หนังสือว่าด้วยประวัติการแพทย์ ซึ่งเขียนโดย วอล์เคอร์ (Kenneth Walker, ค.ศ. ๑๙๕๙) กล่าวว่า ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์โบราณของอินเดียมีน้อยมาก จารึกเป็นภาษาสันสกฤตที่เกี่ยวข้องกับวิชาการแพทย์มีเพียง ๒ คัมภีร์ คือ ฤคเวท (Rig Veda) ก่อนคริสต์ศักราช ๑,๕๐๐ ปี หรือประมาณ ๓,๔๗๑ ปีมาแล้ว ไม่ห่างกับสมัยหินใหม่ของประเทศไทย เป็นคำสอนในศาสนาฮินดู (Hindu bible) กล่าวถึงการเคลื่อนเข้าสู่ประเทศอินเดียและการตั้งรกรากของพวกอารยัน (Aryan)
อีกคัมภีร์หนึ่งคือ อายุรเวท (Ayur Veda) ราว ๗๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือประมาณ ๒,๔๗๗ ปีมาแล้ว เข้าสมัย
พุทธกาล หนังสือฉบับเดียวกันกล่าวว่า อินเดียโบราณมีชื่อเสียงทางศัลยกรรมมาก แต่วิชาที่เป็นรากฐานของวิชาศัลยกรรมที่แพทย์อินเดียโบราณให้ความสนใจน้อย คือวิชากายวิภาคศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาร่างกายของมนุษย์ เป็นลักษณะแบบเดียวกับการแพทย์แผนโบราณของจีนและของไทยด้วย สาเหตุอาจเนื่องจากไม่นิยมชำแหละศพคนตาย การไม่นิยมการชำแหละศพ อาจเนื่องมาจากเป็นดินแดนที่มีอากาศร้อน ศพเน่าในเวลาอันรวดเร็ว ไม่น่าจะเกี่ยวกับความเชื่อในศาสนาฮินดู เว้นแต่ในจีนที่เชื่อตามลัทธิขงจื้อ ศัลยแพทย์ในวิชาการตกแต่งปัจจุบันยังคงกล่าวถึงวิธีการตกแต่งจมูก (rhinoplasty) ของศัลยแพทย์อินเดียโบราณอยู่คือ วิธีที่นำเอาหนังจากหน้าผากลงมาตกแต่งบริเวณจมูกที่เกิดเป็นแผลใหญ่ๆ ขึ้น เช่น แผลที่เกิดจากการตัดจมูกภรรยาที่ไม่ซื่อต่อสามี สามีอาจทำโทษให้เสียโฉมได้ และศัลยแพทย์อินเดียก็จะเป็นฝ่ายตกแต่งให้ใหม่ ทำให้นึกถึงนิทานเรื่อง สังข์ทอง ตอนหาเนื้อหาปลา ก็มีการตัดจมูก ตัดใบหู ๖ เขย เนื่องจากไม่สามารถหาปลาหรือเนื้อมาได้ตามบัญชาของท้าวสามล การแก้เผ็ดของเจ้าเงาะเป็นที่รู้และเป็นละครสนุกในหมู่คนไทย เป็นเรื่องแสดงการเกี่ยวเนื่องระหว่างประเทศไทยและประเทศอินเดียได้ดีประการหนึ่ง ศัลยแพทย์ชาวอินเดียที่ชื่อสุสรุตะ (Susruta)ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ พ.ศ. ๙๔๓ (ใกล้กับสมัยทวารวดีของไทย) ได้กล่าวถึงเครื่องมือผ่าตัดเกือบร้อยรายการ ที่ใช้โดยท่านผู้นี้และผู้ร่วมคณะ กล่าวถึงการผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง (Caesarian section)โดยแพทย์อินเดียโบราณ ซึ่งทำเช่นเดียวกับการผ่าตัดเอานิ่วออกจากกระเพาะปัสสาวะ
ในคัมภีร์อายุรเวท มีเรื่องราวเกี่ยวกับการแพทย์มาก ได้มีการกล่าวถึงระบบหัวใจและหลอดเลือดจนทำให้ วอล์เคอร์ เชื่อว่า การแพทย์ของชาวฮินดูสมัยนั้น รู้เรื่องการไหลเวียนของเลือดก่อนการพบของฮาร์วีย์ (William Harvey , ค.ศ. ๑๕๗๘-๑๖๕๗ ประมาณสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) คัมภีร์ฉบับเดียวกันได้จารึกถึงข้อสังเกตที่ว่า กาฬโรค (plaque) มักจะปรากฏเมื่อ มีหนูตายเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น และมีบันทึกว่าโรคไข้จับสั่น (malaria) เกิดเนื่องจากยุง ซึ่งการแพทย์แผนปัจจุบันพึ่งรู้ เมื่อศัลยแพทย์ในกองทัพฝรั่งเศส ที่ตั้งอยู่ในประเทศแอลจีเรีย ได้เขียนบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ (ต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)ในคัมภีร์อายุรเวทได้อธิบายถึงอาการของวัณโรคปอด ว่า
มีไอเรื้อรัง มีไข้ และไอเป็นเลือด ในคัมภีร์ มีพืชที่ใช้เป็นยา(medicinal plants) มากกว่า ๗๐๐ รายการ และมีข้อความกล่าวถึง การทำยาขี้ผึ้ง ยาใช้ในการสูดดมและทำให้จาม แพทย์ที่ปฏิบัติวิชาการนี้ในสมัยของคัมภีร์อายุรเวท
ไม่ใช่พวกพราหมณ์ แต่เป็นบุคคลในวรรณะแพศย์ (Vaisyacaste) เพราะถือตามกฎของพระมนูว่า ผู้ที่ปฏิบัติดังกล่าว
เป็นผู้ที่ไม่สะอาดและไม่อนุญาตให้เข้าไปร่วมในการทำบุญผู้ตาย นอกจากคัมภีร์อายุรเวทแล้ว ยังมีคัมภีร์อื่นๆ อีก แต่ถือว่าคัมภีร์อายุรเวทเป็นความรู้ที่แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองของอินเดีย คือ จรกะ (Charaka) และสุสรุตะ ได้รับถ่ายทอดมาจากพระฤาษี ธันวันตาริ (Dhanwantari) โดยตรง หรือถ่ายทอดมาจากฤาษี หรืออาจารย์บางองค์
ทางฝ่ายไทย ตามบทความของแพทย์หญิง ปทุมทิพย์ สาครวาสี (พ.ศ. ๒๕๑๒) กล่าวว่า รู้จักแพทย์ที่เป็นชั้นแนวหน้า มากกว่าที่กล่าวแล้วในหนังสือเล่มที่แต่งโดยวอล์เคอร์ คือได้กล่าว ถึงสำนักทิศาปาโมกข์ แห่งเมืองตักกสิลา ในแคว้นคันธาระ ปัจจุบันอยู่ในตอนเหนือของแคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน มีชื่อเสียงในทางศิลปวิทยา รวมทั้งวิชาการแพทย์ด้วยเป็นเมืองที่ชีวกโกมารภัจจ์ได้ไปเล่าเรียนในสมัยพุทธกาล ในบทความดังกล่าวได้กล่าวถึงผู้ก่อตั้งตำรายาไทยคือ ท่านมหาเถรตำแยและท่านโรคามฤคินทร์ว่า ตั้งโดยอาศัยอาการของโรคและวิธีรักษาโรค แพทย์ที่สำเร็จเป็น แพทย์ชั้นแนวหน้าในสมัยนั้น คือ
๑. อาจารย์อทริยะ แห่งเมืองตักกสิลา แคว้นคันธาระ เป็นอาจารย์ของท่านชีวกโกมารภัจจ์
๒. ท่านชีวกโกมารภัจจ์ ก่อนพุทธกาล ๒๔ ปี
*๓. พระอาจารย์สุสรุตะ แห่งกรุงพาราณสี แคว้นกาสีก่อนพุทธกาล ๒๔ ปี
๔. พระฤาษีภาสทวาระ
*๕. พระฤาษีธันวันตาริ
*๖. หมอจรกะ แห่งปรางค์ปุระ แคว้นแคชเมียร์ประมาณ พ.ศ. ๖๖๓-๖๙๓
(*กล่าวถึงในหนังสือของ วอล์เคอร์)
ในฐานะที่คนไทยรู้จักชีวกโกมารภัจจ์ยิ่งกว่าผู้อื่นว่านอกจากจะเป็นแพทย์ประจำพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังได้รับยกย่องให้เป็นบรมครูของการแพทย์แผนโบราณของไทยด้วย จึงขอย่อประวัติของท่านจากบทความที่แปลและเรียบเรียงโดยพระอริยเมธีและเปมังกโรภิกขุ (๒๕๑๒) มาเสนอ เพราะในประวัติของท่านได้กล่าวถึงวิธีการศึกษาแพทย์ในสมัยนั้นและการรักษาที่ท่านได้กระทำ
ชีวกโกมารภัจจ์ เป็นพระโอรสเลี้ยงของอภัยราชกุมาร พระโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ผู้ครองกรุงราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ โดยสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ชีวกโกมารภัจจ์รู้ฐานะของตน จึงตกลงเลือกเรียนวิชาแพทย์และได้ออกเดินทางโดยอาศัยพ่อค้าชาวเมืองตักกสิลา แห่งแคว้นคันธาระ ที่มาค้าขายที่กรุงราชคฤห์ไป เมืองตักกสิลา พระฤาษีโรคาพฤกษตฤณณาเป็นอาจารย์ (บางแห่งให้อาจารย์อทริยะเป็นอาจารย์) เป็นนักเรียนที่ไม่เสียค่าเล่าเรียนเพราะไม่มีสมบัติติดตัวไป จึงทำงานให้กับสำนักร่วมไปกับการเรียนด้วย ชีวกโกมารภัจจ์เรียนสำเร็จภายในเวลา ๗ ปี ซึ่ง ตามกำหนดต้องใช้เวลาถึง ๑๔ ปี จึงจะสำเร็จบริบูรณ์ การทดสอบว่าชีวกโกมารภัจจ์มีความรู้สุดสิ้นหรือไม่นั้น อาจารย์จะมอบตะกร้าให้ใบหนึ่ง สั่งให้ถือเข้าไปในป่า ห่างจากประตูเมืองออกไปด้านละ ๑ โยชน์จนครบ ๔ วัน (๔ ประตู) หากพบว่า สมุนไพรชนิดใดที่ไม่มีสรรพคุณในทางเป็นยารักษาโรคก็ให้เก็บเอามาให้อาจารย์หลัง ๔ วัน ได้นำตะกร้ากลับมาคืน กล่าวว่า ไม่พบพืชแม้แต่ชนิดเดียวที่ไม่มีสรรพคุณในทางทำเป็นยารักษาโรค ทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณเป็นยาทั้งสิ้น นี่เป็นวิธีที่รับรองความสำเร็จของชีวกโกมารภัจจ์
ข้อความที่กล่าวจะมีความจริงประการใดไม่อาจยืนยันได้ ตำรายาไทยทุกเล่มจะต้องอ้างข้อความดังกล่าวนี้ ถ้าวิธีทดสอบนี้เป็นความจริงก็จะได้ข้อคิดเป็น ๒ ประการ ประการหนึ่ง การเรียนแพทย์ของเมืองตักกสิลาเป็นการเรียนทางอายุรศาสตร์ยิ่งกว่าทางศัลยกรรม ประเทศไทยเราดูจะรับเรื่องทางยาสมุนไพรมายิ่งกว่าทางการผ่าตัด การผ่าตัดจึงเป็นเรื่องปฏิบัติกันน้อยมากหรือเกือบไม่มีเลยในสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยาและในตอนต้นของสมัยรัตนโกสินทร์ พึ่งจะมาปรากฏชัดเจนเอาในตอนกลางของสมัยรัตนโกสินทร์ ประการที่ ๒ ถ้าพืชทุกชนิดเป็นยา การที่มีผู้คิดจะปลูกสวนพืชใช้ทำยาก็ไร้ประโยชน์ ผิดจากข้อเท็จจริงเพราะเมื่อพืชทุกชนิดเป็นยา ทำไมจึงจะไปคัดพืชบางชนิดออกว่าไม่ใช่พืชใช้เป็นยา แล้วไม่ยอมนำเอาไปปลูกในสวนนั้น
ในการเดินทางกลับ ชีวกโกมารภัจจ์ได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียน หาเสบียง เพื่อเดินทางกลับกรุงราชคฤห์ โรคแรกที่รักษา คือ รักษาโรคปวดศีรษะเรื้อรังที่เมืองสาเกตุ แคว้นมหารัฐโกศล เมื่อถึงกรุงราชคฤห์ได้ถวายการรักษาริดสีดวงทวารโดยวิธีใช้ยาทาให้แก่ พระเจ้าพิมพิสาร จนได้รับตำแหน่งแพทย์ประจำพระองค์และเป็นแพทย์ประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย มีการผ่าตัดเข้าไปในกะโหลกเหมือน ทรีไฟนิง เช่นที่กล่าวถึงมาแล้ว ทำการรักษาฝีในช่องท้องโดยการผ่าตัด ยาที่ประกอบขึ้นดูจะมีสรรพคุณเหลือหลาย ทำเป็นพระโอสถถวายพระเจ้าจันทปัชโชติแห่งกรุงอุชเชนี แคว้นอวันตี เพียงครั้งเดียวก็หาย เพียงยาขนาดติดปลายเล็บก็พอเป็นยาถ่ายอย่างรุนแรง จนข้าของพระเจ้าจันทปัชโชติตามมาจับตัว หมดแรง เดินทางต่อไปไม่ได้ นอกจากนี้ ยังได้ถวายพระโอสถถ่ายแด่พระพุทธองค์โดยวิธีดม ไม่ต้องเสวย ถวายการรักษาบาดแผลที่พระชงฆ์ของพระพุทธองค์ที่เกิดจากทรงถูกสะเก็ดหินก้อนใหญ่ที่กลิ้งลงมาโดยพระเทวทัตและบริวารเพื่อทำร้ายพระพุทธองค์ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันแพร่หลายยิ่งกว่าการกระทำอื่นๆ ของท่านชีวกโกมารภัจจ์
ในการทรงพระครรภ์ของพระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็นพระราชมารดาของพระเจ้าอชาตศัตรู พระนางเชื่อคำทำนายของโหรว่าพระโอรสในพระครรภ์ เมื่อประสูติออกมาจักเป็นศัตรูกับพระราชบิดาและคิดปลงประชนม์ พระนางจึงทรงใช้ยาเพื่อทำลายพระครรภ์เสียแต่ไม่สำเร็จ เพราะพระเจ้าพิมพิสารทรงห้ามไว้ เป็นการแสดงว่าได้มีการใช้ยาเพื่อการทำแท้งในสมัยนั้น
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่กระทำโดยชีวกโกมารภัจจ์ ก็คือ เรื่องเกี่ยวกับสาธารณสุข เพราะได้ทูลขอต่อสมเด็จพระพุทธองค์ไม่ให้บวชคนมีโรคติดต่อ เช่น โรคเรื้อน (กุฐํ) โรคผิวหนัง (กิลาโส)ไข้ม่องคร่อ (ชื่อโรคชนิดหนึ่ง มีเสมหะแห้งอยู่ในลำหลอด ปอด) ผู้ป่วยที่เป็นลมบ้าหมู (อปมาโร) เพราะสังคมในหมู่สงฆ์ใกล้ชิดกว่าในหมู่ประชาชน เช่น ในเรื่องการฉันจังหัน การรวมกันอยู่ในที่พักอาศัย อาจทำให้โรคแพร่ไปได้ พระพุทธองค์ทรงรับและทรงวางบทบัญญัติห้าม เป็นอันตรายิกธรรม ขัดต่อความเป็นภิกษุ ในการขอบรรพชา บุคคลผู้ขอต้องแสดงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อที่ประชุมสงฆ์ด้วย สงฆ์หรือพระภิกษุรูปใดรับวชบุคคลดังกล่าว ถือว่ามีโทษเป็นอาบัติ เข้าใจว่าเมื่อพระพุทธศาสนาแผ่เข้ามาในดินแดนไทย พิธีบวชก็คงตามมาด้วย ปัจจุบันพิธีบวชเป็นภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาคงห้ามโรคดังกล่าว ซึ่งห้ามมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
แนวการปฏิบัติที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงวางพระวินัยให้พระสาวกปฏิบัติตาม เกี่ยวกับวัตถุต่างๆ ที่เป็นเภสัชคงติดตามเข้ามาพร้อมกับการแพร่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศไทย สมเด็จพระพุทธองค์ทรงเข้มงวดมากเกี่ยวกับการบริโภคของพระภิกษุที่เป็นสาวก วัตถุที่มีลักษณะเป็นอาหาร ภิกษุจะบริโภคได้เฉพาะในเวลารุ่งอรุณเห็นลายมือถึงเที่ยงวันเท่านั้น เรียกว่า เวลาในกาล นอกเวลานั้นถือเป็น เวลานอกกาล หรือเวลาวิกาล แม้วัตถุที่จะใช้เป็นยาก็ทรงมีพระบัญญัติห้ามไม่ให้ใช้ถ้าไม่มีความจำเป็นนอกจากนี้ยังทรงเคร่งครัดในการขบเคี้ยวอีกด้วย
วัตถุที่คล้ายอาหารที่ทรงมีพุทธานุญาตให้รับประเคนได้ในเวลาวิกาล ปรุงแต่งได้ในเวลาวิกาลและบริโภคได้ในเวลาวิกาล มีเพียง ๕ อย่างคือ เนยไส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยสาเหตุที่ทรงมีพุทธานุญาต ก็คือ พระสาวกอาพาธชุกชุมในฤดูสารท มีอาการอาเจียน และร่างกายซูบผอม มีอาหารไม่พอ
วัตถุที่เป็นเภสัชซึ่งทรงมีพุทธานุญาตให้ใช้ได้เฉพาะเมื่อจำเป็น มีรากไม้ที่เป็นเภสัช เช่น ขมิ้น ขิง ว่านน้ำ ว่านเปราะ อุตพิด ข่า แฝก แห้วหมู ต่อไปก็ทรงมีพุทธานุญาตให้ใช้น้ำฝาดที่เป็นเภสัชได้ เช่น น้ำฝาดสะเดา น้ำฝาดมุกมัน น้ำฝาดกระดอนหรือขี้กา น้ำฝาดบอระเพ็ดหรือหญ้ามือเหล็ก น้ำฝาด กระถินพิมาน ใช้ใบไม้ที่เป็นเภสัช เช่น ใบสะเดา ใบมุกมัน ใบกระดอนหรือขี้กา ใบกะเพราหรือแมงลัก ใบฝ้าย ใช้ยางไม้ที่เป็นเภสัช เช่น ยางอันไหล หรือเคี่ยวจากต้นและใบของหิงคุ ยางจากยอดจากใบของต้นกะตะ กำยาน ใช้ผลไม้ที่เป็นเภสัช เช่น ลูกพิลังกาลา ดีปลี พริก สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม
เมื่อพระสาวกต้องการเกลือเป็นเภสัช ก็ทรงมีพุทธานุญาตให้ใช้เกลือ คือ เกลือสมุทร เกลือดำ เกลือสินเธาว์ เกลือดินโป่งเกลือหุง เช่นเดียวกับรากไม้ ใบไม้ ยางไม้และผลไม้ข้างต้น คือรับประเคนเภสัชเหล่านั้นได้ ต่อมีเหตุจึงใช้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภคอาบัติทุกกฎ
ต่อมาเมื่อพระสาวกต้องการเภสัชที่บดละเอียด จึงได้ทรงมีพุทธานุญาตให้ใช้หินบดและลูกหินบด และผ้ากรองทำให้เข้าใจว่าหินบดและลูกหินบดที่ใช้เป็นเครื่องมือบดยาที่พบในสมัยทวารวดีเป็นจำนวนมาก น่าจะใช้เป็นเครื่องมือในการบดเมล็ดพืช เมล็ดพืชที่เตรียมโดยวิธีใช้หินเป็นเครื่องมือบดอาจเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ฟันของคนโบราณสึกลึกมากกว่าคนปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกันโดยพิจารณาอายุประกอบ
ในสมัยพุทธกาลกล่าวถึงยาตาที่ทรงมีพุทธานุญาต ยาตาที่ปรุงด้วยเครื่องปรุงหลายอย่าง ยาตาที่ทำด้วยเครื่องปรุงต่างๆยาตาที่เกิดในกระแสน้ำ เป็นต้น หรดาลกลีบทอง เขม่าไฟ ต่อมาก็ทรงมีพุทธานุญาตให้ใช้ไม้จันทน์ กฤษณากะลัมพะใบเฉียง แห้วหมู บดผสมเป็นยาตา เป็นยาตาที่ใช้ในสมัยพุทธกาล และทรงให้มีกลักเก็บยา มีฝาปิดและมีไม้ป้ายยาตาแต่ทรงห้ามสิ่งเหล่านี้ไม่ให้ทำด้วยทอง ด้วยเงิน คงให้ใช้ทำด้วยกระดูก งา เขา หรือทำด้วยเปลือกสังข์ ทรงให้ใช้ยานัตถุ์แก้อาการปวดศีรษะเรื้อรังและทรงให้ใช้เครื่องดูดควัน แต่ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึงวัตถุที่ใช้ในการทำให้เกิดควัน
ในสมัยนั้นพระสาวกองค์หนึ่ง คือพระปิลินทวัจฉะอาพาธเป็นโรคลม แพทย์ให้น้ำมันหุงเจือน้ำเมา ก็ทรงมีพุทธานุญาต แต่เมื่อใช้น้ำเมาผสมเกินขนาด เกิดเมาขึ้น จึงได้ทรงให้เปลี่ยนเป็นใช้ทาไม่ใช่ใช้บริโภค ในการรักษาโรคลม ทรงมี
พุทธานุญาตให้ใช้การเข้ากระโจมเป็นการรักษาลมใหญ่ น้ำต้มเดือดมีใบไม้ต่างๆ ชนิดและทรงให้ใช้อ่างน้ำ
ในการอาพาธเป็นโรคลมเสียดยอกตามข้อ ทรงมีพุทธานุญาตให้ระบายโลหิตออก ไม่ใช่เจาะเอาออก ให้เอาออกโดยวิธีกอกด้วยเขา ในอาพาธเท้าแตก ทรงให้ใช้ยาและปรุงน้ำมันทาเท้า ในการรักษาโรคฝี ทรงมีพุทธานุญาตให้ผ่าตัดใช้น้ำฝาด เข้าใจว่าใช้ชะแผล ใช้เมล็ดงาที่บดแล้วเป็นยาพอกและใช้ผ้าพันแผล ในการรักษาเนื้องอก ทรงมีพุทธานุญาตให้ตัดด้วยก้อนเกลือ ในการรักษางูพิษกัด ใช้ยามหาวิกัฏ ๔ อย่าง คือ คูถ มูตร เถ้า ดิน และพระสาวกที่ดื่มยาพิษ ทรงอนุญาตให้ใช้น้ำเจือคูถ
พระสาวกที่อาพาธเป็นโรคผอมเหลือง (ดีซ่าน) ตรัสอนุญาตให้ดื่มยาผลสมอดองน้ำมูตรได้ และภิกษุที่อาพาธเป็นโรคผิวหนัง ทรงอนุญาตให้ใช้ลูบไล้ด้วยของหอมได้ ในการรักษาภิกษุที่มีกายกอร์ปด้วยโทษมาก ทรงมีพุทธานุญาตให้ดื่มยาประจุถ่าย น้ำถั่วเขียวต้ม จนกระทั่งน้ำเนื้อต้ม
(ข้อความดังกล่าวย่อจากเภสัชขันธกะ มหาวรรคภาค ๒ พระวินัยปิฎกเล่ม ๗)