ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัด มีลักษณะเป็นอาคารเครื่องก่อทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างโบสถ์วิหารทั่วไป หอพระมณเฑียรธรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นหอพระ ไตรปิฎกที่สร้างขึ้นแทนหอเดิมกลางสระน้ำ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราช- ธานี ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ นั้น พระองค์มีพระราชดำริที่จะเจริญรอยตามพระราชประเพณีของพระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณ ในการสร้างพระราชมณเฑียรใหม่ ใน พ.ศ. ๒๓๒๖ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอารามขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งประกอบด้วยพระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร ศาลาราย พร้อมทั้งขุดสระและสร้างหอพระไตรปิฎกลงในสระ แล้วพระราชทานนามว่า หอพระมณเฑียรธรรม ซึ่งแปลตามรูปศัพท์ หมายถึงเป็นที่สถิตแห่งธรรม โปรดเกล้าฯ ให้ เป็นที่เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎกของหลวง และ ใช้เป็นสถานที่ทำงานของบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิต ที่เป็นอาจารย์ทำหน้าที่ตรวจสอบและบอกพระไตรปิฎกแก่พระสงฆ์สามเณรด้วย เนื่องจากในระหว่างสงครามนั้น หนังสือคัมภีร์ต่างๆ ได้กระจัดกระจายพลัดหายไป มีไม่ครบจบเรื่องเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลมหาราชมีพระราชประสงค์ที่จะรวบรวมและสร้างขึ้นใหม่ให้ครบ จึงใช้หอพระมณเฑียรธรรมเป็นสถานที่รวบรวมหนังสือของหลวง และโปรดเกล้าฯ ให้กระทำการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นที่วัดนิพพานาราม (ปัจุบัน คือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ราชวรมหาวิหาร) และให้ช่างจารพระไตรปิฎกที่สังคายนาแล้วลงใบลานด้วยอักษรขอม ตกแต่งคัมภีร์ ลงรักปิดทองทึบตลอด เป็นฉบับหลวง เรียกว่า ฉบับทองทึบ ในรัชกาลต่อมามีการสร้างคัมภีร์ปิดทองขึ้นอีก จึงเรียกฉบับทองทึบที่สร้างในรัชกาลที่ ๑ ว่า ฉบับทองใหญ่
เมื่อการสร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับหลวงตามที่สังคายนาสำเร็จใน พ.ศ. ๒๓๓๑แล้ว ได้อัญเชิญเข้าประดิษฐานในตู้ประดับมุก ตั้งในหอพระมณเฑียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วโปรดเกล้าฯ ให้มีการมหรสพสมโภชพระไตร ปิฎกและหอพระมณเฑียรธรรม ในคืนวันสมโภชนั้น เวลาจุดดอกไม้เพลิง ลูกพลุปลิวไปตกลงบน หลังคาหอพระมณเฑียรธรรม เกิดเพลิงไหม้ขึ้น แม้ว่าจะสามารถยกตู้ประดับมุก และขนคัมภีร์พระไตรปิฎกออกมาได้ทั้งหมด แต่เพลิงก็ไหม้หอพระมณเฑียรธรรมหมดทั้งหลัง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถมสระเดิมนั้น แล้วสร้างพระมณฑปขึ้นแทน สำหรับใช้เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกแทนหอพระมณเฑียรธรรมเดิมที่ถูกเพลิงไหม้ แต่พระมณฑปเล็กและแคบ ไม่พอที่จะเก็บคัมภีร์พระไตรปิฎกของหลวงไว้ได้ทั้งหมด ครั้งนั้นสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงทรงรับอาสาให้ช่างวังหน้ามาสมทบสร้าง หอพระมณเฑียรถวายใหม่อีกหลังหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระมณฑป
ใน พ.ศ. ๒๓๓๒ การสร้างพระมณฑปและหอพระมณเฑียรธรรมได้สำเร็จบริบูรณ์ จึงได้เชิญตู้ประดับมุก ซึ่งประดิษฐานพระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่ มาตั้งไว้ในพระมณฑป ส่วนคัมภีร์ฉบับอื่นซึ่งเป็นของเดิมเรียกกันว่า ฉบับครูเดิม และที่สร้างขึ้นใหม่นอกจากที่อยู่ในพระมณฑป ให้ใส่ตู้ทองลายรดน้ำเก็บไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม ฉะนั้นจึงมีหนังสือเป็นจำนวนมาก และสมบูรณ์เกือบทุกฉบับ ทำให้หอพระมณเฑียรธรรมมีลักษณะเป็นหอสมุดพระพุทธศาสนาของหลวงหลังแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมราชบัณฑิตตั้งอยู่ในหอพระมณเฑียรธรรม โดยมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของคัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับต่างๆ และดูแลรักษาหนังสือในหอพระมณเฑียรธรรมไปด้วย หอพระมณเฑียรธรรมของวัดพระศรีรัตนศาสดารามจึง เป็นศูนย์รวมแห่งนักปราชญ์ราชบัณฑิตประจำราชสำนัก และยังเคยใช้เป็นสถานที่สอบบาลีสนามหลวง (คือการสอบไล่ ทดสอบความรู้ภาษาบาลี ซึ่งดำเนินการโดยรัฐ) ของพระสงฆ์สามเณร เพื่อเลื่อนฐานะเปรียญธรรม
เห็นได้ว่า ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หอพระมณเฑียรธรรม หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า หอหลวง นั้น มิได้ใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎกแต่เพียงอย่างเดียว กิจการงานต่างๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมราชบัณฑิต ก็ได้ปฏิบัติกันในหอพระมณเฑียรธรรมทั้งสิ้น เช่น ในโอกาสที่พระราชโอรสพระราชธิดาประสูติใหม่ ยังมิได้พระราชทานนาม ก็โปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตประชุมกันในหอพระมณเฑียรธรรม เพื่อตั้งพระนามทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชวินิจฉัยอย่างไรแล้ว จึงประกอบพิธีจารึกพระนามลงพระสุพรรณบัฏเจ้านายต่างกรมที่หอพระมณเฑียรธรรมนั้น นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่จารึกพระราชสาส์นที่มีไปยังต่างประเทศ และใช้เป็นที่แปลพระราชสาส์นที่ต่างประเทศมีมาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับทั้งใช้เป็นที่ประชุมลูกขุน ณ ศาลา เช่นเดียวกับหอพระราชสาส์นครั้งกรุงเก่าด้วย
ในรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หอพระมณเฑียรธรรมยังใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหนังสือของหลวงและสิ่งของอื่นๆ อีกหลายอย่าง ได้แก่
๑. ตู้พระไตรปิฎกประดับมุกคู่หนึ่ง ตกแต่งลวดลายวิจิตรงดงามหาที่เปรียบได้ยาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า ตู้ทั้งสองใบนี้ แต่เดิมคงจะมิได้สร้างขึ้นสำหรับตั้งในหอพระมณเฑียรธรรมแห่งนี้ แต่ได้เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น
๒. ตู้พระไตรปิฎกลายทองใบใหญ่ ซึ่งทำขึ้นสำหรับใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎก ในหอพระมณเฑียรธรรมโดยเฉพาะ
๓. พระแท่นบรรทมประดับมุก ได้ตกแต่งลวดลายแบบเดียวกับพระแท่นเศวตฉัตร ซึ่งตั้งอยู่ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแต่เดิมพระแท่นบรรทมนี้คงจะตั้งอยู่ในพระที่นั่งแห่งใดแห่งหนึ่ง ภายหลังจึงได้เคลื่อนย้ายมาตั้งในหอพระมณเฑียรธรรม
หนังสือในหอพระมณเฑียรธรรมซึ่งได้ รวบรวมไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ นั้น บางชุดได้ ใช้ในการสอบไล่พระปริยัติธรรม และมีการอนุญาตให้วัดต่างๆ หยิบยืมไปใช้เสมอ จนมาถึงรัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการตรวจสอบบัญชีหนังสือพระไตรปิฎก ในหอพระมณเฑียรธรรม ปรากฏว่าหนังสือ ขาดบัญชีไปเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพิ่มเติมขึ้นใหม่สำหรับของหลวงคัมภีร์พระไตรปิฎกชุดนี้ ในกรมราชบัณฑิต เรียกชื่อว่า ฉบับรดน้ำแดง ซึ่งสร้างขึ้นเพียงชุดเดียว แต่สร้างไม่ครบทั้งชุด
นอกจากนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนี้ ยังมีการสังคายนาสวดมนต์ ที่กล่าวว่า สังคายนาสวดมนต์ นั้น ที่จริงคือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แปล พระปริตรทั้งหลายออกเป็นภาษาไทยนั่นเอง และในครั้งนั้นยังได้โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้า น้องนางเธอ พระองค์เจ้าศศิธร เป็นหัวหน้าชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการฝ่ายในฝึกหัดสวดพระปริตร โดยทรงกำหนดให้ราชบัณฑิตเข้าไปบอกที่พระทวารเทวราชมเหศวร และข้าราชการฝ่ายในท่องต่ออยู่ใน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ นับเป็นการเริ่มต้นครั้ง แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่สตรีสวดพระปริตร
ในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นยุคสมัยที่มีการฟื้นฟูและส่งเสริมในด้านการพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องสำคัญ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ และสถาปนาพระอารามขึ้นหลายแห่งรวมทั้งหอพระมณเฑียรธรรมก็ได้รับการปฏิสังขรณ์ในครั้งนั้นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสนพระราชหฤทัยในกิจการของพระพุทธ-ศาสนา ทำให้พระสงฆ์สามเณรในรัชกาลนั้น มีความอุตสาหะเล่าเรียนพระปริยัติธรรมกัน อย่างแพร่หลายการศึกษาคัมภีร์พระไตรปิฎก ได้รับความนิยมทั่วไปทั้งในกรุงและนอกกรุง พระสงฆ์สามเณรสามารถสอบไล่หนังสือได้ เปรียญเอก โท ตรี เป็นจำนวนมาก และถ้าพระสงฆ์สามเณรลาสิกขาแล้ว จะไปทำราชการในกรมใด ก็ให้ทำได้ตามใจสมัคร ด้วยเหตุนี้เอง ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจึงมีผู้รู้ที่อยู่ในขั้นนักปราชญ์ ทั้งพระสงฆ์ และฆราวาสเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระไตรปิฎกสำหรับหอหลวงอีก ๕ ฉบับ คือ
๑. ฉบับรดน้ำเอกเมื่อสร้างเสร็จแล้วโปรดเกล้าฯ ให้เก็บไว้ในหอพระเจ้าภายในพระบรมมหาราชวัง ภายหลังพระไตรปิฎกชุดนี้ถูกน้ำฝนชะ และปลวกกิน ทำให้หนังสือชำรุดไปบ้าง ในรัชกาลต่อมาจึงโปรดเกล้าฯ ให้เคลื่อนย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่หอพระมณเฑียรธรรม
๒. ฉบับรดน้ำโท สร้างสำหรับหอหลวง เพื่อใช้ในการสอบไล่พระปริยัติธรรม
๓. ฉบับทองน้อย คัมภีร์ฉบับนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ช่างผู้หญิงฝึกหัดจารหนังสือที่ตำหนักแพ นับเป็นคัมภีร์พระไตรปิฎกของหลวงฉบับแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่จารโดยฝีมือช่างผู้หญิง
๔. ฉบับเทพชุมนุม ๒ ชุด สำหรับพระราชทานไปยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร คัมภีร์ทั้ง ๒ ชุดนี้ ต่อมาถูกฝนชะ และปลวกกินชำรุดเสียหายเป็นจำนวนมาก ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายคัมภีร์พระไตรปิฎกส่วนที่เหลือมาเก็บรักษาไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรวจ สอบบัญชีหนังสือในหอพระมณเฑียรธรรมอีก ปรากฏว่า หนังสือขาดบัญชีไปเป็นจำนวนมากเช่นเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๒ ดังนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพิ่มเติมแทนของเก่าที่หายไป หนังสือชุดนี้เรียกว่า ฉบับล่องชาด
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารคัมภีร์พระไตรปิฎกขึ้นอีกเรียกว่า ฉบับทองทึบ และเนื่องจากในรัชกาลนี้มีการพิมพ์หนังสือกันแพร่หลายยิ่งขึ้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระไตรปิฎก ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้อักษรไทยแทนอักษรขอม และโปรดเกล้าฯ ให้เก็บพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์นี้ไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม ๑ ชุด เมื่อมีการพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยเครื่องพิมพ์แล้ว การจารพระไตรปิฎกลงใบลานด้วย อักษรขอมก็หมดความนิยม และต้องเลิกไปโดยปริยาย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการ ปฏิสังขรณ์หอพระมณเฑียรธรรม คราวเดียวกับการปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงแนะนำให้เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (หม่อมราชวงศ์เย็น อิศรเสนา) ผู้ควบคุมการปฏิสังขรณ์ นำบานประตูมุกลายกระหนก ซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มาใช้เป็นบานประตูกลางด้านหน้าหอพระมณมณเฑียรธรรม แทนบานประตูลายน้ำบานเดิม บานประตูนี้ได้มาจากวัดบรมพุทธาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หอพระมณเฑียรธรรมจัดเป็นสถาปัตยกรรมไทยที่ยังคงรักษารูปแบบศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไว้ได้ค่อนข้างมาก แม้จะได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์มาหลายครั้งแล้วก็ตาม การตกแต่งเครื่องไม้จำหลักประดับ กระจกตามส่วนต่างๆ ของอาคาร เช่น ที่หน้าบันหน้าอุดปีกนก รวมทั้งซุ้มประตูหน้าต่างล้วนงดงามอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทวยที่รองรับชายคา จำหลักเป็นลายกระหนกม้วนปลาย มีส่วนหัวเป็นรูปหัวนาค ลักษณะของทวยแบบนี้ กล่าวกันว่าเป็นลักษณะเฉพาะของฝีมือช่างวังหน้าในรัชกาลที่ ๑
ภายในอาคารหอพระมณเฑียรธรรม น่าจะได้มีการตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังมาตั้งแต่แรกสร้าง และเมื่อมีการปฏิสังขรณ์แต่ละคราว จิตรกรรมฝาผนังภายในอาคารก็คงจะมีการอนุรักษ์เป็นระยะๆ เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระมณเฑียรธรรมมีทั้งภาพเล่าเรื่อง และภาพลอยตัว เต็มผนังทั้ง ๔ ด้าน ที่ใต้ภาพบางภาพมีนามของช่างผู้เขียนปรากฏอยู่ เท่าที่รวบรวมได้มี ๔ ชื่อ คือ ฉ. ณ นคร นายไว้ นายทองอยู่ อินมี และนายหงวน รักมิตร์โดยเฉพาะที่ใต้ชื่อนายหงวน รักมิตร์ นั้น มีข้อความว่า “เขียน พ.ศ. ๗๔” ซึ่งน่าจะหมายถึง “เขียน พ.ศ. ๒๔๗๔” อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อครั้งมีอายุครบ ๑๕๐ ปี นั่นเอง
จิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระมณเฑียรธรรม ตอนล่างเป็นภาพเล่าเรื่องมหาชาติชาดก ตอนกลางระหว่างช่องหน้าต่างเขียนเป็นภาพลอยตัวเทพบุตรและเทพธิดายืนพนมหัตถ์ ส่วนตอนบนเป็นภาพเทพชุมนุม รวมถึงบริเวณบานแผละหน้าต่างตอนบนเป็นภาพต่อเนื่องกับภาพเทพชุมนุม ซึ่งเขียนเป็นภาพเทวดากำลังเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้า ส่วนตอนล่างซึ่งเป็นภาพพื้นดิน เขียนภาพเล่าเรื่องตามกระทู้คำพังเพย กลุ่มภาพกระทู้คำพังเพยเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นงานเขียนที่ไม่พิถีพิถันในด้านสุนทรียภาพมากนัก แต่ผู้เขียนภาพเน้นไป ทางด้านเนื้อหาของเรื่องเป็นสำคัญ ซึ่งทำให้ภาพมีคุณค่ายิ่งขึ้น ดังตัวอย่าง ๒ ภาพต่อไปนี้
๑. ภาพเด็กชายยืนอยู่ริมฝั่งน้ำในมือทั้งสองข้างจับปลาไว้ข้างละตัว ภาพนี้มีความหมายตามกระทู้คำพังเพยว่า จับปลาสองมือ
๒. ภาพชายคนหนึ่งยืนแหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า มีน้ำลายฟูฝอยอยู่สูงขึ้นไปเหนือใบหน้า ภาพนี้มีความหมายตามกระทู้คำพังเพยว่า ถ่มน้ำลายรดฟ้า
อีกประการหนึ่ง ปรากฏหลักฐานว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงคัดเลือกตู้มุกที่มีลวดลาย สวยงามบรรดาที่มีอยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณ รวบรวมไปจัดตั้งไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม ตู้เหล่านั้นบางตู้มีจารึกว่า สร้างใน พ.ศ. ๒๓๘๙ บางตู้มีประวัติบันทึกไว้ว่า เดิมเป็นตู้เก็บพระภูษาทรงในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนถึงปัจจุบันตู้ดังกล่าวรวมทั้งบรรดาหนังสือคัมภีร์พระไตรปิฎกต่างๆ ที่เก็บรักษาไว้ในหอนั้น ก็ยังคงเก็บอยู่เช่นเดิม
ปัจจุบันหอพระมณเฑียรธรรมใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลานเพียงอย่างเดียว ซึ่งเจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติได้จัดทำบัญชีทะเบียนไว้แล้ว รวมเป็นคัมภีร์พระไตรปิฎก ๑,๑๒๘ คัมภีร์ แบ่งเป็นหมวดพระวินัยปิฎก ๒๐๓ คัมภีร์ หมวดพระสูตร ๗๒๓ คัมภีร์ และหมวดพระอภิธรรม ๒๐๒ คัมภีร์ โดยปกติในหอพระมณเฑียรธรรมไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ทุกวัน แต่จะมีกำหนดเปิดเป็นครั้งคราวตามวาระต่อไปนี้
๑. เมื่อมีงานพระราชพิธีที่ต้องใช้พระธรรมเป็นองค์ประกอบ เจ้าหน้าที่สำนักงานวัดพระศรีรัตนศาสดารามจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติคัดเลือกคัมภีร์พระไตรปิฎกในหอพระมณเฑียรธรรมออกไปร่วมในงาน พระราชพิธีนั้น
๒. เมื่อถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เจ้าหน้าที่สำนักงานวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จะเปิดหอพระมณเฑียรธรรม เจ้าพนักงาน ของสำนักพระราชวังจะจัดตั้งเครื่องบูชาพานพุ่มดอกไม้ธูปเทียน ในวันอาสาฬหบูชาจะมีผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นองค์ประธาน ในพิธีถวายเครื่องสักการบูชาพระธรรม
๓. เมื่อมีผู้ประสงค์ที่จะใช้คัมภีร์พระ ไตรปิฎกเพื่อการอ่าน แปล ตรวจสอบ หรือคัดลอก เฉพาะกรณีคัมภีร์ที่ไม่มีฉบับอื่นอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ ทั้งนี้ต้องไม่ขัดต่อระเบียบ ของทางราชการด้วย