ศาสนาคริสต์นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดศาสนาหนึ่งของโลก มีประชาชนนับถือกว่า ๑,๐๐๐ ล้านคน ผู้ที่ให้กำเนิดศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู ท่านเกิดที่เมืองเบธเลเฮมแขวงยูดาย กรุงเยรูซาเล็ม เป็นบุตรคนเดียวของโยเซฟ และมาเรีย ท่านเกิดในตระกูลช่างไม้ เจริญเติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านนาซาเรธ แขวงทะเลกาลิลี ทางเหนือของประเทศอิสราเอลปัจจุบัน ตามประวัติกล่าวว่า พระเยซู เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมาแต่เยาว์วัย ท่านได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในวิหารของชาวยิว ในกรุงเยรูซาเล็ม มีชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดาสามัญอาจเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมที่มีแต่เรื่องเกี่ยวกับศาสนา ธรรมะและนักบวช จึงทำให้ท่านมีใจฝักใฝ่อยู่ในธรรมะและการสั่งสอนคนจน
เมื่ออายุได้ ๑๒ ปี ก็มีเหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตที่จะเป็นนิมิตบอกว่าท่านจะได้เป็นศาสดาต่อไปในภายภาคหน้า ทั้งนี้เพราะท่านเป็นผู้ที่พูดจามีเหตุผลมาตั้งแต่เป็นเด็ก เมื่อใครถามปัญหาอะไรกับท่าน ท่านก็มักจะตอบว่าประเดี๋ยวก่อน ฉันจะถามบิดาฉันดูก่อนซึ่งคำว่า "บิดา" ในที่นี้ท่านหมายถึง "พระเป็นเจ้า"
ในระหว่างอายุ ๑๒-๑๘ ปี ท่านได้ท่องเที่ยวหาความรู้อยู่ และได้มอบตัวเป็นศิษย์ของจอห์น ซึ่งเป็นผู้ให้ศีลจุ่มแก่ท่าน แล้วท่านก็ออกเทศนาสั่งสอนให้คนมีความรักใคร่เมตตากัน และคำสอนที่มีชื่อมากก็คือ คำสอนที่ว่า "ถ้าใครมาตบหน้าทางแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาตบอีกทีหนึ่ง" นอกจากนั้นท่านก็สอนให้คนทั้งหลายมีความสำนึกชอบ เสียสละ และไม่พยาบาท จนกระทั่งพวกที่มีปัญญาทั้งหลายเห็นว่าท่านเป็นผู้มาช่วยโลกในนามของพระเป็นเจ้า แต่พวกคนพาลก็เห็นว่าท่านมาก่อกวนพลเมืองให้แข็งข้อต่อผู้ปกครองชาวโรมัน ในที่สุดก็หาทางกำจัดท่านเสีย แต่พระเยซูก็ไม่ท้อถอยคงแสดงธรรมด้วยความเมตตาปรานี และมีความรักเด็กยิ่งกว่าใครๆ ในสมัยเดียวกันเมื่อท่านไปถึงหมู่บ้านใด เด็กๆ ในหมู่บ้านนั้นจะเข้ามาห้อมล้อมท่าน ขอให้ท่านเล่านิทานให้ฟังบ้าง ให้เล่นกับตนบ้าง ท่านก็ไม่เคยขัดใจเด็ก เมื่อท่านไปถึงที่ใด เด็กๆ ในที่นั้นจะสนุกสนานกันอย่างที่สุด ยิ่งท่านเป็นบุคคลที่เด็กรักมากเท่าใด ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองก็ยิ่งเกลียดท่านมากเท่านั้น พวกนักพรตยิวซึ่งมีความอิจฉาริษยาความดีของท่าน เกรงว่าท่านจะชิงเอาสาวกของตนไปหมด จึงกล่าวหาว่าท่านเป็นกบฏ ซ่องสุมผู้คนเพื่อคิดคดทรยศต่อบ้านเมือง และพยายามฟ้องต่อผู้ปกครองชาวโรมันหลายครั้งหลายหน ในที่สุดท่านก็ถูกจับ และศาลโรมันมีคำสั่งให้ประหารชีวิต โดยให้ตรึงท่านด้วยตะปูลงบนไม้กางเขน
การที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนนี้ ลัทธิโรมันคาทอลิกถือว่า พระยะโฮวาผู้ทรงพระมหากรุณาแก่สัตว์โลกได้ประทานพระบุตร คือ พระเยซู ลงมาเพื่อสละชีวิตเป็นการไถ่บาปของมนุษย์ ท่านได้มีโอกาสคำสอนอยู่เพียง ๓ ปีเท่านั้น ก็ถูกตรึงไม้กางเขนเมื่ออายุได้ ๓๓ ปี
เมื่อพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนแล้ว สานุศิษย์คนสำคัญของท่าน คือ เซนต์ปอล ได้เป็นผู้ช่วยเผยแพร่คริสต์ศาสนาให้แผ่ไพศาลออกไปได้เป็นอันมาก อีกท่านหนึ่งก็คือเซนต์ปีเตอร์ ทั้งสองท่านนี้ได้อุทิศชีวิตให้แก่ศาสนาจนกระทั่งถูกจักรพรรดิโรมันที่ไม่นับถือคำสอนของพระเยซูสั่งจับและให้ประหารชีวิตเสียทั้งสองคน
ในคริสต์ศาสนามีนิกายที่สำคัญที่สุดอยู่ ๒ นิกายด้วยกัน คือ นิกายคาทอลิก กับ นิกายโปรเตสแตนต์
นั้นเกิดในภายหลัง มาติน ลูเทอร์ เป็นผู้ให้กำเนิด ลูเทอร์ มีความเห็นว่าการที่โปปในกรุงโรมหรือคณะนักบวชฝ่ายคาทอลิกจะแปลความหมายของศาสนาเอาตามใจชอบนั้นใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องดำเนินตรงตามคัมภีร์และอย่างมีเหตุผลนักบวชจะมาผูกขาดการสั่งสอนอย่างแต่ก่อนไม่ได้ นอกจากนั้นนิกายนี้ไม่นิยมนับถือ"แม่พระ" คือ พระนางมาเรีย ว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ เห็นควรนับถือเฉพาะพระเยซูองค์เดียวเท่านั้น
คริสต์ศาสนาถือว่า พระเป็นเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างเรามา ทั้งนี้ก็เพื่อให้เรา (๑) รู้จักพระองค์ (๒) รักพระองค์ และ (๓) ปรนนิบัติพระองค์บนแผ่นดินนี้ เราจึงจะได้เสวยบรมสุขกับพระองค์ในสวรรค์
ผู้ที่นับถือคริสต์ศาสนาจะต้องยึดมั่นในพระบัญญัติ ๑๐ ประการ คือ
๑. จงนมัสการพระเป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว
ก. พึงทำความเคารพต่อพระเป็นเจ้าและพระเยซู
ข. ควรทำความเคารพต่อพระนางพรหมจารีมาเรีย และต่อนักบุญ
๒. อย่าออกนามพระเป็นเจ้าโดยไม่สมเหตุ
๓. อย่าลืมฉลองวันพระเป็นเจ้าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ (ฉลองวันอาทิตย์)
ก. ต้องฟังมิซซา
ข. ไม่ทำงานอันต้องห้าม
๔. จงนับถือบิดามารดา
๕. อย่าฆ่าคน
๖. อย่าทำลามก
๗. อย่าลักขโมย
๘. อย่าใส่ความนินทา
๙. อย่าปลงใจในความลามก
๑๐. อย่าโลภอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น
ในประเทศไทยมีผู้นับถือคริสต์ศาสนาทั้งนิกายคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ประมาณ๑๕๐,๐๐๐ คนเศษ หรือประมาณ ๐.๕๗% ของพลเมืองทั้งประเทศ
การบริหารศาสนาของนิกายคาทอลิก ได้แบ่งเขตแพร่ธรรม เรียกว่า เขตมิซซังหรือพอเทียบได้กับสังฆมณฑล ออกเป็น ๑๐ เขต มีโบสถ์รวม ๒๗๓ โบสถ์ มีบาทหลวงประมาณ ๓๐๐ คน มีศาสนิกประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ คน ส่วนนิกายโปรเตสแตนต์ มีสภาคริสต์จักร ที่ถนนประมวญ กรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์ดำเนินงาน มีโบสถ์ หรือโรงสวด๓๐๗ แห่ง มีสำนักงาน ๑๒ แห่ง มีศาสนาจารย์ทั้งที่เป็นไทยและชาวต่างประเทศ ๗๕ คนและมีเจ้าหน้าที่ ๑๒ คน งานส่วนใหญ่หนักไปในเรื่องการให้การศึกษา การบำบัดโรคการเผยแพร่เอกสาร และการสังคมสงเคราะห์