ยาเม็ดคุมกำเนิด ประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ 2 ชนิด คือ เอสโตรเจน และ โปรเจสโตเจน ที่ออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนในร่างกาย ดังนั้นเมื่อเรารับประทานเข้าไปแทน ฮอร์โมนจึงไปทำหน้าที่หลอกระบบภายในร่างกาย ซึ่งปกติมีการควบคุมกันเองโดยธรรมชาติ ทำให้
- ไม่มีไข่ตก ป้องกันการเจริญและการสุกของไข่
- มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว เชื้ออสุจิจึงไม่สามารถผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกได้
- ผังเยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อตัวไม่เหมาะต่อการเจริญของตัวอ่อน
เมื่อลืมทานยาคุมกำเนิด
การลืมรับประทานยา หรือ รับประทานยาไม่ตรงเวลา อาจมีผลทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยาลดลง และอาจทำให้เกิดเลือดออกกะปริดกระปรอยได้ จึงควรรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดในเวลาเดียวกันทุกวัน และควรเก็บยาในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย เพื่อช่วยเตือนไม่ให้ลืมรับประทานยา
ในกรณีที่ลืมรับประทานยา มีหลักปฏิบัติดังนี้ คือ
- ถ้าลืมรับประทานยา 1 เม็ด ให้รับประทานยาเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้ และรับประทานยาเม็ดต่อไปตามเวลาเดิม
- ถ้าลืมรับประทานยาตั้งแต่ 2 เม็ดขึ้นไป ให้รับประทานยา 1 เม็ดทันทีที่นึกได้ จากนั้นนับจำนวนเม็ดยาที่มีฮอร์โมนที่เหลืออยู่ในแผง
- ถ้ามีตั้งแต่ 7 เม็ดขึ้นไป ให้รับประทานยาวันละ 1 เม็ดต่อไป ตามปกติ
- ถ้ามีเหลืออยู่น้อยกว่า 7 เม็ด ให้รับประทานยาที่มีฮอร์โมนวันละ 1 เม็ดทุกวันจนหมด โดยทิ้งยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมนไป และเริ่มรับประทานยาแผงใหม่ทันที โดยไม่ต้องเว้นระยะให้มีประจำเดือนมา
ในกรณีที่ลืมรับประทานยาตั้งแต่ 2 เม็ดขึ้นไป จะต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัย อย่างน้อย 7 วันในช่วงถัดมา
วิธีรับประทานยาแผงต่อไป
แบบ 21 เม็ด เมื่อรับประทานยาครบ 21 เม็ด จนหมดแผงแรกแล้ว ให้หยุดยา 7 วัน ให้เริ่มรับประทานยาแผงใหม่ได้ ถึงแม้ว่าประจำเดือนจะหมดหรือยังก็ตาม ด้วยวิธีนี้เมื่อเริ่มรับประทานยาแผงใหม่ วันที่เริ่มรับประทานยาแผงใหม่จะตรงกับวันแรกที่เริ่มรับประทานยาแผงแรกเสมอ
แบบ 28 เม็ด เมื่อรับประทานยาครบ 28 เม็ด จนหมดแผงแล้ว ให้รับประทานยาแผงใหม่ต่อได้ทันทีเลย ถึงแม้ประจำเดือนจะหมดหรือยังก็ตาม ด้วยวิธีนี้เมื่อเริ่มรับประทานยาแผงใหม่ วันที่เริ่มรับประทานยาแผงใหม่จะตรงกับวันแรกที่เริ่มรับประทานยาแผงแรกเสมอ
หมายเหตุ ช่วงเวลาและปริมาณเลือดประจำเดือนที่ออกมาอาจน้อยกว่าปกติ อาการนี้เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปของผู้รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด
ข้อห้ามใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
- โรคของถุงน้ำดี
- เป็นโรคหรือเคยเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง และ โรคหลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น
- โรคตับ
- มีเลือดออกจากโพรงมดลูก โดยไม่ทราบสาเหตุ
ยาที่ต้องระวังเมื่อใช้กับยาคุมกำเนิด
ลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิด
ยาปฏิชีวนะ
แอมพิซิลลิน Ampicillin
Penicillin
Neomycin
Nitrofurantoin
Sulfa - Cotrimoxazole
Tetracycline
ยากันชัก
Carbamazepine
Phenobarbital
Phenytoin
Primidone
ยาแก้ปวด
Phenylbutazone
ยาต้านวัณโรค
Isoniazid
Rifampicin
ยาอื่นที่ถูกรบกวนโดยยาคุมกำเนิด
ยาลดน้ำตาลในเลือด ทุกชนิด รวมทั้ง อินซูลิน
ยาลดความดันโลหิต
Gunethidine
Methyldopa
ยากันการแข็งตัวของเลือด ทุกชนิด
ยาบรรเทาอารมณ์ซึมเศร้า
Clomipramine
Imipramine
วิธีรับประทานยาคุมกำเนิดแผงแรก
สำหรับผู้เริ่มรับประทาน : ควรเริ่มรับประทานยาเม็ดแรกในวันแรกที่มีประจำเดือน โดยนับวันแรกที่มีเลือดประจำเดือนเป็นวันที่หนึ่งของรอบเดือน
สำหรับผู้เปลี่ยนชนิดยาคุม ( จากชนิด 21 เม็ด ) ให้รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดเดมจนหมดแผงก่อน จากนั้นเริ่มรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดใหม่ โดยรับประทานยาเม็ดแรกในวันแรกที่มีประจำเดือน
สำหรับผู้เปลี่ยนชนิดยาคุม ( จากชนิด 28 เม็ด ) เมื่อมีประจำเดือนมา ให้หยุดรับประทานยาแผงเดิม และเริ่มรับประทานยาแผงใหม่ โดยรับประทานยาเม็ดแรกในวันแรกที่มีประจำเดือน
แบบ 21 เม็ด ยาทุกเม็ดในแผงจะประกอบด้วยฮอร์โมนทั้งหมด การเริ่มรับประทานยาเม็ดแรก ให้เริ่มตรงกับวันของสัปดาห์ที่ระบุบนแผงยา เช่น ประจำเดือนมาวันแรก คือ วันศุกร์ ก็ให้เริ่มรับประทานยาเม็ดแรกที่ระบุไว้ว่า "ศ" รับประทานยาวันละ 1 เม็ด เป็นประจำทุกวัน ตามลูกศรชี้จนหมดแผง
แบบ 28 เม็ด ในแผงหนึ่งจะประกอบด้วยฮอร์โมน 21 เม็ด และ ส่วนที่ไม่ใช่ฮอร์โมนเพศ อีก 7 เม็ด ซึ่งจะมีขนาดต่างจาก 21 เม็ดแรก การเริ่มรับประทานยาแผงแรก ให้เริ่มรับประทานยาเม็ดแรกในวันแรกที่มีประจำเดือนมา รับประทานยาเม็ดแรกในส่วนที่ระบุบนแผงว่าเป็นจุดริ่มต้นใช้ยา และรับประทานยาวันละ 1 เม็ดเป็นประจำทุกวัน ตามลูกศรชี้จนหมดแผง
ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด
ปัจจุบัน ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่มีระดับฮอร์โมนต่ำกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะส่วนของฮอร์โมนเอสโตรเจน ( แต่เดิมต้องใช้มากถึง 50 ไมโครกรัม หรือ 0.05 มิลลิกรัม ปัจจุบัน เหลือเพียง 20, 30, 35 ไมโครกรัม ) จึงพบอาการข้างเคียงต่างๆลดลง แต่ก็ยังอาจพบได้บ้าง ได้แก่ คลื่นไส้ , อาเจียน , ปวดศรีษะ , ตึงคัดเต้านม , เป็นฝ้า , น้ำหนักเพิ่ม ซึ่งอาจพบภายใน 2-3 เดือนแรก แล้วจะค่อยๆหายไป อย่างไรก็ตาม ถ้าพบอาการข้างเคียงนี้มาก และ/หรือ ไม่หายภายใจ 2-3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ เภสัชกรต่อไป
อาการเลือดออกกะปริดกะปรอย มักพบในผู้ที่ลืมรับประทานยา หรือรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ ( ไม่เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ) ถ้าเกิดจากสาเหตุนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกวันเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม อาจพบอาการนี้ได้ในระยะ 2-3 เดือนแรกของการใช้ยา ถ้ามีเลือดออกเล็กน้อย ให้รับประทานยาต่อไป อาการจะหายได้เอง แต่ถ้ามีเลือดออกมาก ก็ควรปรึกษาแพทย์ เภสัชกรต่อไป