ฟ้าแลบและฟ้าร้องในพายุเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน แต่มนุษย์เรามองเห็นฟ้าแลบก่อนต่อมาจึงได้ยินฟ้าร้อง ทั้งนี้ เพราะเหตุว่าแสงมีความเร็วมากกว่าเสียง แสงมีอัตราเร็ว๓๐๐,๐๐๐ กิโลเมตรต่อวินาที ส่วนเสียงมีอัตราเร็วประมาณ ๑๓ กิโลเมตรต่อวินาทีเท่านั้นโดยเหตุนี้ เมื่อมีฟ้าแลบและฟ้าร้อง เราจึงได้เห็นฟ้าแลบหรือประกายไฟอันแรงจ้าได้ทันที และได้ยินเสียงฟ้าร้องทีหลัง ถ้าเราต้องการทราบว่า ฟ้าแลบอยู่ห่างจากเราเท่าใดเราก็จับเวลาตั้งแต่เมื่อเราเห็นฟ้าแลบ จนถึงเมื่อเราได้ยินเสียงฟ้าร้อง ว่าเป็นจำนวนกี่วินาที แล้วเอาจำนวนวินาทีคูณด้วย ๑๓ ก็จะได้เป็นระยะกิโลเมตร สมมุติว่าเราจับเวลาระหว่างฟ้าแลบกับฟ้าร้องได้ ๖ วินาที เราก็จะทราบได้ว่า ฟ้าแลบอยู่ห่างจากเราประมาณ๑๓ x ๖ = ๒ กิโลเมตร
ประกายไฟฟ้าของฟ้าแลบสามารถทำให้อากาศในบริเวณนั้นร้อนขึ้นมาก อุณหภูมิอาจจะร้องถึง ๒๕,๐๐๐°ซ. และขยายตัวอย่างฉับพลัน การขยายตัวของอากาศอย่างฉับพลันนี้ จะทำให้เกิดคลื่นเสียงอย่างแรง ซึ่งเราได้ยินกันเป็นเสียง "ฟ้าร้อง" ฟ้าแลบครั้งหนึ่งมีปริมาณไฟฟ้าเป็นจำนวนมหึมา อาจจะถึง ๒๐๐,๐๐๐ แอมแปร์หรือกว่านั้นและความต่างของศักย์ไฟฟ้าอาจจะถึง ๓๐ ล้านโวลต์ ฉะนั้นเมื่อฟ้าแลบผ่าลงมาที่ใด(ซึ่งไม่มีการป้องกัน) ก็จะเป็นอันตรายได้มาก ถ้าถูกสิ่งที่มีชีวิตก็อาจถึงแก่ความตายได้ถ้าเกิดฟ้าแลบฟ้าร้องในบริเวณที่เราอยู่ เราควรหลบเข้าไปในบ้านหรือตึกจะเป็นการปลอดภัยกว่าอยู่กลางแจ้ง สำหรับผู้อยู่ในรถยนต์ เรือ เครื่องบินก็จะปลอดภัย แต่ถ้าอยู่กลางแจ้งอย่าหลบเข้าไปอยู่ใต้ต้นไม้ขณะที่มีฟ้าแลบฟ้าร้อง โดยเฉพาะต้นไม้โดดเดี่ยวนั้น อย่าเข้าไปใกล้เป็นอันขาด
นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า "ถ้าท่านได้เห็นฟ้าแลบ ก็หมายความว่า ฟ้าผ่าลงที่อื่น ถ้าท่านได้ยินฟ้าร้อง ก็หมายความว่าฟ้าผ่าได้ผ่านไปและท่านปลอดภัยแล้วแต่ถ้าฟ้าผ่าลงที่ตัวท่าน ท่านก็จะไม่ทราบและไม่ต้องห่วงอะไรอีกต่อไป"