กฎหมายกับสังคมไทย
กฎหมายกับสังคมไทย, กฎหมายกับสังคมไทย หมายถึง, กฎหมายกับสังคมไทย คือ, กฎหมายกับสังคมไทย ความหมาย, กฎหมายกับสังคมไทย คืออะไร
มีคำกล่าวภาษาลาตินบทหนึ่งกล่าวไว้ดังนี้ "Ubi societas, ibi jus" ซึ่งมีความหมายว่า "ที่ไหนมีสังคม ที่นั่นมีกฎหมาย" กล่าวคือ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะในลักษณะที่ถาวรก็จะต้องมีกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติกันในสังคมนั้นๆเพื่อให้มนุษย์สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างปกติสุข กฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้ มีทั้งกฎเกณฑ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร และกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งต่างก็มีลักษณะบังคับให้คนในสังคมนั้นๆ ต้องปฏิบัติตาม
ในสังคมระยะแรกเริ่มนั้น กฎเกณฑ์ที่มีอยู่ไม่สลับซับซ้อนดังเช่นสังคมปัจจุบัน การควบคุมความประพฤติของคนในสังคมจะอาศัยขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไป เป็นกฎเกณฑ์ง่ายๆ ที่เกิดขึ้นมาจากเหตุผลธรรมดาตามสามัญสำนึกของชาวบ้าน เป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ กฎหมายก็คือกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมและจารีตประเพณีของชุมชนนั้นๆ
ต่อมาเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป จารีตประเพณีเดิม ย่อมไม่เพียงพอที่จะช่วยแก้ปัญหาที่สลับซับซ้อน จึงจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายลายลักษณ์อักษรออกมาเพื่อแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไป มีการใช้เหตุผลชั่งตรองเพื่อชี้ขาดข้อพิพาท เกิดเป็นหลักกฎหมายต่างๆ มีกระบวนการบัญญัติกฎหมายที่เป็นกิจจะลักษณะ ฉะนั้น กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในสังคมสมัยใหม่ จึงมีทั้งกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ปรากฏอยู่ในรูปของจารีตประเพณี
ในสังคมไทยมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานและมีกฎหมายที่ใช้เป็นแบบแผนควบคู่กับสังคมไทยมาโดยตลอด โดยได้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสังคมไทยในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งอาจจะแบ่งประวัติศาสตร์กฎหมายไทยเป็นช่วงเวลาเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโดยสังเขป ดังนี้
๑.ช่วงที่เป็นกฎหมายไทยแท้ๆ กฎหมายในช่วงนี้เป็นกฎหมายที่มาจากจารีตประเพณีดั้งเดิมของไทย เป็นกฎเกณฑ์ง่ายๆ ที่มีมาในสังคมไทยแต่ดั้งเดิมจนถึงสมัยสุโขทัย
๒. ช่วงกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลจาก วัฒนธรรมอินเดีย ได้แก่ กฎหมายในสมัยอยุธยาเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก่อนที่จะรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตก กฎหมายแม่บทที่ประเทศไทยได้รับมาจากอินเดียโดยผ่านมาทางมอญก็คือ "คัมภีร์พระธรรมศาสตร์" ซึ่ง เป็นหลักกฎหมายในการปกครองให้ราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข ในขณะเดียวกัน เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยความถูกต้องสอดคล้องกับหลักของพระธรรมศาสตร์ พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นดินอาจจะออกกฎเกณฑ์มาเพิ่มเติมที่เรียกว่า "ราชศาสตร์" จากการที่พระองค์ทรงวินิจฉัยมูลคดีต่างๆ แล้วรวบรวมเป็นกฎหมายพื้นฐานของแผ่นดิน
๓.ช่วงที่ไทยรับระบบกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตก ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยในช่วงนี้เริ่มต้นเมื่อประเทศสยามได้มีการปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และปรับปรุงระบบกฎหมายให้ทันสมัย โดยอาศัยแบบอย่างจากตะวันตก โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินใหม่ ตั้งกระทรวงยุติธรรม ตั้งโรงเรียนกฎหมาย และจัดให้มีการร่างประมวลกฎหมายขึ้นตามระบบกฎหมายของประเทศทางภาคพื้นยุโรปที่เรียกว่า ระบบซีวิลลอว์ (civil law) นับเป็นการพัฒนาระบบกฎหมายของไทยให้ทันสมัยไปอีกก้าวหนึ่ง
ความเป็นมาทางด้านประวัติศาสตร์กฎหมายแสดงให้เห็นได้ว่า กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในสังคมไทยนั้นได้รับการพัฒนามาเป็นลำดับ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป แม้ถึงคราวที่ต้องปรับเปลี่ยนระบบกฎหมายตามแบบตะวันตก ก็ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้กฎหมายที่รับมาเหมาะสมกับสังคมไทย ในขณะเดียวกันก็มิได้ละทิ้งแนวความคิดตามธรรมเนียมประเพณีเดิมของไทย กฎหมายบางเรื่อง จึงยังคงแสดงถึงความคิดแบบไทย เช่น การห้ามฟ้องบุพการี ของตนที่เรียกว่าคดีอุทลุม หรือการกำหนดโทษอาญาให้หนักขึ้นในกรณีของการฆ่าบุพการีเหล่านี้เป็นต้น ในส่วนที่เกี่ยวกับการนำจารีตประเพณีมาช่วยแก้ปัญหาในทางแพ่งนั้นประมวลกฎหมายแพ่งฯ ที่ร่างขึ้นก็ได้บัญญัติรับรองไว้ว่า กรณีที่ไม่มีบทบัญญัติที่จะยกมาปรับกับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ซึ่งเป็นการนำกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรมาใช้ควบคู่กันไป
การเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายในสังคมไทยที่สำคัญอีกช่วงหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ และ มีการออกกฎหมายต่อมาอีกมากมาย ทั้งในรูป ของพระราชบัญญัติและกฎหมายในลำดับรอง
การจะกล่าวถึงกฎหมายกับสังคมไทยให้เห็นภาพรวมได้เด่นชัด ต้องกล่าวถึงการจัดลำดับชั้นของกฎหมาย เริ่มตั้งแต่กฎหมายแม่บท คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายในลำดับรองลงไปเพื่อให้เห็นถึงความเกี่ยวโยง ดังนี้
- รัฐธรรมนูญ
- พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด
- พระราชกฤษฎีกา
- กฎกระทรวง
- ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง
ลำดับชั้นของกฎหมายดังกล่าวมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด รองลงมาคือ พระราชบัญญัติและพระราชกำหนด รองลงมาอีก คือ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ จนถึงประกาศและคำสั่งต่างๆ ตามลำดับชั้น โดยถือหลักว่า กฎหมายที่อยู่ในลำดับล่างจะไปขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่อยู่ในลำดับต้นไม่ได้ ฉะนั้นกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงเป็นแม่บทที่ใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ ถ้าหากปรากฏว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้โดยองค์กรที่จะทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดว่ากฎหมายฉบับใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็คือ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
สำหรับผู้มีอำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญได้แก่ บุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจอันสูงสุดและแท้จริงในรัฐ ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้ตรารัฐธรรมนูญขึ้น โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร
กฎหมายกับสังคมไทย, กฎหมายกับสังคมไทย หมายถึง, กฎหมายกับสังคมไทย คือ, กฎหมายกับสังคมไทย ความหมาย, กฎหมายกับสังคมไทย คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!