
ระบบประสาทประกอบด้วยสมอง ไขสันหลังและกล้ามเนื้อ ระบบประสาทมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว การพูด ความนึกคิด ความรู้สึก (เช่นเจ็บ สัมผัส) ความรู้สึกพิเศษ (เช่น การเห็น การได้กลิ่น การได้รส การได้ยิน) การขับถ่ายต่างๆ (อุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อ สิ่งขับหลั่งต่างๆ) รวมทั้งเกี่ยวข้องกับรีเฟล็กซ์ (reflex) ต่างๆ (เช่น การไอการกลืน) เป็นต้น อาการปวดศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดอาการหนึ่ง และเป็นอาการซึ่งอาจชี้บ่งสาเหตุที่ร้ายแรงได้ แม้ว่าอาการปวดศีรษะจะมีความรุนแรงเพียงเล็กน้อยก็ตาม อาการปวดศีรษะเกิดขึ้นเนื่องจากมีการกระตุ้นต่ออวัยวะของศีรษะที่อาจเจ็บปวดได้ อวัยวะดังกล่าวที่สำคัญ ได้แก่ ผิวหนังของศีรษะ เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง กลุ่มกล้ามเนื้อท้ายทอย ขมับและหน้าผากหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดแดงใหญ่ๆ ทั้งที่อยู่ภายในและนอกกะโหลกศีรษะ เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ เยื่อหุ้มสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยื่อหุ้มบริเวณฐานสมองและเยื่อหุ้มสมองที่เป็นผนังของวีนัสไซนัสใหญ่ๆ ภายในกะโหลกศีรษะ ประสาทสมองและแขนงรากประสาท ซึ่งมีใยประสาทรับความรู้สึกเส้นประสาทสมองคู่ที่ ๕,๙,๑๐ และรากประสาทคอที่ ๑,๒,๓ เป็นต้น เป็นที่น่าสังเกตว่าตัวกระดูกของกะโหลกศีรษะ เนื้อสมองและอวัยวะอื่นๆ ไม่มีการเจ็บปวดเมื่อได้รับการกระตุ้นโดยตรง กลไกของการกระตุ้นอวัยวะที่อาจรับความรู้สึกเจ็บปวดได้ดังกล่าวมีหลายสาเหตุ เช่น การอักเสบ การกดโดยตรง การดึงหรือการทำให้บิดเบี้ยว การเปลี่ยนแปลงของขนาดของหลอดเลือดแดง และการระคายเคือง เป็นต้น
อาการปวดศีรษะข้างเดียว อาการนี้บางทีเรียกว่า โรคไมเกรน (migraine, hemicrania) เป็นโรคปวดศีรษะที่มีอาการเป็นพักๆ และมีสาเหตุจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดง ในผู้ป่วยที่มีอาการแสดงครบชุดจะปรากฏว่ามีอาการแสดงทางตาและอาการแสดงอื่นๆ ซึ่งแสดงว่ามีอาการผิดปกติในหน้าที่ของสมอง ร่วมกับอาการปวดศีรษะซีกเดียวและมีอาเจียนร่วมด้วย โรคนี้เป็นโรคซึ่งพบได้บ่อยมาก โดยมากจะมีอาการเริ่มขึ้นในวัยหนุ่มสาว และมีอุบัติการสูงสุดในระหว่างอายุ ๓๐-๕๐ ปี
ไมเกรนเป็นโรคซึ่งพบได้ทั้งในหญิงและชาย แต่กล่าวกันว่าพบได้บ่อยในหญิงมากกว่าชาย นอกจากนี้ยังอาจมีประวัติของไมเกรนในครอบครัวได้ อาการของโรคนี้มีได้หลายระยะ คือ
อาการนำที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่อาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน หรือมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับลำไส้ เช่น ท้องร่วง ท้องอืด ท้องผูก อาการดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการปวดศีรษะหรือก่อนมีอาการปวดศีรษะก็ได้ ผู้ป่วยอาจจะมีอาการที่มองเห็นเสมือนหนึ่งว่ามีใบไม้ไหว หรือแสงสว่างกะพริบ มีสีสว่างหรือสีอื่นๆ บางคนอาจให้ประวัติว่ามองเห็นจุดดำๆ อยู่ที่นัยน์ตาทั้งสองข้าง นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆ เช่น อาการแสบ อาการชา อาการอ่อนแรงของแขนขา และอาการผิดปกติเกี่ยวกับการพูด เป็นต้น
อาการปวดศีรษะเป็นอาการที่เด่นชัดที่สุดของโรคไมเกรน และมักเป็นอาการที่ทำให้ผู้ป่วยมาหาแพทย์ อาการปวดศีรษะมักจะเริ่มที่ข้างใดข้างหนึ่งของกะโหลกศีรษะ เช่น ที่บริเวณขมับแล้วค่อยๆ กระจายไปปวดที่บริเวณของศีรษะซีกนั้นทั้งหมด บางครั้งบางคราวอาจจะมีอาการปวดทั่วศีรษะได้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการกลัวแสงร่วมด้วย และมีอาการทางเวโซมอเตอร์ เช่น หน้าซีด ตัวเย็น หน้าแดง ตาแดง คัดจมูกเมื่อหายจากอาการปวด ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย ไม่อยากทำงาน อาการดังกล่าวอาจเป็นอยู่นานหลายนาที จนถึงสองหรือสามวันได้
การวินิจฉัยโรคอาศัยลักษณะของอาการที่ค่อนข้างเฉพาะของโรคนี้ อย่างไรก็ดี แพทย์จำเป็นต้องแยกโรคนี้จากผู้ป่วยที่มีอาการเหมือนไมเกรน ซึ่งอาจจะมีสาเหตุอย่างอื่นก็ได้
การรักษา ผู้ป่วยที่มีอาการปวดแต่เพียงเล็กน้อยให้ยาแก้ปวดธรรมดา เช่น แอสไพริน ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจให้ยาเออร์โกทามีนทาร์เทรต (ergotamine tartrate) ซึ่งเป็นยาที่มีฤทธิ์ลดการขยายตัวของหลอดเลือดแดง นอกจากนี้เป็นการรักษาปัจจัยซึ่งอาจกระตุ้นให้มีอาการปวดได้ ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรง และปวดถี่แพทย์อาจให้ยาป้องกันอาการปวด เช่น พิโซทิเฟน (pizotifen) โพรพาโนลอล (propanolol) เป็นต้น
อาการปวดศีรษะจากความเครียด อาการปวดศีรษะจากความเครียดเกิดขึ้นเนื่องจากมีการหดตัวเกินปกติของกล้ามเนื้อรอบศีรษะ และกล้ามเนื้อบริเวณคอ โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย
อาการปวดศีรษะชนิดนี้มีลักษณะการปวดตื้อๆรอบๆ ศีรษะเสมือนหนึ่งมีผ้ามาบีบรัด โดยที่บางครั้งอาจจะมีอาการมากที่บริเวณท้ายทอยหรือขมับทั้งสองข้างได้ การปวดมักจะเป็นมากในเวลาบ่ายหรือหลังจากได้ทำงานมาเป็นเวลานาน ผู้ป่วยอาจมีอาการแสดงของความเคร่งเครียดร่วมด้วย เช่น มีอาการคิ้วขมวดหน้าผากย่นหรือกัดฟันตลอดเวลา
การวินิจฉัยโรคส่วนใหญ่อาศัยลักษณะประวัติของผู้ป่วยและการตรวจร่างกาย ซึ่งนอกจากอาการกดเจ็บข้างต้น ผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติในการตรวจร่างกายแต่อย่างใด
การรักษาสำคัญประกอบด้วยการให้ยาระงับปวดในกรณีที่มีอาการปวดมากร่วมกับการให้ยาระงับประสาท
อาการปวดศีรษะจากภาวะความดันภายในกะโหลกศีรษะสูงเกินปกติ อาการปวดศีรษะชนิดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีความดันภายในกะโหลกศีรษะสูงเกินปกติ ทำให้มีการดึงการดัน หรือทำให้มีการเปลี่ยนที่ของอวัยวะที่อาจจะเจ็บปวดได้ สาเหตุของการเจ็บปวดชนิดนี้มีได้หลายประการเช่น เป็นเนื้องอกสมองเนื่องจากไฮโดรซีฟาลัสอุดกั้น(obstructive hydrocephalus) ผู้ป่วยมักมีอาการปวดตลอดศีรษะแต่อาจจะปวดมากที่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง อาการปวดมักจะเป็นชนิดตื้อๆ และมักจะรุนแรงในเวลากลางคืนดึกๆ หรือเช้ามืด โดยที่ในเวลากลางวันการปวดศีรษะอาจทุเลาลง การปวดจะมีมากขึ้นเมื่อมีอาการไอ จาม หรือเบ่งอุจจาระ และอาจจะมีอาการปวดตุบๆร่วมด้วยได้ นอกจากนี้ยังอาจจะมีอาการอาเจียนถ้าอาการปวดศีรษะมีอาการรุนแรงมาก
การรักษาที่สำคัญคือการรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะความดันภายในกะโหลกศีรษะสูงขึ้น นอกจากนี้ ในรายจำเป็นรีบด่วนหรือหาสาเหตุไม่ได้ ก็มีการรักษาชั่วคราวเพื่อช่วยลดความดันภายในกะโหลกศีรษะสูงเกินปกติดังกล่าวได้หลายวิธี เช่น โดยการผ่าตัด เป็นต้น
อาการปวดศีรษะที่มีสาเหตุทางจิตใจ อาการปวดศีรษะชนิดนี้มีสาเหตุทางจิตใจ มักพบในผู้ป่วยซึ่งมีลักษณะของโรคทางจิตเวชชนิดนิวโรซิส (neurosis) ฮิสทีเรีย (hysteria) และโรคจิตซึมเศร้าเป็นต้น ผู้ป่วยมักให้ประวัติการปวดศีรษะได้ละเอียดลออมากเกินความจริง และถ้าแพทย์ซักประวัติโดยการแนะอาการ ผู้ป่วยมักจะมีอาการนั้นๆทุกชนิด การรักษาอาการปวดชนิดนี้จำเป็นต้องรักษาโรคทางจิตเวชซึ่งเกิดร่วมกับการปวดศีรษะนั้น
นอกจากการปวดศีรษะดังกล่าวแล้ว ยังมีการปวดศีรษะเนื่องจากสาเหตุอื่นๆอีก ดังนี้
อาการปวดศีรษะจากโรคของอวัยวะเฉพาะที่ โรคที่เกิดขึ้นกับอวัยวะเฉพาะที่ของกะโหลก ศีรษะอาจทำให้มีอาการปวดศีรษะได้ง่าย เช่น การปวดศีรษะจากนัยน์ตา ดังจะเห็นได้ชัดจากผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของสายตา (สายตาสั้น สายตายาวสายตาพร่าต่างแนว) ต้อหิน การปวดศีรษะจากจมูก และโพรงจมูก เช่น ในผู้ป่วยที่เป็นโรคโพรงจมูกอักเสบจากโรคกระดูกของกะโหลกศรีษะ เช่น การอักเสบของกระดูกของกะโหลกศีรษะ และจากโรคของหู เช่น หูชั้นกลางอักเสบ โพรงอากาศมาสทอยด์ (mastoid)อักเสบ เป็นต้น
อาการปวดศีรษะจากประสาทสมองหรือรากประสาท ในกรณีที่ประสาทสมองหรือรากประสาทถูกกดทับหรืออักเสบ อาจทำให้มีอาการปวดไปตามบริเวณของผิวหนังที่เลี้ยงด้วยประสาทนั้นๆ ได้ เช่น ถ้ามีการอักเสบ หรือมีการกดทับของประสาทสมองคู่ที่ ๕ไทรเจมินัส (trigeminus) จะทำให้มีอาการแสบหรือปวดหรือชาของบริเวณศีรษะ ซึ่งถูกเลี้ยงโดยประสาทสมองคู่ที่ ๕ นี้
อาการปวดศีรษะเนื่องจากการระคายเคืองต่อเยื่อหุ้มสมอง การปวดศีรษะชนิดนี้ ในภาวะที่มีการอักเสบของเยื่อหุ้มสมองมักมีการปวดศีรษะเป็นอาการสำคัญอาการปวดนั้นมักจะปวดทั่วศีรษะรวมทั้งท้ายทอยและบริเวณคอ และมักจะเป็นการปวดตื้อๆ ตลอดเวลาโดยที่อาการปวดจะมีมากขึ้นถ้ามีอาการไอ จาม ผู้ป่วยอาจจะมีอาการกลัวแสงร่วมกับมีอาการคอแข็งทำให้ก้มศีรษะลำบาก
อาการปวดศีรษะภายหลังภยันตรายต่อกะโหลกศีรษะ การปวดศีรษะชนิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นภายหลังภยันตรายต่อกะโหลกศีรษะ ซึ่งประกอบด้วยอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อาการไวต่อการกระตุ้นและความตั้งใจทำงานเสียไป อาการปวดศีรษะชนิดนี้มีลักษณะไม่แน่นอน แต่มักมีความสัมพันธ์กับท่าทางของร่างกาย
การรักษาอาการปวดศีรษะจากสาเหตุต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น อาศัยหลักการรักษาทั่วๆไป ได้แก่การรักษาสาเหตุ และในรายที่จำเป็นยังไม่ทราบสาเหตุอาจต้องให้การรักษาตามอาการก่อน เช่น การให้ยาระงับปวด เป็นต้น
อาการหมดสติหรือโคม่า อาการหมดสติหรือหมดความรู้สติ หรือโคม่า(coma) คืออาการที่ผู้ป่วยไม่สามารถจะตอบสนองต่อการกระตุ้นใดๆ ไม่ว่าการกระตุ้นนั้นจะมีความรุนแรงหรือเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม ผู้ป่วยที่มีอาการในลักษณะนี้จะปรากฏว่า รีเฟล็กซ์ต่างๆหายไป เช่น รีเฟล็กซ์เทนดอน (tendon reflex) รีเฟล็กซ์แสงของ รูม่านตา และอาจจะมีอาการแสดงแบบบาบินสกี (Babinski's sign) ร่วมด้วยได้ ผู้ป่วยที่มีอาการสูญเสียความรู้สติยังไม่ถึงระดับหมดสติ ซึ่งอาจเรียกว่า อาการครึ่งรู้สติ หมายถึงอาการที่ผู้ป่วยหมดความรู้สติชนิดไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ ยังสามารถที่จะดึงแขนหรือขาออกไปเมื่อถูกหยิกหรือกระตุ้นให้เจ็บปวดอย่างรุนแรงได้รีเฟล็กซ์ต่างๆดังกล่าวข้างต้นก็ยังอาจจะมีอยู่
สาเหตุของอาการหมดสติหรืออาการครึ่งรู้สติมีได้หลายสาเหตุ คือ ภยันตรายต่อกะโหลกศีรษะโรคลมบ้าหมู โรคของหลอดเลือดของสมองพิษยาเยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ รอยโรคกินที่ภายในกะโหลกศีรษะ ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม และฮิสทีเรีย
อาศัยประวัติและลักษณะทางคลินิก รวมทั้งการตรวจอาการแสดงของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีอาการหมดสติจากเบาหวานมักมีประวัติว่าเป็นเบาหวานหรือมีร่องรอยว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวาน เช่น มียารักษาโรคเบาหวานติดตัว ผู้ป่วยที่มีอาการหมดสติเนื่องจากกินยาเกินขนาดอาจมีร่องรอยของยานั้น หรือมียานั้นติดตัว หรือมีจดหมายซึ่งแสดงว่าผู้ป่วยกินยานั้นเพื่ออัตวินิบาตกรรมเป็นต้น
การพยาบาลนับว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการหมดสติ ผู้ป่วยควรได้รับการพลิก ตัวทุก ๒ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดมีแผลนอนทับเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมิให้เกิดมีโรคปอดบวมเนื่องจากนอนท่าเดียว