
ศาสนาขงจื๊อเกิดในประเทศจีน และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งสังคมและความคิดของคนจีนทั้งมวลอย่างแยกไม่ออกทีเดียว คัมภีร์ของขงจื๊อจึงมิได้ถือว่าเป็นคัมภีร์ของนิกายใดนิกายหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ถือว่าเป็นมรดกทางวรรณกรรมของประชาชนชาวจีนทั้งมวล
ขงจื๊อเกิดเมื่อ พ.ศ. ๘ ในแคว้นหลู่ซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆ ปัจจุบันอยู่ในมณฑลชานตุงบิดาชื่อ คุงฉุเหลียงฮี หรือ ขงสกเลี่ยงขึก มารดา ชื่อ จิน ไจ ท่านเกิดในระหว่างที่บ้านเมืองกำลังยุ่งเหยิง บรรพบุรุษของท่านเป็นผู้ดีเก่าซึ่งมิได้มั่งมีมากนัก หลังจากที่ท่านเกิดแล้วตระกูลของท่านก็ตกต่ำยากจนลง บิดาของท่านถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็กอยู่มากท่านจึงต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการศึกษา และการดำรงชีวิตอยู่ในโลกตามลำพัง
ในตอนแรกท่านได้เข้ารับราชการเป็นผู้ว่าการฉางหลวง มีหน้าที่เก็บภาษีข้าวเปลือก ที่ชาวนาจะนำขึ้นฉางหลวงของกษัตริย์แห่งแคว้นหลู่ ท่านเป็นผู้มีความรอบรู้ในจารีตประเพณีดีกว่าผู้ใดทั้งสิ้น จนกลายเป็นอาจารย์ของคนทั้งหลายไปโดยปริยาย การที่ท่านได้เข้ารับราชการนี้ ทำให้ท่านได้เห็นความเหลวแหลกเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา
ขงจื๊อได้รับราชการมาด้วยความสามารถสูง จึงได้รับเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับจนกระทั่งเป็นผู้ว่าการกระทรวงยุติธรรม ท่านได้วางกำหนดข้อบังคับให้เป็นข้อประพฤติปฏิบัติของประชาชน ในไม่ช้าบ้านเมืองก็ไม่มีคดีอาญาเลย โจรผู้ร้ายก็สงบราบคาบ ในที่สุดท่านก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้รักษาการประธานมนตรีของแคว้นหลู่ ทำให้แคว้นหลู่รุ่งเรื่องเป็นรัฐชั้นนำรัฐหนึ่ง จนเป็นเหตุให้เจ้าผู้ครองรัฐอื่นๆ อิจฉา หาอุบายทำให้เจ้าครองแคว้นหลู่กับขงจื๊อต้องผิดใจกัน ในที่สุดขงจื๊อก็ต้องออกจากตำแหน่ง แล้วก็พาสานุศิษย์ท่องเที่ยวไปยังรัฐต่างๆ โดยหวังจะชักชวนเจ้าครองนครทั้งหลายให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของตน แต่ท่านต้องได้รับความผิดหวังตลอดมา บางครั้งถึงกับทำให้ท่านต้องอดอาหาร และไม่มีร่มไม้ชายคาเป็นที่พักอาศัยในระหว่างเดินทางก็มีอยู่บ่อยๆ
เมื่อท่านแก่ตัวลง มีอายุได้ ๖๘ ปี ก็เดินทางกลับมายังแคว้นหลู่อีก ใช้เวลาในบั้นปลายชีวิตชำระรวบรวมวรรณกรรมต่างๆ ผลงานที่ขงจื๊อได้จัดทำนี้มีชื่อว่า "วูกิง" หรือคัมภีร์ทั้ง ๕ อันได้แก่ (๑) ซือกง หรือ คัมภีร์คีตคาถา (๒) ซูกิง หรือ คัมภีร์ประวัติศาสตร์(๓) ชุนชิว หรือ คัมภีร์บันทึกเหตุการณ์ฤดูวสันต์และฤดูสารท (๔) โลยเกง หรือ คัมภีร์จารีตพิธี และ (๕) เอียะเกง หรือ คัมภีร์เรื่องการเปลี่ยนแปลง เมื่อขงจื๊อถึงแก่กรรมแล้วบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายได้รวบรวมบรรดาสุภาษิต และคำสั่งสอนของท่านซึ่งมีอยู่มากมายขึ้นเรียกว่า คัมภีร์ลุ่นยื้อ เมื่อท่านถึงแก่กรรมแล้วประมาณ ๑๐๐ ปี ก็มีศิษย์รุ่นใหม่ของท่านชื่อเม่งจื๊อ เป็นผู้เผยแผ่คำสั่งสอนของขงจื๊อให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
คำสอนของขงจื๊อมีอยู่มากมาย อย่างเช่น ในเรื่องการศึกษา ท่านได้กล่าวไว้ว่า"เมื่อเดินอยู่ด้วยกันสามคน ข้าพเจ้ามักมีครูเสมอ ข้าพเจ้าสามารถเลือกคุณสมบัติที่ดีๆของคนคนหนึ่ง เอามาประพฤติเลียนแบบได้ และเลือกเอาคุณสมบัติที่เลวๆ ของอีกคนหนึ่ง มาแก้ไขตัวข้าพเจ้าเองได้" และท่านได้สอนไว้อีกว่า "เรียนแต่ไม่คิด ก็เป็นการเสียเปล่า คิดแต่ไม่เรียน ก็เป็นอันตราย" เพราะผู้ที่เรียนไปแล้ว ถ้าไม่รู้จักนำเอาความรู้นั้นไปพิจารณาหรือคิดทำอะไรต่างๆ ให้งอกเงยขึ้นมา ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เสียเงินเสียเวลาเปล่าๆ แต่พวกที่ชอบคิด โดยไม่ได้เรียนให้รู้เสียก่อนนั้น มักก่อให้เกิดความยุ่งยากแก่สังคมมาก จึงนับว่าเป็นอันตรายทั้งแก่ตัวเองและสังคม
ขงจื๊อได้สอนในเรื่องมนุษยธรรมไว้ว่า "ให้เอาใจเขามาใส่ใจเราดูบ้าง เราไม่ชอบให้ใครทำอะไรต่อเรา เราก็ไม่ควรทำสิ่งนั้นต่อเขา เราอยากให้เขารักเรา เราก็ต้องรักเขา"
ท่านได้สอนให้บุตรธิดามีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด การแสดงความกตัญญูนั้นไม่ใช่เพียงให้อาหาร ที่อยู่อาศัย เป็นต้น แก่บิดามารดาเท่านั้นเพราะแม้สุนัข แมว ที่เราเลี้ยงมันไว้ เรายังให้อาหารมันเลย ข้อสำคัญก็คือเราจะต้องมีความรู้สึกเคารพนับถือบิดามารดาด้วยใจจริง ถ้าหากเราไม่ให้ท่านด้วยความเคารพนับถือแล้ว ก็คงไม่ผิดอะไรกับที่เราให้อาหารสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เป็นแน่ ถ้าเห็นบิดามารดาประพฤติผิด บุตรธิดาอาจทัดทานท่านได้ แต่ต้องทำด้วยกิริยาอาการที่สุภาพ แม้ท่านจะไม่เชื่อก็อย่าเพิ่งเลิกล้มความตั้งใจเสีย
นอกจากนั้นท่านยังได้แนะนำในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองบ้านเมืองกับประชาชนพลเมือง ระหว่างบิดามารดากับบุตรธิดา ระหว่างสามีกับภรรยา ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย และระหว่างเพื่อนไว้ด้วย ถ้าหากทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ได้แล้วคนทั้งหลายในโลกก็จะอยู่ร่วมกันได้โดยสันติสุข
ในประเทศไทย ชาวจีนทั่วๆ ไปที่นับถือพระพุทธศาสนา ก็มักจะนับถือศาสนาขงจื๊อควบคู่ไปด้วย มีผู้ที่นับถือศาสนาขงจื๊อจริงๆ ประมาณไม่ถึง ๕๐๐,๐๐๐ คน คิดเป็นร้อยละก็ประมาณ ๑.๗๕ ของพลเมืองของประเทศ
(ดูเพิ่มเติมเรื่อง การศึกษา ในเล่ม ๒)