ความสนใจในกิจการรถไฟในประเทศไทยเริ่มขึ้นในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. ๒๓๙๘ คณะราชทูตจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียสมเด็จพระราชินีแห่งประเทศอังกฤษ ได้นำเครื่องราชบรรณาการและพระราชสาส์นมาถวาย พร้อมทั้งนำสนธิสัญญาฉบับแก้ไขใหม่มาแลกเปลี่ยนกับรัฐบาลไทย ส่วนหนึ่งของเครื่องราชบรรณาการที่นำมาถวายในครั้งนั้นเป็นรถไฟจำลองซึ่งย่อส่วนจากของจริง ประกอบด้วยรถจักรไอน้ำและรถพ่วงครบขบวน สามารถแล่นบนรางด้วยแรงไอน้ำทำนองเดียวกับรถใหญ่ที่ใช้อยู่ในเกาะอังกฤษ ปรากฏว่าเป็นที่สนพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และได้ทรงมีพระราชดำริที่จะสถาปนากิจการรถไฟขึ้นในประเทศไทย
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๒๙ ซึ่งเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น รัฐบาลไทยได้อนุมัติสัมปทานแก่บริษัทชาวเดนมาร์ก เพื่อสร้างทางรถไฟสายแรกขึ้นในประเทศไทยระหว่าง กรุงเทพฯ-สมุทรปราการ แต่บริษัทยังขาดทุนทรัพย์ จึงมิได้ดำเนินการก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยืมทุนทรัพย์ไปสมทบด้วยส่วนหนึ่ง และได้เสด็จพระราชดำเนินแซะดินเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ กับได้เปิดทางรถไฟ ณ สถานีสมุทรปราการเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๖ โดยใช้รถจักรไอน้ำลากจูง แต่ต่อมาภายหลังเปลี่ยนใช้รถไฟฟ้า ทางรถไฟสายนี้ได้ยุบเลิกกิจการไปเมื่อ วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๓
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมรถไฟอยู่ในสังกัดกระทรวงโยธาธิการ โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์เป็นเสนาบดี และนาย เค. เบธเก (K. Bethge) ชาวเยอรมันเป็นเจ้ากรมรถไฟ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้โปรดฯ ให้มีการเปิดประมูลสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ และในปี พ.ศ. ๒๔๓๙การก่อสร้างได้สำเร็จลงบางส่วนพอที่จะเปิดการเดินรถได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่างสถานีกรุงเทพฯ-อยุธยา ระยะทาง ๗๑ กม. เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๙ การรถไฟจึงได้ถือเอาวันที่ ๒๖ มีนาคม เป็นวันสถาปนาของรถไฟตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา การก่อสร้างระยะที่ ๒ จากอยุธยาผ่านชุมทางบ้านภาชีถึงสถานีแก่งคอย ระยะทาง ๕๓ กม.และจากสถานีแก่งคอยถึงสถานีนครราชสีมาแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๔๔๓
เพื่อเป็นการสะดวกในการก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้แยกกรมรถไฟออกเป็น ๒ กรม คือ กรมรถไฟหลวงสายเหนือ และกรมรถไฟหลวงสายใต้
การก่อสร้างทางรถไฟสายเหนือจากชุมทางบ้านภาชีถึงเชียงใหม่ ระยะทาง ๖๖๑ กม.ได้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙
การก่อสร้างทางรถไฟไปสู่ภาคใต้ของประเทศ ซึ่งเริ่มต้นจากสถานีธนบุรี (บางกอกน้อย) ไปถึงจังหวัดเพชรบุรีนั้น ได้ดำเนินการเป็นตอนๆ และได้สร้างท่าเรือขึ้นรวม ๓ แห่งคือที่กันตัง สงขลา และบ้านดอน (สุราษฎร์ธานี) พร้อมทั้งได้สร้างโรงงานชั่วคราวขึ้นที่สงขลาและกันตัง เพื่อประกอบรถจักรและล้อเลื่อน ซึ่งได้ลำเลียงมาจากต่างประเทศโดยทางเรือ การก่อสร้างทางสายใต้จึงสร้างจากเพชรบุรีลงไปทางใต้ และจากสงขลา กันตังขึ้นมาทางเหนือบรรจบกันที่ชุมพร และได้สร้างทางต่อจากสถานีหาดใหญ่ถึงสถานีปาดังเบซาร์และสุไหงโก-ลก พร้อมกับได้เปิดการเดินรถเป็นตอนๆ การก่อสร้างทางประธานสายใต้จากธนบุรี-สุไหงโก-ลก ระยะทาง ๑,๑๔๔ กม. เสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ปลายทางของทางรถไฟสายนี้ต่อเชื่อมกับรถไฟมลายาที่สถานีร่วมสุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์
เนื่องจากทางรถไฟสายเหนือที่สร้างขึ้นเป็นทางขนาดกว้าง ๑.๔๓๕ เมตร อันเป็นขนาดมาตรฐานสากลที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ในโลก (Standard Gauge) ส่วนทางสายใต้เป็นทางขนาดกว้าง ๑ เมตร (Meter Gauge) จึงก่อให้เกิดความไม่สะดวกในการจะเดินทางติดต่อร่วมกัน ทำให้ต้องขนถ่ายสับเปลี่ยนแทนที่จะขนส่งได้ทอดเดียวถึง ต่อมาได้มีการเปลี่ยนทางจากขนาดกว้าง ๑.๔๓๕ เมตร เป็น ๑ เมตร เหมือนกันทั้งหมด แล้วให้สร้างทางแยกจากสถานีบางซื่อข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานพระราม ๖ ไปบรรจบกับทางสายใต้ที่สถานีตลิ่งชัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้การคมนาคมทางรถไฟสามารถเชื่อมโยงติดต่อกันได้โดยสะดวกทั่วราชอาณาจักร รวมทั้งให้ความสะดวกในการเดินรถติดต่อกับการรถไฟของประเทศใกล้เคียง เช่น การรถไฟมลายา การรถไฟสิงคโปร์ การรถไฟกัมพูชา ซึ่งมีขนาดของทางกว้าง ๑ เมตร เช่นเดียวกันด้วย
ในระหว่างที่การก่อสร้างทางสายเหนือและสายใต้ใกล้จะเสร็จ ก็ได้เริ่มทำการก่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือและสายตะวันออกต่อไปอีก คือ จากนครราชสีมาถึงสถานีอุบลราชธานี และสถานีขอนแก่น และจากสถานีกรุงเทพฯ ถึงสถานีอรัญประเทศ
ภายหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการก่อสร้างทางรถไฟเพิ่มเติมในสายต่างๆ อีก คือสายตะวันออกเฉียงเหนือจากสถานีขอนแก่น ถึงสถานีหนองคาย ระยะทาง ๑๗๕ กม. สายตะวันออกจากสถานีจิตรลดา ถึงสถานีมักกะสัน ระยะทาง ๓ กม. สายเหนือสร้างเพิ่มเป็นทางคู่จากสถานีกรุงเทพฯ ถึงสถานีชุมทางบ้านภาชี และสายใต้ ถึงสถานีวังโพและสุพรรณบุรี กับจากสถานีทุ่งโพธิ์ถึงสถานีคีรีรัฐนิคม รวมทางประธานที่เปิดการเดินรถทั่วประเทศตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นระยะทางทั้งสิ้น ๓,๘๕๕ กม.
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การรถไฟขึ้น เรียกว่า "การรถไฟแห่งประเทศไทย" โดยให้โอนกิจการของกรมรถไฟให้องค์การนี้ทั้งหมด โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตัวคณะกรรมการรถไฟขึ้นดูแลควบคุมกิจการขององค์การ และรัฐได้มอบเงินจำนวน ๓๐ ล้านบาท ให้เป็นเงินสมทบทุนประเดิมของการรถไฟแห่งประเทศไทย
การบริหารกิจการรถไฟเกี่ยวกับด้านเดินรถและด้านพาณิชย์ได้ก้าวหน้ามาตามลำดับโดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ การรถไฟได้รับการติดต่อจากการรถไฟกัมพูชา และจากการรถไฟมลายา ขอให้เปิดการประชุมเพื่อเจรจาหารือทำความตกลงกันเกี่ยวกับการเดินขบวนรถเชื่อมต่อกัน ผลของการประชุม คือ
ก. คณะผู้แทนรถไฟกัมพูชาได้เจรจาเรื่อง การเชื่อมทางรถไฟกัมพูชากับรถไฟไทยในทางรถไฟสายตะวันออก (สายอรัญประเทศ) และได้เปิดการเดินรถไฟติดต่อระหว่างประเทศ ในวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ต่อมาได้หยุดการเดินรถไฟไประยะหนึ่งตั้งแต่วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ แล้วเปิดการเดินรถใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายนพ.ศ. ๒๕๑๓ แต่ก็ได้ยุติการเดินรถอีก เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๗
ข. รัฐบาลมาเลเซียได้เจรจาขอเปิดการเดินรถไฟเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ระงับการเดินรถร่วมกันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ คณะผู้แทนรถไฟมลายาได้เจรจาข้อตกลงเกี่ยวกับการเดินรถไฟติดต่อร่วมทางผ่านแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย ตามนัยแห่งสัญญาเดิมที่ทำไว้ต่อกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ โดยแก้ไขบ้างบางประการ และได้ตั้งต้นปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่นี้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นต้นมา
ประวัติการรถไฟในประเทศไทย
ประวัติการรถไฟในประเทศไทย, ประวัติการรถไฟในประเทศไทย หมายถึง, ประวัติการรถไฟในประเทศไทย คือ, ประวัติการรถไฟในประเทศไทย ความหมาย, ประวัติการรถไฟในประเทศไทย คืออะไร
ประวัติการรถไฟในประเทศไทย, ประวัติการรถไฟในประเทศไทย หมายถึง, ประวัติการรถไฟในประเทศไทย คือ, ประวัติการรถไฟในประเทศไทย ความหมาย, ประวัติการรถไฟในประเทศไทย คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!