว่า เมล็ดแห้งมีกลิ่นหอม และจะหอมมากขึ้นเมื่อนำมาต้มกับน้ำ คนไทยในสมัยก่อนโดยเฉพาะชาววัง นิยมนำเครื่องนุ่งห่มไปต้มกับลูกซัดทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมทนนาน ในอินเดียและจีนใช้เมล็ดปรุงอาหาร ทำยารักษาโรค และบางครั้งใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา
๘. กำยาน ได้จากยางหรือชันของต้นกำยาน(Styrax spp.) ซึ่งเมื่อไหลออกมาจากต้นแล้วจับตัวเป็นก้อนแข็ง เมื่อนำไปเผาไฟจะมีกลิ่นหอม ใช้เป็นส่วนผสมในธูปแขก หรือใช้ในการอบร่ำต่างๆและมีการนำไปทำยารักษาโรคได้ด้วย
๙. จันทนา เป็นเนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม ได้จากต้นจันทนา หรือที่เรียกในชื่ออื่นๆ ได้แก่จันทน์ขาว จันทน์หอม จันตะเนี้ย และจันทน์ใบเล็ก (Tarenna hoaensis Pitard) ใช้เนื้อไม้บด หรือฝน ผสมน้ำ นำไปปรุงแต่งเป็นเครื่องหอม และใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ
๑๐. มดยอบ เป็นชันไม้ของต่างประเทศได้มาจากพันธุ์ไม้หลายชนิดในสกุล Commiphora ยางหรือชันมีสีแดงอมเหลือง หรือน้ำตาลอมแดงใช้ทำยา แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง และใช้ในพิธีทางศาสนา
นอกจากนั้น ศาสตราจารย์กสิน ยังได้อธิบายถึงไม้จันทน์ (Santalum album Linn.) ซึ่งเป็นไม้ของต่างประเทศ เนื้อไม้หอมมาก ใช้ทำเครื่องเรือนทำพัด และสกัดน้ำมันไปใช้ในการทำน้ำหอม
ของหอมที่ได้จากพรรณไม้ดังกล่าวข้างต้นนี้ล้วนเป็นของหอมที่ได้จากต้นไม้ คือ เนื้อไม้หรือยางไม้ มีความคงทนของกลิ่นหอม สามารถเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน
นอกจากกลิ่นหอมที่ได้จากต้นไม้แล้ว ยังมีพรรณไม้อีกหลายชนิดมีกลิ่นหอมภายในใบ ซึ่งปกติถ้าไม่สัมผัส หรือทำให้ช้ำโดยการขยี้ หรือโดนความร้อน จะไม่มีกลิ่น พันธุ์ไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ใบในการปรุงอาหาร เช่น ใบโหระพากะเพรา แมงลัก สะระแหน่ ผักชี มะกรูด เป็นต้นและใบไม้บางชนิดนำมาใช้ในการทำเครื่องหอมเช่น ใบเนียม (Sympagis nivea Brem.) คนไทยสมัยก่อนที่รับประทานหมากนิยมใส่ใบเนียมสดในยาฝอยหรือยาจืด ใช้เช็ดฟัน ทำให้ปากมีกลิ่นหอม ปรุงยา และใช้ใบแห้งปรุงกลิ่นน้ำมันใส่ผม เป็นต้น
ในบรรดากลิ่นหอมที่เกิดจากพืชนั้น กลิ่นที่ได้จากดอกไม้จะเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันมากที่สุดและอาจจะทราบต่อไปอีกด้วยว่า ดอกไม้ชนิดใดบานเวลาใด มีกลิ่นหอมนานหรือไม่ โดยทั่วๆไปดอกไม้หอมมักจะมีสีสันไม่สดใสสะดุดตา มักจะเป็นพวกที่มีดอกสีขาว ส่วนช่วงเวลาที่ดอกบานก็แตกต่างกันไปตามชนิด ส่วนใหญ่บานตอนเย็นหรือพลบค่ำ หรือบานตอนเช้า ระยะเวลาที่ดอกบานก็เช่นกัน บางชนิดบานเป็นระยะสั้นๆครึ่งวัน หรือหนึ่งวันแล้วร่วงไป บางชนิดบานหลายวัน เป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนก็มี ในแต่ละชนิดยังมีความแตกต่างของช่วงที่ส่งกลิ่นหอมแรงที่สุดอีก แต่มีการบันทึกข้อมูลเหล่านี้ไว้น้อยมากจะเห็นได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับกลิ่น และชนิดของดอกไม้ มีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าศึกษาติดตามได้อีกมาก และเป็นที่น่าสังเกตว่าพืชบางวงศ์(Family) มักจะมีดอกที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ วงศ์Annonaceae เช่น นมแมว ลำดวน สายหยุด และวงศ์
Magnoliaceae เช่น จำปี จำปา มณฑา ยี่หุบ เป็นต้น
คนไทยนิยมดอกไม้หอม และนำมาปลูกประดับสวน หรือปลูกไว้ใช้ประโยชน์มาเป็นเวลานานที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น มะลิ พุดซ้อน พุทธชาดราตรี ซ่อนกลิ่น ชำมะนาด กุหลาบ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นพันธุ์ไม้ต่างถิ่น แต่ได้มีการนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานมาแล้ว บางชนิดอาจจะเข้ามาพร้อมๆ กับที่ไทยมีการติดต่อกับนานาประเทศ แต่ที่มีหลักฐานแน่ชัดคือ ตั้งแต่ครั้งอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้มีการขยายพันธุ์ปลูกต่อๆ กันไปจนแพร่หลาย พรรณไม้เหล่านี้เจริญงอกงามได้ดีพบทั่วไปจนเกิดความเข้าใจกันเองว่าเป็นพรรณไม้ของไทย ซึ่งทั้งนี้มิได้หมายความว่าพรรณไม้ดอกหอมของท้องถิ่นไทยจะไม่มี หรือมีน้อย หรือหอมน้อยกว่าของต่างประเทศ แต่อาจจะเนื่องมาจากพรรณไม้เหล่านั้นเดิมทีพบขึ้นอยู่ดาษดื่นตามธรรมชาติ ไม่เป็นที่แปลกตา หรืออาจจะเนื่องมาจากส่วนใหญ่มีฤดูกาลให้ดอกเพียงปีละครั้ง และอาจจะด้วยสาเหตุอื่นๆ อีก จึงทำให้ไม้หอมของท้องถิ่นได้รับความสนใจที่จะนำมาปลูกกันไม่แพร่หลายนัก ปัจจุบันพรรณไม้ดอกหอมหลายชนิดของไทยในธรรมชาติลดน้อยลงมาก และเป็นที่รู้จักกันในวงแคบเฉพาะในหมู่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
ความหลากหลายของกลิ่นหอมของพรรณไม้ไทยมีเป็นจำนวนมาก หากได้รับความสนใจนำพรรณไม้เหล่านั้นมาขยายพันธุ์ ปลูกให้แพร่หลายยิ่งขึ้น อาจนำไปสู่การหากรรมวิธีหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการสกัดกลิ่นหอมเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอมได้ต่อไป
ส่วนใหญ่ดอกไม้ที่ให้กลิ่นหอม มักจะมีดอกเล็ก สีไม่สะดุดตา แต่ก็มีหลายชนิดที่ทั้งสวยและมีกลิ่นหอม ซึ่งในที่นี้ได้เลือกไม้ดอกหอมของท้องถิ่นไทยที่มีความหลากหลายในด้านลักษณะนิสัย (habit) คือเป็นไม้ต้น (trees) ไม้พุ่ม(shrubs) ไม้เลื้อย (climbers) ไม้ล้มลุก (herbs)และไม้อิงอาศัย (epiphytes) มาบรรยายเฉพาะลักษณะเด่นที่พอเป็นที่สังเกต และช่วยให้รู้จักพันธุ์ไม้ชนิดนั้นๆ ได้ดีขึ้นดังต่อไปนี้
ไม้ดอกหอมของไทย
ไม้ดอกหอมของไทย, ไม้ดอกหอมของไทย หมายถึง, ไม้ดอกหอมของไทย คือ, ไม้ดอกหอมของไทย ความหมาย, ไม้ดอกหอมของไทย คืออะไร
ไม้ดอกหอมของไทย, ไม้ดอกหอมของไทย หมายถึง, ไม้ดอกหอมของไทย คือ, ไม้ดอกหอมของไทย ความหมาย, ไม้ดอกหอมของไทย คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!