
ธนบุรีเป็นเมืองหลวงต่อจากกรุงศรีอยุธยาในระหว่าง พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งราชวงศ์จักรีได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ ทรงย้ายเมืองหลวงจากธนบุรีไปอยู่ที่กรุงรัตนโกสินทร์หรือกรุงเทพฯ ปัจจุบัน วัฒนธรรมประเพณีและงานศิลปกรรมต่างๆ ยังคงสืบทอดมาจากสมัยอยุธยา ในเรื่องเครื่องปั้นดินเผาหรือเครื่องถ้วยที่ใช้ในชีวิตประจำวันยังคงผลิตต่อมา เป็นพวกหม้อข้าว หม้อแกง หม้อน้ำ ครก ไหแบบต่างๆส่วนเครื่องถ้วยที่มีคุณภาพที่ใช้อยู่ในราชสำนักหรือบ้านขุนนางและคหบดีนั้น มักจะนิยมสั่งทำจากเมืองจีน โดยให้รูปแบบลวดลายไปดังเช่นในสมัยอยุธยา ด้วยมีพ่อค้าจีนเข้ามาค้าขายมากประกอบกับราชสำนักและขุนนางผู้ใหญ่ก็มีสำเภาจัดสินค้าพื้นเมืองออกไปขายยังเมืองจีนด้วย จึงสะดวกแก่การสั่งทำเครื่องถ้วยชามตามความสวยงามที่ตนต้องการไทยจึงมีเครื่องถ้วยเบญจรงค์และเครื่องถ้วยลายน้ำทองมาใช้ในสังคมไทยอย่างมากมาย และขยายความนิยมออกไปยังคนสามัญทั่วไปด้วย จากลักษณะเนื้อดินและร่องรอยของเทคนิคการเผาบนเครื่องถ้วยเบญจรงค์บางใบ มีลักษณะคล้ายเครื่องถ้วยญี่ปุ่นที่ผลิตจากแหล่งเตาเผาแถบอะริตะมาก จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่านอกจากการสั่งทำที่เมืองจีน หรือพ่อค้าจีนคิดทำเลียนแบบลายไทยส่งมาขายแล้ว อาจมีการสั่งทำเครื่องถ้วยเบญจรงค์และลายน้ำทองจากญี่ปุ่นสืบต่อจากสมัยอยุธยาก็เป็นได้
การผลิตเครื่องถ้วยลายน้ำทองของคนไทยที่สำคัญคือ "เตากรมพระราชวังบวร" ซึ่งกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ในรัชกาลที่ ๕ โปรดให้ตั้งเตาถ้วยชามเขียนลายไทย แบบเครื่องถ้วยลายน้ำทองขึ้น ที่มีชื่อมากคือ กระโถนค่อม และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีขุนนางบางคน เช่นพระยาสุนทรพิมล (เผล่วสุวัต) ได้นำช่างจีนมาทำเครื่องถ้วยในเมืองไทยโดยตั้งเตาเผาไว้ที่ในบริเวณบ้านของท่านเอง และสั่งทำถ้วยชามสีขาวมาจากจีนแล้วให้ช่างเขียนลายแบบไทยขึ้น โดยวิธีเขียนสีลงยาบนเคลือบ (overglaze enamels) เป็นลายวรรรณคดีและลายไทยต่างๆ
จากการที่ต้องติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมา ราชสำนักไทยเริ่มนิยมเครื่องถ้วยจากตะวันตก อันทำให้วัฒนธรรมในด้านชีวิตความเป็นอยู่เริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในเรื่องการรับประทานอาหาร นั่นคือมีการนั่งโต๊ะแบบตะวันตก ใช้ช้อนส้อม เครื่องถ้วยชามเริ่มมีรูปแบบแปลกๆ เพิ่มขึ้น เช่น มีชุดกาแฟ เหยือกน้ำ ชามอ่างสำหรับใส่เหล้าผลไม้ แจกันแบบต่างๆ เพื่อใช้ประดับโต๊ะและห้องต่างๆ เครื่องถ้วยจีนและญี่ปุ่นก็ยังเป็นที่นิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดลายครามจีนซึ่งทำขึ้นสำหรับตั้งโต๊ะ ถึงกับมีการประกวดโต๊ะกันในโอกาสต่างๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดทั้งเครื่องถ้วยตะวันตกและเครื่องถ้วยจีน เช่น เครื่องถ้วยชุดน้ำชาจักรีเป็นชุดชาลายดอกเดซีสีต่างๆ ๙ สี โดยมีเครื่องหมายพระราชวงศ์ คือ จักร และ ตรีปรากฏบนฝาและที่ใต้ก้นถ้วยชา ซึ่งทรงสั่งทำจากโรงงานแซฟวร์ ประเทศฝรั่งเศส และเครื่องถ้วยชุดลายอักษรพระนาม จ.ป.ร. ซึ่งทรงสั่งทำจากจีน โดยใช้ลายอักษรพระนามาภิไธยย่อใน
พระองค์ ผูกเป็นลายออกมา ๑๒ แบบ คือ ลายอักษรพระนามเลียนแบบลายจีนอย่างหนังสือใหญ่ลายยี่ยาว ลายยี่ซ้อน ลายยี่คด ลายยี่ขัด ลายยี่ขอดขัด ลายยี่สยาม ลายกระแปะ ลายกระแปะฮ่อ ลายฮ่อเครื่องมงคล ลายลูกไม้ค้างคาว และลายลูกไม้อักษรพระนาม
หลังจากสิ้นรัชกาลที่ ๕ แล้ว ความนิยมในเครื่องถ้วยยุโรปมีมากขึ้นเป็นลำดับ แม้ว่าเครื่องถ้วยจีนและญี่ปุ่นจะยังคงนิยมอยู่เช่นเดิม สามารถหาซื้อได้ตลอดมาจนปัจจุบัน ส่วนเครื่องถ้วยเบญจรงค์และลายน้ำทองของไทยก็ลดความนิยมไม่มีการสั่งทำอีก มีแต่สะสมของโบราณไว้เป็นมรดกสืบทอดต่อมาเท่านั้น
อย่างไรก็ดีปัจจุบันการผลิตเครื่องถ้วยยังมีโรงงานหลายแห่งดำเนินการอยู่ มีทั้งที่ผลิตเครื่องถ้วยแบบเดิมทั้งรูปแบบเก่าและด้วยเทคนิคแบบเดิมกับที่มีการพัฒนาปรับรูปแบบให้ทันสมัยยิ่งขึ้นโดยมีรูปแบบที่เป็นสากลทั้งสีสันและลวดลายที่ประดับ สำหรับเครื่องถ้วยที่เลียนแบบของเก่ามีหลายโรงงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแต่ละแห่งนั้นคุ้นเคยและสนใจเครื่องถ้วยโบราณแบบใด เช่น เครื่องดินเผาประเภท หม้อน้ำ คนโท หม้อทะนน หม้อข้าว หม้อแกง ซึ่งเดิมเรียกว่า หม้อบางจากตะนาวศรี ก็ยังคงมีผลิตอยู่ในแถบจังหวัดนนทบุรี และที่เกาะเกร็ด และเรามักจะเห็นว่ามีจำหน่ายมากที่แถวสะพานสูง บางซื่อ นอกจากนี้ยังมีผลิตแถวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในภาคอีสานบางจังหวัด สำหรับคนโทหรือน้ำต้นยังพบว่ามีการผลิตที่จังหวัดเชียงใหม่และลำปาง การสืบทอดรูปแบบเครื่องถ้วยสังคโลกของสุโขทัย และเครื่องถ้วยล้านนาจากเตาเวียงกาหลงและสันกำแพง ก็มีหลายโรงงานทั้งในจังหวัดสมุทรสาครอำเภอกระทุ่มแบน ตำบลอ้อมน้อย ที่จังหวัดสุโขทัยมีทั้งในเขตเมืองเก่าและที่อำเภอศรีสัชนาลัย และในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำปาง ซึ่งล้วนแต่ทำได้สวยงามและคล้ายคลึงของเก่ามากทีเดียว
เครื่องถ้วยเบญจรงค์และเครื่องถ้วยลายน้ำทองก็มีหลายโรงงานที่ให้ความสนใจผลิตสืบต่อมาโดยทำได้อย่างสวยงามและประณีต บางโรงงานทำเลียนแบบของเก่าได้ดีทั้งสีสันและการตกแต่งลวดลาย ที่สวยงามจริงๆ ก็มีราคาสูงมากเช่นกันเพราะทำยาก หลายขั้นตอนต้องใช้ความละเอียดในการลงยาสีและการเขียนทอง ซึ่งช่างต้องมีความชำนาญเป็นพิเศษ โรงงานที่ผลิตเครื่องถ้วยเบญจรงค์และลายน้ำทองมีอยู่ทั้งที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอมีนบุรี กรุงเทพฯ และสุพรรณบุรี
ยิ่งกว่านั้นโครงการศิลปาชีพพิเศษ ซึ่งเป็นโครงการพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรผู้ยากไร้ให้ได้มีอาชีพเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยทรงให้หาครูมาสอนการทำเครื่องปั้นดินเผาแก่ประชาชนที่สนใจ ที่บ้านกุดนาขาม จังหวัดสกลนคร โปรดเกล้าฯ ให้ตกแต่งลวดลายที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากลวดลายประเพณี เพื่อให้นักเรียนของมูลนิธิศิลปาชีพพิเศษได้มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี ดังนั้นเครื่องปั้นดินเผาของบ้านกุดนาขาม แม้ว่าจะมีรูปแบบคล้ายของโบราณแต่ลวดลายที่เขียนประดับจะเป็นภาพพระบรมสาทิสลักษณ์และลายธรรมชาติ เช่น ลายนก ลายดอกไม้ไทย และลายสัตว์ป่าหายาก เป็นต้นซึ่งนับว่าเป็นเครื่องปั้นดินเผาเคลือบที่เป็นเอกลักษณ์ของงานศิลปะรัตนโกสินทร์ รัชกาล ที่ ๙ ที่โดดเด่นประเภทหนึ่ง
ดังนั้นจึงเป็นที่น่ายินดีที่ศิลปะการทำเครื่องถ้วยของไทยคงจะไม่สูญไป เมื่อมีช่างที่สนใจสืบทอดศิลปะแขนงนี้ต่อมา และประชาชนก็ให้ความสนใจซื้อหาไว้ใช้เป็นของขวัญ ของกำนัล และสะสมให้เป็นมรดกแก่ลูกหลายสืบไป
ดูเพิ่มเติมเรื่อง ชุมชนโบราณในเมืองไทยจากหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศ เล่ม ๑๕ และเครื่องปั้น เล่ม ๒๑