ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย
ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย, ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย หมายถึง, ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย คือ, ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย ความหมาย, ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย คืออะไร
ในบรรดางานพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อนำน้ำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในกิจการด้านต่างๆ นั้น การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการชลประทาน จัดว่าเป็นงานที่มีความสำคัญและมีประ-โยชน์มากด้านหนึ่ง ในการช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยให้เกษตรกร ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ได้มีหลักประกันในเรื่องน้ำ สำหรับทำการเพาะปลูกอย่างไม่ขาดแคลน
ปัจจุบันยังมีพื้นที่เพาะปลูกอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องอาศัยน้ำฝนและน้ำจากแม่น้ำลำธารเป็นหลัก เพราะยังไม่มีงานด้านชลประทานเข้าไปช่วยเหลือ การเพาะปลูกซึ่งได้อาศัยน้ำธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียวนั้น จะทำให้พืชไม่อาจได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอตามจำนวนที่พืชต้องการได้ กล่าวคือ ในปีใดที่ฝนตกโดยเฉลี่ยดีตลอดฤดูกาลเพาะปลูก ก็จะทำให้การเพาะปลูกในปีนั้นได้รับผลดีตามไปด้วย แต่ถ้าหากปีใดมีฝนตกน้อยหรือไม่มีฝนตกในเวลาที่พืชต้องการ ก็จะทำให้การเพาะปลูกในปีนั้นได้รับความเสียหายหรือไม่ได้รับผลผลิตดีเท่าที่ควร จึงเป็นเหตุให้เกษตรกรจำนวนมากที่ไม่มีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ในเขตโครงการชลประทาน ต้องได้รับความเดือนร้อนในเวลาที่ไม่มีน้ำสำหรับทำนาและปลูกพืชไร่อยู่เสมอเกือบทุกปี
สภาพของฝนในประเทศไทย ฝนที่ตกส่วนใหญ่จะมาจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และจากพายุหมุน ซึ่งเป็นพายุจรพัดมาทางทิศตะวันออก ได้แก่ พายุไต้ฝุ่น พายุโซนร้อน และพายุดีเปรสชัน โดยฝนจะตกในระหว่างเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม เป็นระยะเวลาถึง ๖ เดือน นอกจากช่วงเวลาดังกล่าวนี้ บางเดือนอาจมีฝนตกบ้างเล็กน้อยหรือไม่มีฝนตกเลยก็ได้ เว้นแต่ทางภาคใต้ จะมีฝนตกชุกในระหว่างเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนมกราคม
โดยปกติ ฝนที่มาจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จะเริ่มตกประมาณเดือนพฤษภาคม และจะตกปกคลุมเกือบทั่วประ-เทศตามทิศทางที่ลมพัดผ่าน จนถึงเดือนกันยายนจึงเริ่มน้อยลง และหมดไปประมาณเดือนตุลาคม สำหรับฝนจากลมมรสุมที่ตกระหว่างเดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน เป็นฝนต้นฤดูกาลเพาะปลูกข้าวประจำปีซึ่งชาวนาจะเตรียมเพาะกล้าแล้วเริ่มปักดำ ในบางปีที่เป็นปีฝนแล้ง อาจไม่มีฝนตกหรืออาจจะตกน้อยมาก จึงเป็นเหตุให้การเพาะปลูกได้รับความเสียหายอยู่บ่อยๆ ส่วนฝนที่เกิดจากพายุจร ส่วนใหญ่มักมีปริมาณไม่ค่อยแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแรงและจำนวนของพายุที่จะพัดผ่านเข้ามา บางปีอาจมีฝนจากพายุประเภทนี้น้อย แต่บางปีอาจมีมากเกินไปจนถึงกับเกิดอุทกภัยทำความเสียหายให้แก่พื้นที่เพาะปลูกได้
ฝนที่เกิดจากพายุจรมักเริ่มตกในภาคกลาง ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณเดือนมิถุนายน ครั้นถึงเดือนกรกฎาคม แนวทางของพายุจะเลื่อนไปอยู่ในแนวเหนือประเทศไทย ดังนั้น ในช่วงเดือนนี้จึงมักจะมีฝนตกน้อยหรืออาจไม่มีเลยก็ได้ ทำให้เกิดสภาวะฝนแล้งในระหว่างฤดูฝนซึ่งฝนไม่ตกหรือตกทิ้งช่วงเป็นเวลานานเป็นประจำเกือบทุกปีโดยสภาพฝนแล้งหรือทิ้งช่วงดังกล่าว อาจจะเกิดขึ้นประมาณ๒-๔ สัปดาห์ ทำให้พืชไร่และต้นข้าวเล็กๆในบางท้องที่ ซึ่งอยู่นอกเขตโครงการชลประทานได้รับความเสียหาย
ครั้นถึงเดือนสิงหาคม พายุจรจะมีแนวพัดผ่านเข้ามาในประเทศไทยอีก แล้วจะมีแนวร่นต่ำลงมาทางภาคกลางและภาคใต้ตามลำดับ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน สำหรับใน ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จะมีฝนตกหนักมากเกินความต้องการจนเหลือน้ำไหลลงสู่ลำธารและแม่น้ำจนบางปีถึงกับเกิดอุทกภัยอย่างรุนแรง ครั้นถึงเดือนตุลาคมฝนซึ่งเกิดจากอิทธิพลของลมมรสุมจะหมดไป และแนวของพายุจรที่พัดผ่านประเทศไทยจึงจะร่นต่ำลงไปทางทิศใต้มากขึ้นทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีฝนตกอีก แต่ภาคกลางอาจจะยังมีฝนตกบ้างเล็กน้อย ส่วนภาคกลางตอนล่างลงไปจะเริ่มมีฝนตกหนักขึ้นแล้วตกมากขึ้นร่นไปทางภาคใต้จนถึงเดือนมกราคม ฝนทางแถบภาคใต้จึงเริ่มน้อยลง
จากสถิติน้ำฝนของแต่ละปีที่วัดได้ทั่วประเทศ แสดงว่าเวลาและปริมาณฝนที่ตกในระหว่างฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลเพาะปลูกประจำปีของแต่ละท้องถิ่นนั้น มักจะมีความแตกต่างกันไปบางท้องที่อาจจะมีจำนวนฝนและเวลาที่ฝนตกพอเหมาะกับความต้องการของพืชเสมอ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการชลประทานช่วยเหลือเช่น บางจังหวัดในภาคใต้ และภาคตะวันออกของอ่าวไทย ส่วนพื้นที่เพาะปลูกของภาคอื่น โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีปริมาณฝนรวมในช่วงฤดูฝนมากเช่นกัน แต่จำนวนฝนที่ตกในแต่ละครั้งระยะเวลาของฝนที่ตก และการแพร่กระจายของฝนไปให้ทั่วบริเวณพื้นที่เพาะปลูกนั้น มักจะไม่ค่อยมีความเหมาะสมกับความต้องการของพืชที่ปลูกนัก เช่น อาจมีฝนครั้งหนึ่ง แล้วเว้นระยะไม่ตกไปอีกนาน หลังจากนั้นฝนอาจตกติดต่อกันหลายวัน จนมีน้ำมากเกินกว่าพื้นที่เพาะปลูกต้องการ ทำให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากขาดแคลนน้ำในตอนแรก แล้วมีน้ำมากเกินไปติดตามมาด้วย ในท้องที่เช่นนี้ เมื่อมีการชลประทานแล้วก็จะแก้ไขปัญหาต่างๆให้หมดไปได้
ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย, ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย หมายถึง, ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย คือ, ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย ความหมาย, ทำไมจึงต้องมีการชลประทานในประเทศไทย คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!