
คำว่า “กฎหมาย” ในสมัยนั้น มิได้หมายถึงตัวบทกฎหมายดังที่เข้าใจกันในปัจจุบัน แต่หมายถึงการจดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน หรือทำหนังสือไว้เป็นหลักฐาน ส่วนคำที่หมายถึงตัวบทกฎหมาย จะใช้ว่า พระไอยการ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา พระราชกำหนด และกฎ ดังจะเห็นได้จากตัวบทกฎหมายลักษณะต่างๆ ที่ประมวลไว้ในกฎหมายตราสามดวง
สาระสำคัญของกฎหมายตราสามดวงประกอบด้วยส่วนต่างๆ รวม ๒๖ ส่วน ดังนี้
เริ่มด้วยการกล่าวถึงตำนานการตั้งแผ่นดิน การกำเนิดมนุษย์การกำเนิดรัฐ และเจ้าผู้ครองรัฐ การพบคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เมื่อพระมโนสารฤาษี เหาะไปที่กำแพงจักรวาล ได้พบรอยจารึกเป็นภาษาบาลีตัวโตเท่ากายช้างสาร แล้วจดจำมาบันทึกเป็นคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ มอบให้พระเจ้าแผ่นดินใช้เป็นหลักในการดำรงความยุติธรรมในแผ่นดิน ส่วนนี้เป็นไปตามคติความเชื่อของอินเดีย ซึ่งมอญและไทยได้รับอิทธิพลมาตามลำดับ
ในส่วนสำคัญของพระธรรมศาสตร์ที่เป็นสาระสำคัญทางกฎหมาย ได้แก่ การวาง บทบัญญัติที่เป็นหลักการในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้เป็นผู้พิพากษาตุลาการ ในการตัดสินคดีข้อพิพาททั้งหลายของราษฎร โดยผู้ที่เป็นผู้พิพากษาตุลาการที่ดีต้องเป็นผู้ที่มีความรู้แตกฉานในข้อกฎหมาย และรู้เท่าทันข้อเท็จจริง ตั้งแต่มูลเหตุแห่งคดีทั้งหลาย ฐานะแห่งคดีตามสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้าง และข้อต่อสู้คดี การวางตนให้คู่ความเชื่อถือและเชื่อฟังความไม่เกียจคร้านในหน้าที่ ความมั่นคงในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระ ไม่ยอมให้มีการแทรกแซงจากฝ่ายใด การใช้ดุลพินิจได้อย่างถูกต้อง ถูกกฎหมาย โดยเสมอภาค และการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง รวมทั้งเนื้อความว่าด้วยมูลคดี ซึ่งมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ มูลคดี แห่งผู้พิพากษาตุลาการ ๑๐ ประการ และมูลคดี แห่งบุคคลอันเกิดพิพาทกันรวม ๒๙ ประการ