เราสามารถใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก้หนาวได้หรือไม่ - ถามตอบที่ Sanook! Guru

                  นพ ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สธ เปิดเผยว่า สภาพอากาศในช่วงนี้หนาวเย็นมาก โดยฤดูหนาวทุกปีจะมีประชาชนตามชนบทในภูมิภาคต่างๆ นิยมดื่มเหล้า เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นร่างกาย แก้หนาวได้ นักดื่มบางรายเชื่อว่าไม่สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นก็ได้เพราะเหล้าทำให้อุ่น ซึ่งในทางการแพทย์จัดว่าเป็นความเชื่อที่ผิดและเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก เนื่องจากฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการขยายตัว ทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบรู้สึกเหมือนร่างกายอบอุ่นขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามการขยายตัวของหลอดเลือดฝอย จะเป็นช่องทางให้ความร้อนถูกระบายออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น ผลตามมาคืออุณหภูมิในร่างกายอาจจะลดลงต่ำกว่าปกติ และหากเผลอนอนหลับร่างกายสัมผัสอากาศเย็นเป็นเวลานาน จะทำให้เสียชีวิต หรือหากนั่งดื่มเหล้าขณะผิงไฟก็อาจเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้เสื้อผ้า ผิวหนังพุพองจากเปลวไฟหรือไฟไหม้บ้าน ควันไฟจากฟืน ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ควรเลี่ยงสูดควันไฟให้นั่งผิงไฟเหนือลม                   ในช่วงนี้มีเทศกาลงานฉลองสังสรรค์มากมาย เช่น งานคริสต์มาสงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยง จะทำให้มีไขมันในเลือดสูงขึ้นได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 ปี และเสี่ยงต่อหัวใจวายได้ คนที่ดื่มเหล้าหรือเบียร์ทุกวันจะมีพลังงานส่วนเกินจากเครื่องดื่มเหล่านี้สะสมในร่างกายวันละ 50-200 กิโลแคลอรี จึงเหมือนกินไขมัน 1-4 ช้อนชา ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอาจถึงเดือนละ 1 กิโลกรัม หรืออาจมีไขมันในเส้นเลือดสูง ถึงแม้ไม่ได้อ้วนก็ได้ นพ ปราชญ์กล่าว                   สำนักข่าวเอพีรายงานว่าเดือนธันวาคมและเดือนมกราคมเป็นเดือนที่มีจำนวนผู้ป่วยหัวใจวายมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา สาเหตุเกิดจากสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองความสุขทั้งอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงกว่าปกติ แอลกอฮอล์และสิ่งกระตุ้นพิเศษที่อันตรายต่อการเกิดหัวใจวายมากกว่าเดือนอื่นๆ ทั้งนี้ ผลการวิจัยระบุว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกจะคิดว่ามีสาเหตุมาจากการที่อาหารไม่ย่อยในทีแรก แต่ในช่วงเทศกาลพวกเขาจะรู้สึกไม่เต็มใจที่จะไปโรงพยาบาลเพราะคิดว่าเป็นการขัดจังหวะการใช้เวลาในช่วงวันหยุด อีกทั้งการเดินทางไปเที่ยวต่างเมืองทำให้ไปหาหมอช้าเกินไป แนวโน้มเช่นนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยผลการวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2547 ยืนยันถึงปรากฏการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นในสหรัฐได้เป็นอย่างดีโดยจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายจะสูงที่สุดในช่วงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่                   อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญคือการได้รับการรักษาไม่ทันเวลา เนื่องจากโรงพยาบาลหลายแห่งอาจจะขาดแคลนบุคลากรในช่วงเทศกาลวันหยุดทำให้ผู้ป่วยบางรายต้องรอรับการรักษานานเกินกว่าที่ควร ที่มา มติชน เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2550