จากผลสำรวจของ American College of Allergy, Asthama and Immunology มีคนประมาณ 10% ที่มีอาการแพ้สัตว์เลี้ยง และมีคนที่แพ้แมวมากเป็น 2 เท่าของสุนัข และสำหรับเด็กอายุ 6 - 19 ปี มีเด็กประมาณ 1 ใน 7 ที่แพ้แมว
ความจริงแล้ว ไม่ใช่ขนแมวที่ทำให้เกิดอาการแพ้น้ำตาไหล คนที่แพ้แมวเกือบทั้งหมด แพ้โปรตีน Fel d 1 ที่อยู่ในผิวหนังของแมว และแมวตัวผู้ โดยเฉพาะแมวที่ไม่ถูกตอน จะผลิต Fel d 1 มากกว่าแมวตัวเมีย อันเป็นผลมาจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
สาเหตุที่ทำให้เกิดการแพ้แมวมากกว่าสุนัข เพราะขนาด และรูปร่างของอนุภาคโปรตีน Fel d 1 ที่เล็ก และเบามาก มันมีขนาดเพียง 1 ใน 10 ของสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นฝุ่น และสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง แถมยังเหนียวหนึบ สามารถเกาะติดกับผิวหนังมนุษย์ เสื้อผ้า และติดอยู่อย่างนั้นได้เป็นเวลานาน ทำให้สารก่อภูมิแพ้ของแมวมีอยู่ทั่วไป แม้ในสถานที่ที่ไม่มีแมวอย่าง ห้องเรียน คลินิก หรือแม้แต่ทวีปอาร์คติก ซึ่งต่างจากขนาดอนุภาคของสารก่อภูมิแพ้ของสุนัขที่เราสามารถหายใจเอามันเขาไปส่วนลึกของปอดได้ง่าย ๆ
หากคุณแพ้แมว ทางแก้ที่ดีคือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแมว ห้ามไม่ให้แมวเข้าห้องนอน ติดตัวกรองอนุภาคประสิทธิภาพสูง (HEPA) อาบน้ำให้แมว และทำความสะอาดพรมเพื่อกำจัดสารก่อภูมิแพ้ หรือนำแมวออกไปจากบ้าน (แต่สารก่อภูมิแพ้จะยังอยู่นานถึง 6 เดือน)
การรักษา สามารถทำได้โดยการฉีดสารก่อภูมิแพ้ เพื่อให้ร่างกายยอมรับสารก่อภูมิแพ้ และไม่แสดงการต่อต้านอีก ซึ่งจะต้องฉีดทุกสัปดาห์เป็นเวลา 6 เดือน และหลังจากนั้นจะต้องฉีดทุกเดือนอีกประมาณ 3 - 5 ปี จึงจะได้ผลดีที่สุด ส่วนวัคซีนนั้นตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 (ศึกษาในผู้ป่วย 300 - 3000 คน ร่วมกับหลายสถาบัน เพื่อรวบรวมข้อมูลด้านประสิทธิภาพ ขนาด และความปลอดภัยของยา หากผ่านก็จะนำข้อมูลที่ได้จากระยะที่ 1 - 3 ไปขึ้นทะเบียนยาใหม่) ซึ่งจะเริ่มในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ (ปลายเดือนกันยายน) แต่เท่าที่ผ่านมา วัคซีนนี้ปลอดภัย ได้ผลดี และไม่มีผลข้างเคียงอย่าง ผิวหนังมีปฏิกิริยาตอบสนอง และหายใจลำบาก
ที่มา: Yahoo! News
