งานด้านการรับรู้จากระยะไกล (Remote sensing) เริ่มขึ้นเมื่อ ค.ศ.๑๘๙๑ เมื่อชาวเยอรมันชื่อลุดวิก ราหร์มานน์ (Ludwig Rahrmann) ได้คิดประดิษฐ์เครื่องมือเป็นระบบกล้องถ่ายรูปใช้จรวดยิงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าแล้วกลับมาสู่โลกด้วยร่มชูชีพ ต่อมาใน ค.ศ.๑๙๐๗ ก็มีชาวเยอรมันอีกผู้หนึ่ง ชื่อ อัลเฟรด มาห์ล (Alfred Mahl) ได้คิดระบบการทรงตัวด้วยไจโรใส่เข้ากับกล้องถ่ายรูป ใช้จรวดยิงเพื่อถ่ายรูปให้ดีขึ้น และเขาประสบผลสำเร็จตามคำโอ้อวดของเขาว่าเขาสามารถนำกล้องถ่ายรูปขนาด ๒๐๐x๒๕๐ มิลลิเมตรหนัก ๔๑ กิโลกรัม บรรจุไว้ในส่วนบรรทุกของจรวด และยิงขึ้นไปสูงได้ถึง ๗๙๐ เมตร
การรับรู้จากระยะไกลในอวกาศเริ่มขึ้นระหว่างค.ศ.๑๙๔๖-๑๙๕๐ เมื่อมีการบรรจุกล้องถ่ายรูป เข้าไว้ในจรวด วี ๒ ซึ่งยิงขึ้นจากบริเวณไวต์แซนดส์ ปรูฟวิงกราวนด์ (White Sands Proving Ground) รัฐนิวเม็กซิโก มีการถ่ายรูปในระยะเวลาต่อมา ด้วยจรวดธรรมดา จรวดแบบยิงเป็นวิถีกระสุนดาวเทียม และยานอวกาศที่มีนักบินอวกาศอยู่ด้วย แต่รูปถ่ายในโครงการแรกๆ นั้นยังมีคุณภาพไม่ดีเมื่อเทียบกับมาตรฐานการถ่ายรูปในปัจจุบันนี้ เพราะไม่ได้มีความมุ่งหมายในการถ่ายรูป แต่รูปถ่ายเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการรับรู้จากระยะไกลในอวกาศ
ในชั้นแรกนั้นได้มีการสร้างดาวเทียมทางอุตุนิยมขึ้น แล้วส่งขึ้นไปโคจรรอบโลกเพื่อศึกษาสภาพอุตุนิยมวิทยา แต่ก็มีความพยายามที่จะให้มีการถ่ายรูปพื้นผิวโลกด้วย ใน ค.ศ.๑๙๖๐ ดาวเทียมเพื่อตรวจอากาศไทรอส ๑ (TIROS-1)ได้กลับมาสู่โลกพร้อมด้วยข้อมูลของเมฆที่มีรูปแบบต่างๆ อย่างหยาบๆ พร้อมกับภาพของพื้นผิวโลกที่ไม่สู้ชัดเจนนักติดมาด้วย เมื่อได้ปรับปรุงให้ระบบการรับภาพบนดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาดีขึ้นแล้ว ปรากฏว่ามองเห็นลักษณะของบรรยากาศและพื้นดินได้ชัดเจนขึ้น นักอุตุนิยมวิทยาจึงเริ่มศึกษาสภาพพื้นผิวโลกเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับน้ำ หิมะ และน้ำแข็งอย่างจริงจัง ดังนั้นความคิดที่จะมองผ่านทะลุบรรยากาศของโลก โดยไม่มองที่โลกเพียงอย่างเดียวก็ได้เริ่มขึ้น
ใน ค.ศ.๑๙๖๐ ได้มีการส่งยานอวกาศ ที่มีนักบินอวกาศขึ้นไปด้วย เช่น ยานอวกาศเมอร์คิวรี (Mercuri) เจมินี (Jemini) และอพอลโล (Apollo)เป็นต้น นักบินอวกาศคนแรกที่ได้ถ่ายรูปลักษณะพื้นผิวโลกคือ อลัน บี เซพาร์ด จูเนียร์ (Alan B. Shepard Junior) แต่วงโคจรของยานอวกาศเป็นวงโค้ง รูปถ่ายที่ได้จึงมีแต่ท้องฟ้า เมฆ และมหาสมุทร ซึ่งยังแสดงให้เห็นความเป็นจริงของลักษณะผิวโลกที่ดูสวยงามมากเมื่อมองลงมาจากยานอวกาศตามคำกล่าวของเซพาร์ด ใน ค.ศ. ๑๙๖๒ จอห์น เกล็นน์ จูเนียร์ (John Glenn Junior)ได้ขึ้นไปบินรอบโลกและถ่ายรูปสีขนาด ๓๕ มิลลิเมตร ภาพที่ได้ยังปรากฏภาพของเมฆ มหาสมุทร แต่ก็ยังมีภาพทะเลทรายในแอฟริกาเหนือปรากฏอยู่ด้วยเป็นบางส่วน ต่อมาได้มีการปรับปรุงกล้องแฮสเซลบลัด (hasselblad) ๗๐ มิลลิเมตรที่ใช้ถ่ายในคำสั่งของยานอวกาศเมอร์คิวรี (Mercury program) ให้เป็นกล้อง ๘๐ มิลลิเมตร ใช้ทดลองถ่ายรูปในคำสั่งของยานอวกาศเจมินี (Jemini program) เฉพาะทางด้านธรณีวิทยาบริเวณเม็กซิโกตะวันตกเฉียงใต้ รูปถ่ายที่ได้ซึ่งเป็นรูปถ่ายเหลื่อมล้ำเกือบเป็นแนวดิ่งนี้ ได้นำไปใช้ค้นคว้าการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกอันเนื่องมาจากภูเขาไฟและแผ่นดินไหว ลักษณะของภูเขาไฟและจีออมอร์โฟโลยี (geomorphology)
จากความสำเร็จอันนี้เอง จึงได้มีการคิดถ่ายรูปบริเวณระหว่างละติจูด ๓๒°เหนือ และ ๓๒° ใต้ ขึ้น ภาพที่ได้มีมาตราส่วน ๑:๒,๔๐๐,๐๐๐ เมื่อคำสั่งของยานอวกาศเจมินีสิ้นสุดลง ได้รูปถ่ายสีที่มีคุณภาพสูงถึง ๑,๑๐๐ รูป และใช้เป็นข้อมูลลักษณะของโลก การรับรู้จากระยะไกลจึงได้เป็นที่ยอมรับกันตั้งแต่นั้นมา
ใน ค.ศ.๑๙๗๓ ได้มีการส่งหอปฏิบัติการลอยฟ้าที่มีนักบินอวกาศขึ้นไปด้วย ได้ถ่ายรูป พื้นผิวโลกถึง ๓๕,๐๐๐ รูป ด้วยระบบอิเร็ป (Earth Resources Experiment Package; EREP) ใช้กล้องถ่ายรูปเชิงมัลติสเปกตรัม ๖ กล้อง มีความยาวโฟกัสที่ยาวและเป็นระบบสแกนเนอร์เชิงมัลติสเปกตรัม ๑๒ ช่อง (12 channel multispectral scanner) และมีมโครเวฟ (microwave) ๒ ตัว
ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกับสหภาพโซเวียตจัดตั้งโครงการทดลองที่เรียกว่า โครงการทดสอบอพอลโล-โซยุส (Apollo-Soyuz Test Project; ASTP) ขึ้นใน ค.ศ.๑๙๗๕ ในการถ่ายรูปใช้กล้องที่ต้องใช้มือถือขนาด ๓๕ มิลลิเมตร และ ๗๐ มิลลิเมตร ภาพที่ได้มีคุณภาพไม่ดี แต่ก็ยังให้ข้อคิดว่า หากได้ฝึกนักบินอวกาศให้เรียนรู้วิธีการถ่ายรูปได้ดีแล้ว ก็อาจได้รูปถ่ายที่มีข้อมูลอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งจากสิ่งที่นักบินอวกาศได้มีโอกาสสังเกตเห็นด้วยตาตนเองและตัดสินใจได้เองด้วย
จากข้อมูลที่ได้รับจากดาวเทียมทางอุตุนิยมวิทยาที่องค์การอวกาศนาซา (NASA) ได้ส่งขึ้นไปโดยมีนักบินอวกาศขึ้นไปด้วยนี้เอง ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ความคิดใหม่ๆ ที่จะศึกษาถึงความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีที่เรียกว่า การใช้ดาวเทียม
สำรวจทรัพยากรของโลกด้วยเทคโนโลยี (Earth Resources Technology Satellites; ERTS) ดังนั้นจึงได้กำหนดแผนที่จะส่งดาวเทียมขึ้นไป โดยส่งเป็นลำดับตัวอักษรจาก A ถึง F (ซึ่งภายหลังจากการประสบผลสำเร็จในการส่งขึ้นไป จึงได้เปลี่ยน เป็น ERTS ๑ ถึง ๖)
ดังนั้นใน ค.ศ.๑๙๗๒ องค์การอวกาศนาซาจึงได้ส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของโลกดวงที่ ๑ (ERTS ๑) ขึ้นโคจรรอบโลกทำการถ่ายภาพลักษณะ ของโลก การส่งดาวเทียมดวงนี้ขึ้นไปโดยไม่มีนักบินอวกาศขึ้นไปด้วยนี้ ได้ทำการถ่ายรูปด้วยระบบเซนเซอร์ (sensor) โดยใช้หลักการของระบบสแกนเนอร์เชิงมัลติสเปกตรัม (Multispectral Scanner; MSS) ที่เป็นระบบการทำงานซ้ำ มีความคมชัดปานกลาง การทดลองรวบรวมข้อมูลของโลกด้วยวิธีนี้ได้ผล มีการยอมรับความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีนี้ และดูเหมือนว่าจะเกินความคาดหมายของนักวิทยาศาสตร์อีกด้วย
ก่อนที่จะมีการส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของโลกดวงที่ ๒ ขึ้นไป ทางองค์การอวกาศนาซา ได้เปลี่ยนชื่อของดาวเทียมประเภทนี้เสียใหม่ว่าแลนด์แซต (LANDSAT) เพื่อให้แตกต่างจากชุดคำสั่งของดาวเทียมเพื่อประโยชน์ทางสมุทรศาสตร์ที่มีชื่อว่าซีแซต (SEASAT) ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของโลกดวงที่ ๑ จึงได้ชื่อว่าแลนด์แซต ๑ และเมื่อส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของโลกดวงที่ ๒ ขึ้นไปจึงกลายเป็นแลนด์แซต ๒ สำหรับแลนด์แซต ๓ นั้น ได้ส่งขึ้นไปโคจรรอบโลกเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ค.ศ.๑๙๗๘
ภาพที่ได้รับจากดาวเทียมแลนด์แซต จะปกคลุมทั่วโลก และมีวงโคจรซ้ำทุก ๑๘ วันสำหรับดาวเทียมแลนด์แซต ๑, ๒, ๓ และ ๑๖ วัน สำหรับดาวเทียมแลนด์แซต ๔ และ ๕ ทำให้ได้ภาพครอบคลุมบริเวณเดียวกันทุก ๑๘ วัน
และ ๑๖ วัน
นอกจากระบบเซนเซอร์ที่เป็นระบบสแกนเนอร์เชิงสเปกตรัม ๔ ช่องแล้ว ยังมีระบบเซนเซอร์ ที่เรียกว่าระบบอาร์บีวี (Return Beam Vidicon; RBV) อีกด้วย ในระบบนี้มีกล้องถ่ายรูปคล้ายกล้องโทรทัศน์ ๓ กล้อง มุ่งถ่ายภาพพื้นโลกครอบคลุม ขนาดพื้นที่ ๑๘๕x๑๘๕ กิโลเมตร บริเวณเดียวกับระบบสแกนเนอร์เชิงสเปกตรัมได้พร้อมๆ กันระบบอาร์บีวีไม่ได้บรรจุฟิล์ม แต่ภาพที่ได้จะถ่ายด้วยกลไกชัตเตอร์และเก็บไว้บนพื้นไวแสงที่อยู่ภายในกล้องแต่ละกล้อง แล้วพื้นรับภาพนี้จะทำ หน้าที่กวาดตรวจแสงในจอ (raster) โดยลำแสงอิเล็กตรอนภายใน เพื่อผลิตเป็นสัญญาณวีดิทัศน์ (video) เหมือนกับกล้องถ่ายโทรทัศน์บนพื้นดินนั่นเอง
เนื่องจากภาพจากระบบอาร์บีวี ได้จากการถ่ายแบบกล้องถ่ายรูป ดังนั้นภาพจากระบบ นี้จึงมีคุณลักษณะที่เป็นจริงทางการทำแผนที่มากกว่าภาพที่ได้จากระบบสแกนเนอร์เชิงมัลติสเปกตรัม นอกจากนั้นในภาพชนิดนี้ยังมีตารางเรโซ (reseau grid) ที่ทำให้สะดวกต่อการแก้ค่าทางเรขาคณิตของภาพด้วย
ภาพจากดาวเทียมแลนด์แซตนี้สามารถตีความ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายสาขา เช่น เกษตรกรรม ชีววิทยา การทำแผนที่ วิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม ป่าไม้ ภูมิศาสตร์ ภูมิวิทยา ธรณีฟิสิกส์ การวิเคราะห์แหล่งข้อมูลทางพื้นดิน การวางแผนใช้ประโยชน์จากพื้นดินสมุทรศาสตร์ และการวิเคราะห์แหล่งน้ำ เป็นต้น
ภาพจากดาวเทียมแลนด์แซตนั้น ภาพที่ได้จากระบบสแกนเนอร์เชิงมัลติสเปกตรัม จะมีความคมชัด ๗๙ เมตร และภาพที่ได้จากระบบอาร์บีวี จะมีความคมชัด ๓๐ เมตร (ภาพจากแลนด์แซต ๓) และสามารถมองภาพทรวดทรงได้เฉพาะพื้นที่ที่มีการเหลื่อมล้ำด้านข้างของแนวโคจรที่อยู่ชิดกันเท่านั้น ภาพเหลื่อมล้ำด้านข้างนี้ที่อยู่ใกล้ขั้วโลกจะเปลี่ยนไป ๘๕% และที่เส้นศูนย์สูตรจะเปลี่ยนไป ๑๔%
เนื่องจากข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมแลนด์แซตอยู่ในรูปแบบของรูปถ่าย แต่ก็อาจได้ข้อมูลจากาพถ่ายจากดาวเทียมในรูปแบบที่วิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ได้ด้วย ดังนั้นจึงมีการคิดให้ข้อมูลจากระบบสแกนเนอร์เชิงมัลติสเปกตรัมอยู่ในรูปแบบที่สามารถใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ (Computer Compatible Type; CCT) ในรูปแบบนี้ภาพแต่ละภาพจะมีความเป็นจริงที่สุดขณะที่รับสัญญาณภาพทางอิเล็กทรอนิกส์และบันทึกค่าไว้เป็นตัวเลข เครื่องคอมพิวเตอร์จะบรรจุข้อมูลภาพในแบบตัวเลขโดยไม่มีการสูญเสียเรดิโอเมตรี (radiometry) ที่เกี่ยวกับกรรมวิธีการถ่ายรูปเลย ในการนำไปใช้ประโยชน์ ต่างๆ ก็สามารถใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมเป็นตัวเลขได้จากกรรมวิธีวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์นี้เอง
การใช้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมนี้ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น การเก็บรักษาภาพ การทำให้ภาพมีความชัดเจนขึ้น และการจำแนกรายละเอียดของภาพ เป็นต้น
ภาพจากดาวเทียมแลนด์แซตนี้ ยังไม่ได้มีการนำไปเขียนแผนที่ลายเส้น แต่ได้มีการทดลองทำแผนที่ภาพดาวเทียม เช่น ในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานของรัฐคือ สถาบันการแผนที่สหรัฐอเมริกา ได้ทดลองทำแผนที่ภาพดาวเทียมขึ้น เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ.๑๙๗๒ บริเวณทะเลสาบทาโฮ (Tahoe) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และในอีกหลายบริเวณ แผนที่ภาพดาวเทียมที่จัดทำขึ้นก็มีลักษณะเดียวกับแผนที่รูปถ่าย ซึ่งทำขึ้นจากรูปถ่ายทางอากาศนั่นเอง
สำหรับประเทศไทย กรมแผนที่ทหาร ได้ทดลองทำแผนที่ภาพถ่ายจากดาวเทียมขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นแผนที่ภาพดาวเทียมเดียว โดยจัดพิมพ์เป็นสีน้ำตาลอ่อน นอกจากนี้ยังได้ทดลองทำแผนที่ภาพถ่ายจากดาวเทียมสีขึ้นด้วย โดยการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมแบนด์ ๔, ๕ และ ๗ (Band 4, 5 and 7) มาดำเนินกรรมวิธี ทำให้ได้ภาพดาวเทียมสีแล้วใส่ค่ากริด ชื่อที่สำคัญ มีข้อความชายขอบระวางและแสดงมาตราส่วนของแผนที่ด้วย
ภาพถ่ายจากดาวเทียมแลนด์แซต ขณะนี้ได้ขยายขึ้นมีมาตราส่วน ๑:๕๐๐,๐๐๐ ภาพมีความคมชัด สามารถนำมาใช้แก้ไขแผนที่มาตราส่วนเล็ก ๑:๒๕๐,๐๐๐ ได้ หากว่าสามารถขยายเป็น ๑:๒๕๐,๐๐๐ ได้ โดยที่ภาพยังคงมีความคมชัดอยู่จะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น และกรมแผนที่ทหาร ก็มีความคิดที่จะใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายจากดาวเทียมแลนด์แซตมาแก้ไขแผนที่ ๑:๒๕๐,๐๐๐ ด้วย
กรมแผนที่ทหารในปัจจุบันนี้ มีภารกิจ ทำการสำรวจทางพื้นดิน และสำรวจทางอากาศเพื่อจัดทำแผนที่พื้นดินภายในประเทศ
แผนที่ซึ่งกรมแผนที่ทหารได้จัดทำขึ้นมีหลายชนิด และมีหลายมาตราส่วน จัดทำขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้ ดังนี้
๑. แผนที่มูลฐาน มาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐ ครอบคลุมทั่วประเทศ รวม ๘๓๐ ระวาง
๒. แผนที่มาตราส่วน ๑:๒๕๐,๐๐๐ จัดทำขึ้นโดยรวบรวมข้อมูลจากแผนที่มาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐ ครอบคลุมทั้งประเทศ ๕๒ ระวาง
๓. แผนที่มาตราส่วน ๑:๑๒,๕๐๐ ครอบคลุมตัวเมือง ที่ตั้งจังหวัด อำเภอ และที่ที่มีชุมชนหนาแน่น
๔. แผนที่ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ มาตราส่วน ๑:๕,๐๐๐,๐๐๐ เป็นแผนที่แสดงทรัพยากรของประเทศไทย รวมทำเสร็จสิ้นแล้ว ๕๓ เรื่อง
๕. แผนที่เล่ม ในระหว่างที่กรมแผนที่ทหารกำลังดำเนินการผลิตและจัดทำแผนที่ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียและตะวันออกไกล (Regional Economic Atlas of Asia and the Far East) และแผนที่เล่มของประเทศไทย แสดงทรัพยากรธรรมชาติ (National Resources Atlas of Thailand) ตามโครงการอยู่นั้น พลโท บัลลังก์ขมะสุนทร อดีตเจ้ากรมแผนที่ทหารซึ่งขณะนั้นมียศพลตรี และมีตำแหน่งเป็นผู้ชำนาญการกรมแผนที่ทหาร เป็นผู้อำนวยการโครงการนี้ โดยมีดร.อัลริช ไฟรทัก (Dr.Ulrich Freitag) ผู้เชี่ยวชาญการทำแผนที่ชาวเยอรมันเป็นที่ปรึกษา ได้ร่วม กันพิจารณาและเห็นว่ากรมแผนที่ทหาร ได้จัดทำและผลิตแผนที่ภูมิประเทศ (Topographic map) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของประเทศครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ควรนำมาคัดเลือกบริเวณที่แสดงลักษณะเด่นๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางภูมิประเทศของแต่ละภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ของไทย รวมทั้งลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของพื้นที่บางส่วนของระวางแผนที่ภูมิประเทศทั่วประเทศดังกล่าวและตัดตอนและจัดทำเป็นรูปแบบแผนที่เล่ม (atlas)และให้ชื่อว่า "แผนที่เล่มของประเทศไทยแสดง ลักษณะภูมิประเทศ" (Topographic Atlas of Thailand)
ในการจัดทำแผนที่เล่มชุดนี้ กรมแผนที่ทหารได้พิจารณาและคัดเลือกพื้นที่บริเวณที่แสดงลักษณะเด่นในด้านต่างๆ ของภูมิประเทศจากแผนที่ภูมิประเทศและแผนที่ประเภทอื่นๆ ตามมาตราส่วนต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ได้จากแผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐ ชุดแอล ๗๐๑๗ โดยมีขนาดระวางแผนที่กว้าง ๒๒.๕ เซนติเมตรยาว ๓๐.๕ เซนติเมตร ตามบริเวณที่เลือกไว้ จำนวน ๑๑๔ ระวาง และยังได้นำแผนที่ที่แสดงประวัติการทำแผนที่ของประเทศไทยอีก ๙ ระวางมาประกอบไว้ด้วย เนื่องจากมีจำนวนแผนที่ที่ได้คัดเลือกไว้ถึง ๑๒๓ ระวาง ประกอบกับคำบรรยาย (texts) ของแต่ละระวางอยู่ด้วย จึงจำเป็นต้องแบ่งออกเป็น ๔ เล่ม (volumes) โดยแบ่งออกตามภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ของประเทศ คือ เล่มที่ ๑ ภาคเหนือ เล่มที่ ๒ ภาคกลาง เล่มที่ ๓ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเล่มที่ ๔ ภาคใต้
แผนที่เล่มชุดนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ใช้ได้นำไปใช้เป็นเครื่องมือหรือสื่อในการเรียนการสอน หรือการศึกษาค้นคว้าในวิทยาการด้านภูมิศาสตร์และกิจการแผนที่เป็นหลักสำคัญ
เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ กรมแผนที่ทหารได้จัดทำแผนที่เล่มของประเทศไทย แสดงลักษณะภูมิประเทศเล่ม ๑ ภาคเหนือ โดยพิจารณาและคัดเลือกพื้นที่บริเวณที่แสดงลักษณะเด่น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางภูมิประเทศ รวมทั้งลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของพื้นที่บางส่วนทางภาคเหนือ จากแผนที่ภูมิประเทศและแผนที่ประเภทอื่นๆ มาประกอบไว้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ทางด้านการศึกษาค้นคว้าในวิทยาการด้านภูมิศาสตร์ ส่วนกิจการแผนที่อีก ๓ เล่มนั้นอยู่ระหว่างการดำเนินการ
นอกจากนี้ยังมีแผนที่มาตราส่วนต่างๆ ผลิตขึ้นเฉพาะกิจต่างๆ ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ กัน
แผนที่ดังกล่าวข้างต้นนั้น แผนที่มูลฐาน ๑:๕๐,๐๐๐ นับว่าเป็นแผนที่มาตราส่วนสำคัญที่ใช้ในกิจการทางทหาร และการพัฒนาประเทศดังนั้นจึงมีหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ได้นำแผนที่มูลฐานและรูปถ่ายทางอากาศไปใช้ในลักษณะแตกต่างกันตามงานที่รับผิดชอบ อาทิ
กรมทางหลวง ซึ่งรับผิดชอบในการสร้างถนนเพื่อใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทั่วประเทศ ได้ใช้แผนที่มูลฐานและรูปถ่าย เพื่อพิจารณาแนวทางที่จะสร้างถนนโดยคำนึงถึงการประหยัดค่าก่อสร้าง และการบำรุงรักษา ทำนองเดียวกับสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) ได้ใช้แผนที่มูลฐานเพื่อวางแผนตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้านที่จะพัฒนา
สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ใช้แผนที่มูลฐานเพื่อศึกษาภูมิประเทศ เพื่อใช้สำรวจ ทำแผนที่มาตราส่วนขนาดใหญ่ใช้วางแผนปฏิรูป ที่ดิน กรมพัฒนาที่ดินก็ใช้รูปถ่ายและแผนที่ ในการสำรวจดิน วางแผนการใช้ดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำ ในขณะที่กรมป่าไม้ใช้แผนที่ในการศึกษาสภาพความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ป่าไม้ แสดงขอบเขตป่า วางแผนจัดการป่าไม้ อุทยานแห่งชาติ และอื่นๆ อีก ที่เกี่ยวกับกิจการป่าไม้ รวมทั้งการจัดทำแผนที่แสดงต้นน้ำลำธารด้วย
กรมทรัพยากรธรณี ใช้แผนที่มูลฐานนี้วางแผนและเตรียมงานสำรวจทำแผนที่ธรณีวิทยา เพื่อนำไปหาธรณีแหล่งแร่ แหล่งน้ำ ธรณีวิศวกรรม ฯลฯ และยังใช้เป็นแผนที่ประกอบการยื่นขอประทานบัตรได้ด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ใช้แผนที่ในการวางแผนพัฒนาท้องถิ่นทั่วประเทศ มีการนำแผนที่ไปใช้อย่างกว้างขวางในการสำรวจภูมิประเทศ สำรวจข้อมูลทางวิเคราะห์ วิจัย และประกอบการทำแผนที่ชนิดอื่นๆ ของสำนักงานผังเมือง ใช้รูปถ่ายในการแปลภาพและผลิตแผนที่ของสำนักงานผังเมือง เพื่อจัดทำแผนที่มาตราส่วนขนาดใหญ่ ในการวางผังภาคผังเมืองรวม ผังเมืองเฉพาะ และอื่นๆ อีก
หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ได้ใช้แผนที่มูลฐานและรูปถ่าย เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ใช้แผนที่มูลฐาน ๑:๕๐,๐๐๐ และแผนที่มาตราส่วน ๑:๒๕๐,๐๐๐ เพื่อวางแผนศึกษาความเหมาะสมของโครงการต่างๆ เพื่อการก่อสร้างเขื่อน โรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน รวมทั้งการสร้างหมู่บ้านอพยพให้ราษฎร รวมทั้งโครงการเพื่อการก่อสร้างสายไฟฟ้าแรงสูง และสถานีไฟฟ้าย่อย ส่วนรูปถ่ายทางอากาศก็ใช้เพื่อประกอบการศึกษาทางด้านธรณีวิทยา นิเวศน์วิทยาและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นอีกรัฐวิสาหกิจหนึ่งที่ใช้แผนที่ในการพิจารณาวางแผน ออกแบบเส้นทางวิทยุในการวางข่ายโทรศัพท์ทางไกลทั่วประเทศ การกำหนดที่ตั้งสถานีทวนสัญญาณ การออกแบบขยายข่ายสายโทรศัพท์และการวางแผนงานวางสายโทรศัพท์ในอนาคตด้วยส่วนการประปานครหลวงได้ใช้แผนที่มูลฐาน แผนที่ตัวเมือง และรูปถ่าย กำหนดขอบเขตรับผิดชอบของสำนักงานประปาสาขาต่างๆ กำหนดขอบเขตการกำจัดน้ำเสีย ใช้เป็นต้นร่างขยายเป็นแผนที่ ๑:๔,๐๐๐ และ ๑:๑,๐๐๐ เพื่อแสดงระบบท่อประปา แสดงที่ตั้งของบ้านผู้ใช้น้ำ พิจารณาออกแบบระบบท่อประปา ใช้ในการวางแผนโครงการและพัฒนาระบบส่งน้ำ รวมทั้งใช้เป็นแผนที่แสดงพื้นที่จ่ายน้ำ แสดงคลองส่งน้ำโรงกรองน้ำ และโรงสูบจ่ายน้ำ เป็นต้น
นอกจากแผนที่จะมีประโยชน์ในการป้องกันประเทศและการพัฒนาประเทศแล้ว ในด้านการศึกษาก็ได้มีการนำแผนที่และรูปถ่ายไปใช้ เช่น คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ใช้แผนที่เพื่อการศึกษาวิจัยทางด้านธรณี วิทยาการผังเมือง การสำรวจหาแหล่งชุมชน ศึกษาวางแผนและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนศึกษาวิจัยชุมชนโบราณ เป็นต้น
จึงเห็นได้ว่าแผนที่และรูปถ่ายทางอากาศมีคุณประโยชน์นานัปการ ทั้งในกิจการทางทหาร ทางการสาธารณูปโภค และทางการศึกษานับได้ว่ามีผู้ใช้แผนที่กว้างขวางมากขึ้น เพราะแผนที่มีส่วนช่วยงานอื่นๆ ได้มากมาย ดังความในพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งที่ได้พระราชทานแก่กรมแผนที่ทหาร ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี เมื่อวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ว่า "งานแผนที่ เป็นงานที่มีอุปการะแก่งานด้านอื่นๆ กว้างขวาง มาก ทั้งเป็นงานที่ต้องใช้หลักวิชาและเทคนิคสูงผู้ทำงานนี้จึงจำต้องกำหนดแน่ในใจไว้เสมอว่าจะทำงานด้วยความรับผิดชอบ ประกอบด้วยความกระตือรือร้นขวนขวาย และความละเอียดถี่ถ้วนระมัดระวังอย่างเต็มที่ เพื่อให้งานทุกส่วนเจริญก้าวหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพทั้งทางด้านวิชาการและทางด้านผลิตผลงาน"
กรมแผนที่ตระหนักดีถึงความรับผิดชอบต่อแผนที่ที่ได้ผลิตออกไป และรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีพระเมตตาต่อกรมแผนที่เสมอมา ดังจะเห็นได้จากกระแสพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานต่อเจ้ากรมแผนที่ทหาร ในโอกาสที่ได้นำหนังสือกับแผนที่อันเป็นของที่ระลึกในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี ของกรมแผนที่ทหาร ทูลเกล้าฯ ถวาย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ในความพอสรุปได้ตอนหนึ่ง ดังนี้
'แผนที่นับว่าเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์มาก แผนที่เก่าอย่างเช่นแผนที่กรุงเทพฯ นั้นนอกจากจะเป็นหลักฐานช่วยให้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ และบ้านเมืองในอดีตแล้วยังมีรูปลักษณะสวยงามนับเป็นศิลปกรรมประเภทหนึ่ง... ส่วนแผนที่ปัจจุบันซึ่งเป็นประโยชน์มากทั้งต่อการพัฒนา และความมั่นคงของบ้านเมืองนั้น ได้ทรงใช้เป็นประโยชน์ในการวางแผนงานต่างๆ ขณะประทับทรงงานอยู่ในกรุงเทพฯ แผนที่ทำให้ทรงทราบถึงลักษณะและรายละเอียดของภูมิประเทศในบริเวณที่จะทรงปรับปรุงอย่างชัดเจนล่วงหน้า'
ส่วนเรื่องแผนที่รังวัดที่ดิน เป็นหน้าที่ของกรมที่ดิน (ฝ่ายรังวัด) คือ เมื่อแยกออกไปจากกรมแผนที่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๖ กรมแผนที่มีส่วนเข้าไปร่วมดำเนินการในโครงการถ่ายรูปทางอากาศให้ครอบคลุมพื้นที่ซึ่งกรมที่ดินมีโครงการจะออกหนังสือสำคัญรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ให้แก่ราษฎรทั่วประเทศ คิดเป็นพื้นที่ ๔๒๖,๘๔๐ ตารางกิโลเมตร ประมาณร้อยละ ๙๒ ของประเทศ
เมื่อได้รูปถ่ายทางอากาศแล้ว กรมแผนที่ทำการประกอบระวางแผนที่รูปถ่ายขยายขึ้น เพื่อมอบให้กรมที่ดินไปสำรวจทางพื้นดินต่อไป
กรมแผนที่ได้ทำการบินถ่ายรูปทางอากาศครอบคลุมพื้นที่โครงการทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ กรมที่ดินได้ประมาณไว้ว่า มีที่ดินซึ่งจะต้องสำรวจทำแผนที่รังวัดที่ดินอยู่ประมาณ ๖๐ ล้านไร่ ที่ได้สำรวจทำไปได้แล้วประมาณ ๑๓ ล้านไร่
การรับรู้จากระยะไกล
การรับรู้จากระยะไกล, การรับรู้จากระยะไกล หมายถึง, การรับรู้จากระยะไกล คือ, การรับรู้จากระยะไกล ความหมาย, การรับรู้จากระยะไกล คืออะไร
การรับรู้จากระยะไกล, การรับรู้จากระยะไกล หมายถึง, การรับรู้จากระยะไกล คือ, การรับรู้จากระยะไกล ความหมาย, การรับรู้จากระยะไกล คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!