ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีพระราชประเพณีว่า พราหมณ์จะต้องถวาย พระสุพรรณบัฏเฉลิมพระปรมาภิไธยก่อนถวายเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์อื่นๆ และจะเชิญดวงพระบรมราชสมภพ และพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ขึ้นประดิษฐานบนมณฑลพระราชพิธีดังนั้น ก่อนเริ่มการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงมีหมายกำหนดการให้มีพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และพระราชลัญจกร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามก่อน พิธีนี้จะต้องกำหนดมงคลฤกษ์เมื่อโหรกำหนดพระฤกษ์วันใดแล้ว ในตอนเย็นก่อนถึงวันพระฤกษ์ พระสงฆ์จะเจริญพระพุทธมนต์โหรสวดบูชาเทวดา รุ่งขึ้นจึงจะประกอบการพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ ฯลฯ
พระราชลัญจกร คือ ตราหรือเครื่องหมายรูปสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นสำหรับใช้ตี หรือประทับ หรือปิดผนึกบนเอกสาร ทั้งที่เป็นเอกสารทางราชการ หรือเอกสารส่วนพระองค์ จำแนกตามรูปแบบและหลักการใช้ได้หลายองค์ และหลายประเภท ตามโบราณราชประเพณีถือว่าพระราชลัญจกรเป็นเครื่องมงคลอย่างหนึ่งในหมวดพระราชสิริ ประกอบด้วย พระสุพรรณบัฏปรมาภิไธยดวงพระบรมราชสมภพ และพระราชลัญจกรประจำรัชกาล อันได้แก่ พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน และพระราชลัญจกรประจำพระองค์ที่สร้างขึ้นในแต่ละรัชกาล ดังนั้น พระราชลัญจกรจึงเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่แสดงถึงพระราชอิสริยยศ พระเกียรติยศ และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิของชาติด้วย
ชาติไทยมีวัฒนธรรมในการใช้ลัญจกร หรือตรามานานแล้ว อย่างน้อยก็มีหลักฐานชัดเจนว่า เคยใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยามาแล้วเดิมอาจเริ่มใช้ในวงการชนชั้นสูง เช่น พระมหากษัตริย์ จากนั้นก็ขยายวงออกไปถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนเพราะเดิมเอกสารต่างๆ ไม่ได้ลงนามผู้เขียน แต่ใช้ตราประจำตัว หรือตราประจำตำแหน่งแทนการลงลายมือชื่อ ดังปรากฏในกฎหมายลักษณะ พระธรรมนูญ ว่าด้วยการใช้ตราประจำตำแหน่งข้าราชการ ซึ่งบัญญัติขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๑๗๙ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และพระราชลัญจกร ซึ่งใช้ในราชการแผ่นดินนั้นก็มีหลายองค์tเละมีระเบียบแบบแผ่นในการใช้สืบต่อกันมายาวนานเช่นกัน จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ก็ได้ทรงบัญญัติวิธีการใช้ลัญจกรหรือตราให้เป็นแบบแผนมั่นคงขึ้น เช่น มีพระบรมราชโองการประกาศให้ราษฎรลงลายมือชื่อ หรือประทับตราประจำตำแหน่ง หรือลงลายมือชื่อกำกับการประทับตราในเอกสารหรือหนังสือต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารที่เป็นสัญญา ฎีกาและหนังสือคดีความต่างๆ ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติใช้ตราแผ่นดินรัตนโกสินทร์ศก ๑๐๘ (พุทธศักราช ๒๔๓๒) กำหนดกฎเกณฑ์การใช้พระราลัญจกรทั้งภาครัฐและเอกชน ให้เป็นแบบแผนเหมาะสมกับภาวการณ์ของประเทศมากขึ้น และมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาอีกหลายฉบับ
การประทับพระราชลัญจกรในรัชกาลปัจจุบัน
พระราชลัญจกรมีอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากหลายองค์ได้ใช้สืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลปัจจุบันจึงได้พิจารณาให้ใช้เฉพาะบางองค์เพื่อให้เหมาะสมกับกาลสมัย ส่วนวิธีการใช้ประทับในเอกสารสำคัญต่างๆ ได้อิงพระราชบัญญัติ พระราชลัญจกรรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๒ ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชบัญญัติ พระราชลัญจกรรัตนโกสินทร์ศก ๑๓๐ ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประกอบกับประเพณีปฏิบัติที่สืบเนื่องกันมา พระราชลัญจกรที่ใช้ประทับเอกสารสำคัญในรัชกาลปัจจุบัน อาจแบ่งเป็น ๓ หมวด รวม ๗ องค์ด้วยกันคือ
พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์มีพระราชลัญจกรเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ต่างกัน ดังปรากฏในเงินพดด้วง หรือปกคัมภีร์พระไตรปิฎก หรือถาวรวัตถุที่สร้างขึ้นในรัชกาล เช่น ที่หน้าบันพระอุโบสถ พระวิหาร พระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ดังกล่าว ได้แก่
พระราชสัญลักษณ์ประจารัชกาลที่ ๑ เป็นรูปปทุมอุณาโลม มีอักขระ “อุ” หรือเลข ๙ ไทยกลับข้างอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัว ทั้งนี้เพราะรูปพระอุณาโลมคล้ายกับพระมหาสังข์ของเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ทรงได้มา และโปรดพระมหาสังข์องค์นี้มาก
พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๒ เป็นรูปครุฑยุดนาค สืบเนื่องมาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “ฉิม” อันตรงกับฉิมพลีที่เป็นวิมานของครุฑในป่าหิมพานต์
พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๓ เป็นรูปปราสาท มาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “ทับ” ที่แปลว่า เรือนที่อยู่
พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๔ เป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ มาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “เจ้าฟ้ามงกุฎ”
พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๕ เป็นรูปพระเกี้ยว หรือจุลมงกุฎ คือยอดของมงกุฎมาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์” จุฬาลงกรณ์ แปลว่า เครื่องประดับผม (จุก) ดังนั้น คำว่า “พระเกี้ยว-จุฬาลงกรณ์-จุลจอมเกล้าจึงมีความหมายเหมือนกัน
พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๖ เป็นรูปวชิราวุธ มาจากพระบรมนามาภิไธยเดิมเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๗ เป็นรูปพระแสงศร ๓ องค์ คือ พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรประลัยวาต และพระแสงศรอัคนิวาต สืบเนื่องมาจากพระบรมนามาภิไธยเดิม “เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์” “เดชน์” แปลว่า ลูกศร
พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๘ เป็นรูปพระโพธิสัตว์ประทับบนบัลลังก์ดอกบัว ห้อยพระบาทขวาเหนือบัวบาน ซึ่งหมายถึงแผ่นดินพระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูม มีเรือนแก้วด้านหลังแทนรัศมี สืบเนื่องมาจากพระบรมนามาภิไธย “อานันทมหิดล” แปลว่า เป็นที่ยินดีของแผ่นดินดุจพระโพธิสัตว์ได้เสด็จมาประทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ทวยราษฎร์
พระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ ๙ เป็นรูปพระที่นั่งอัฐทิศ ประกอบด้วยวงจักร กลางวงจักรมีอักขระเป็น “อุ” หรือเลข ๙ รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งออกโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตร ๗ ชั้น ตั้งบนพระที่นั่งอัฐทิศที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมความหมายถึง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ สืบเนื่องมาจากพระบรมนามาภิไธย “ภูมิพล” คือทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นกำลังของแผ่นดิน
พระราชลัญจกรประจำพระองค์ในรัชกาลปัจจุบันเป็นตรางา มีลักษณะเป็นรูปไข่ ขนาดกว้าง ๕ เซนติเมตร ยาว ๖.๒ เซนติเมตร รวมด้ามสูง ๙.๔ เซนติเมตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดสร้างขึ้น สำหรับใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญส่วนพระองค์เช่น ประกาศนียบัตรกำกับเหรียญรัตนาภรณ์ โดยโปรดเกล้าฯ ให้เชิญเข้าร่วมในการพระราชพิธีฉัตรมงคล พุทธศักราช ๒๔๙๖ และเชิญใช้ประทับตั้งแต่นั้นมา