อยากทราบประวัตินักปรัชญาเพลโต,อริสโตเติล,ซิเซโร,นิคโคโล มาเคียเวลลีครับ?
อยากทราบประวัติทั้ง 4 ท่านโดยละเอียด ใครทราบกรุณาตอบด้วยนะครับ(ทำรายงานครับ)
อยากทราบประวัติทั้ง 4 ท่านโดยละเอียด ใครทราบกรุณาตอบด้วยนะครับ(ทำรายงานครับ)
-- EndEditable -- เพลโต Plato เกิด 427 ก่อนคริสต์ศักราช ที่กรุงเอเธนส์ Athens ประเทศกรีซ Greece เสียชีวิต 347 ก่อนคริสต์ศักราช ที่กรุงเอเธนส์ Athens ประเทศกรีซ Greece ผลงาน - ตั้งโรงเรียนชื่อ อะเคดามี Academy แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านมานานกว่า 2 500 ปีแล้ว แต่หลักการปรัชญาของเพลโตก็ยังคงมีอิทธิพลต่อแนวความคิดของการศึกษา ด้านต่าง ๆ ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาจิตวิทยา ธรรมชาติ หรือแม้แต่วิทยาศาสตร์ เพลโตเป็นนักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก อีกทั้งท่านยังเป็นอาจารย์ของนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกอย่าง อาริสโตเติล เพลโตเป็นนักปรัชญาที่วางรากฐานทางการศึกษาวิชาต่าง ๆ ไว้มากมาย เช่น การปกครอง วิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ เป็นต้น เพลโตเกิดเมื่อ 427 ก่อนคริสต์ศักราช ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ในครอบครัวที่มั่งคั่งและเก่าแก่ครอบครัวหนึ่ง บิดาของเพลโตมีชื่อว่า อริสตัน Ariston ส่วนมารดาของเขาชื่อว่า เพริเทียน Peritione บิดาของเขาเป็นเพื่อนสนิทกับโสเครตีส Cosrates 399 - 469 BC ซึ่งเป็นนักปรัชญ์ชาวกรีกที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง และเป็นลูกศิษย์ของปีทาโกรัส Pythagoras ในเวลาต่อมาเพลโตได้ศึกษาวิชาการด้านต่าง ๆ กับโสเครตีส ทำให้เขามีแนวความคิดคล้ายกับนักปราชญ์ทั้งสองมาก เพลโตเกิดขึ้นมาภายใต้ความวุ่นวายทางการเมืองของกรีซ เนื่องจากเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างชาวสปาร์ตา Sparta และชาวนครเอเธนส์ สงครามครั้งนี้ยุติลงด้วยชัยชนะของชาวสปาร์ตา ทำให้ชาวนครเอเธนส์ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ทำให้เพลโตมีแนวความคิดต่อต้านการเมืองอย่างรุนแรง เขาจึงมุ่งมั่นอยู่กับการศึกษาและได้รับการศึกษาขั้นต้นเช่นเดียวกับลูกผู้ดีมีเงินทั้งหลาย คือ เรียน ปรัชญา ดนตรี บทกวี และวาทศิลป์ จากอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของเฮราไคลตุส Heraclitus นักปรัชญาชาวกรีกที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง ต่อมาเพลโตได้ไปศึกษาต่อในวิชาขั้นที่สูงขึ้นไปอีกกับโสเครตีส ในระหว่างนั้นความเป็นไปในนครเอเธนส์ล้วนมีแต่ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อของศีลธรรม การเมือง และอาชญากรรม เพลโต และโสเครตีสจึงได้ร่วมมือกันที่จะขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป แต่เป็นที่น่าเสียดายที่โสเครตีสต้องถูกประหารชีวิตเสียก่อน เนื่องจากรัฐบาลต้องการกำจัดบุคคลผู้ที่มีความคิดต่อต้านรัฐบาล ทำให้อุดมการณ์ทางการเมืองของเพลโตต้องหยุดชะงักไปชั่วเวลาหนึ่งและเดินทางออกจากกรุงเอเธนส์ท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ นานกว่า 10 ปี แต่ในที่สุดเขาได้เดินทางกลับกรุงเอเธนส์ และดำเนินการด้านการเมืองต่อไป หลังจากที่ออกจากกรุงเอเธนส์ไปแล้ว เพลโตได้เดินทางไปที่เมืองเมการา เพื่อไปหายูคลิด Euclid เพลโตได้พักอยู่กับยูคลิดเป็นเวลานาน อีกทั้งยังได้ร่วมมือกันตั้งโรงเรียนขึ้นมาแห่งหนึ่งชื่อว่า สำนักปรัชญาเมการิก โดยได้ร่วมกับนักปรัชญาอีกท่านหนึ่งนามพาร์มีนิดิส Parminides ทำให้เพลโตได้ศึกษาหลักปรัชญาจากพาร์มีนิดิสได้อย่างลึกซึ้ง ต่อจากนั้นเพลโตได้ออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ อีกหลายเมือง เช่น อิตาลี อียิปต์ ไซรานี และซิซิลี เป็นต้น ในระหว่างนี้เขาได้ศึกษาหาความรู้จากสำนักที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น เขาได้เข้าศึกษาที่สำนักปีทาโกเรียน Pythagorean ของปีทาโกรัส ที่อิตาลี ส่วนที่เกาะซิซิลี เพลโตได้เข้าศึกษา ณ สำนักของพระเจ้าไดโนซีอุสที่ 1แห่งไซราคิวส์ King Dionysius I of Syracuse นอกจากจะศึกษาหาความรู้แล้ว เพลโตยังได้เผยแพร่แนวความคิดทางปรัชญาของเขาให้กับคนทั่วไปได้รับรู้ โดยการไปบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง แต่เพลโตกลับถูกต่อต้านและส่งผลร้ายกลับมาสู่ตัวของเขา คือ เขาถูกจับไปขายเป็นทาสแต่โชคดีที่เพื่อนของเขาผู้หนึ่งได้ไปไถ่ถอนตัวเขาออกมา หลังจากที่เพลโตได้เดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ เป็นเวลานานหลายปี อีกทั้งเขาก็ได้ศึกษาหาความรู้จนมีความเชี่ยวชาญในวิชาการต่าง ๆ หลายสาขา ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับกรุงเอเธนส์ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเพลโตเดินทางมาถึงกรุงเอเธนส์ ประมาณ 387 ก่อนคริสต์ศักราช เขาได้ตั้งโรงเรียนขึ้นแห่งหนึ่งที่กรุงเอเธนส์ชื่อว่า อะเคดามี Academy ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับวิชาปรัชญา วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อีกทั้งเขายังได้สร้างสวนเพื่อออกกำลังกายสำหรับนักศึกษาในอะเคดามี เพราะหลักการในการเรียนการสอนของเพลโตมีอยู่ว่า ความรู้ทางการบริหาร วรรณคดีและดนตรี เป็นการศึกษาเบื้องต้น ซึ่งเป็นรากฐานของการศึกษาวิชาปรัชญาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาในขั้นสูงต่อไป ส่วนการเรียนการสอนในสถาบันแห่งนี้ก็ทันสมัยต่างจากการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมของกรีซ ที่ลูกศิษย์มีหน้าที่นั่งฟังแต่เพียงอย่างเดียว เชื่อในสิ่งที่ครูบอกทั้งหมด ห้ามโต้แย้งอย่างเด็ดขาด แต่เพลโตได้ใช้วิธีการตั้งคำถามเพื่อให้ลูกศิษย์มีโอกาสได้พูด ใช้เหตุผลในการตอบคำถาม และค้นคว้าหาความจริงด้วยตนเอง การสอนแบบนี้ของเพลโตได้นำมาจากโสเครตีส อาจารย์ของเขานั่นเอง โรงเรียนของเพลโตแห่งนี้มีผู้นิยมส่งบุตรหลานเข้ามาศึกษาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้สถาบันอะเคดามีของเพลโตยังได้รับการยกย่องให้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกอีกด้วย การทำงานของเพลโตในสถาบันอะเคดามี เป็นไปได้ด้วยดี และในระหว่างนี้เขายังได้ศึกษาหาความรู้หลายด้านทั้งปรัชญาจิตวิทยา ธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้เขายังได้รวบรวมแนวความคิดของนักปรัชญาทั้งหลายเพื่อใช้สอนในสถาบัน และก็ได้ตั้งหลักปรัชญาขึ้นมาใหม่อีกหลายอย่าง โดยงานของเพลโตสามารถแบ่งออกมาได้ถึง 3 ระยะ คือ ระยะแรก ประมาณบั้นปลายชีวิตของโสเครตีส งานเขียนในระยะนี้จะมีแนวความคิดคล้ายคลึงกับโสเครตีสมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรม และความดี เช่น เลกีส Leges เป็นเรื่องราวของการค้นคว้าหาความกล้า ไลสีส Lysis เป็นเรื่องราวของการค้นหามิตรภาพ และคาร์มีดีส Charmedes นอกจากนี้เพลโตยังได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติของโสเครตีสและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในกรุงเอเธนส์ ระยะที่สอง คือช่วงที่เขาออกเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างจะมีหลากหลายลักษณะ เนื่องจากเขาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนักปรัชญาหลายท่าน และในช่วงนี้เองที่เขาได้ตั้ง ทฤษฎีที่ว่าด้วย แบบ Theory of Forms ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มาจากแนวความคิดของโสเครตีสที่ว่า ความรู้ทั้งปวงมาจากแบบ ละทฤษฎีที่ว่าด้วยแบบนี้เป็นหัวใจหลักของปรัชญาทั้งหมดของเพลโต แต่ทฤษฎีของเพลโตแตกต่างจากโสเครตีส เนื่องจากเพลโตนำมาขยายเนื้อหาทางอภิปรัชญาที่กว้างขวางขึ้น โดยแบบของเพลโตมีความเป็นอิสระและอยู่เหนือจิต เขาได้นำหลักปรัชญานี้มาจากการพิจารณาความเป็นไปของธณรมชาติอีกส่วนหนึ่ง และ ทฤษฎีนี้ยังได้กำหนดแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ด้วย โดยเพลโตกล่าวว่า การรับรู้จากสัมผัสทั้งหลาย ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จะแตกต่างกันไปตามความคิดหรือสถานการณ์นั้น เช่น การที่มองเห็นสัตว์ตัวหนึ่ง จะไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีขนาดใหญ่หรือเล็ก มันอาจจะมีขนาดใหญ่ถ้าไปเปรียบเทียบกับสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่า หรืออาจจะมีขนาดเล็กถ้าไปเปรียบเทียบกับสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า เป็นต้น และจากทฤษฎีข้างต้นเพลโตสรุปว่า โดยตัวของมันเองไม่มีสรรพสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ที่มีลักษณะแน่นอนตายตัว ผลงานในช่วงสุดท้าย ของเพลโตเป็นสิ่งที่ชัดเจนมากที่สุด เนื่องจากประสบการณ์และความรู้ที่มากมายของเพลโต ภายหลังจากที่ตั้งสำนักอะเคดามีแล้ว ทำให้เขามีผลงานจำนวนมากที่สุด ได้แก่ ปรัชญา จริยศาสตร์ การเมือง การศึกษา และวิทยาศาสตร์ซึ่งสิ่งเหล่านี้เขาได้นำมาถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ที่สถาบันอะเคดามี และงานชิ้นสำคัญที่สุดในช่วงนี้ก็คืองานเขียนที่ชื่อว่า รีพับลิค Republic ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองในความคิดของเพลโต แนวความคิดภายในหนังสือเล่มนี้ เกิดขึ้นจากสภาพการเมืองในกรุงเอเธนส์ที่วุ่นวายอย่างมากในขณะนั้น หนังสือเล่มนี้ถือได้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเล่มหนึ่ง ทั้งในขณะนั้นและต่อมาจนถึงปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้ได้เป็นหนังสือเรียนในวิชารัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เป็นต้น กฎที่สำคัญทางวิทยาศาสตร์อีกชิ้นหนึ่งของเพลโต คือ กฎที่เกี่ยวกับแสงที่ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรง เมื่อแสงมากระทบวัตถุมุมแสงตกกระทบจะเท่ากับมุมแสงสะท้อน เป็นกฎที่ถูกต้องและยึดถือกันมาจนถึงปัจจุบัน เพลโตเสียชีวิตเมื่อ 347 ก่อนคริสต์ศักราช แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่แนวความคิดและผลงานทางวิทยาศาสตร์ของเขาก็มีอิทธิพลต่อนักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน อาริสโตเติล Aristotle เกิด 384 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองสตากิรา แคว้นมาซีโดเนีย Macedonia ประเทศกรีซ Greece เสียชีวิต 322 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองคาลซิล Chalcis ผลงาน - ทฤษฎีเกี่ยวกับสัตว์ โดยเขาแบ่งสัตว์ออกเป็น 2 ชนิด คือ สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง - ทฤษฎีสลับกันของพื้นดินและแผ่นน้ำ อาริสโตเติลเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ เขาเป็นศิษย์เอกของเพลโต Plato นักปราชญ์คนสำคัญ คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเป็นอาจารย์ของกษัตริย์องค์สำคัญพระองค์หนึ่งของกรีก คือ อาเล็กซานเดอร์มหาราช Alexander the Great อาริสโตเติลเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ตั้งทฤษฎีที่สำคัญต่าง ๆ ไว้มากมาย ถึงแม้ว่าทฤษฎีบางบทของเขาเมื่อนำมาทดสอบเพื่อหาข้อสรุปที่ถูกต้อง ปรากฏว่ามีข้อผิดพลาด แต่นั้นก็เป็นเพียงทฤษฎีส่วนหนึ่งของอาริสโตเติล ยังมีทฤษฎีอีกมากมายที่ถูกต้อง และยึดถือกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะทฤษฎีเกี่ยวกับสัตว์ ซึ่งเขาแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังกับสัตว์ ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง อาริสโตเติลเป็นนักปราชญ์ชาวกรีก เกิดที่เมืองสตากิรา Stagira แคว้นมาซีโดเนีย Macedonia ประเทศกรีซ เมื่อประมาณ 384 ก่อนคริสต์ศักราช ในตระกูลขุนนางที่มั่งคั่ง บิดาของเขาชื่อว่า นิโคมาคัส Nicomacus เป็นแพทย์ประจำราชสำนักของพระเจ้าอามินตัสที่ 2 King Amyntas II อาริสโตเติลได้รับการถ่ายทอดความรู้ส่วนใหญ่มาจากพ่อของเขาซึ่งเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา ต่อมาเมื่ออาริสโตเติลอายุได้ 18 ปี ได้เข้าเรียนในสำนักอะเคดามี Academy ที่กรุงเอเธนส์ Athens ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยเพลโต นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง อาริสโตเติลเป็นคนเฉลียวฉลาด รักการอ่านและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านหนังสือ ทำให้เขามีความรู้ดีมาก และด้วยเหตุนี้เพลโตจึงโปรดปรานเขาเป็นพิเศษกว่าศิษย์คนอื่น อาริสโตเติลศึกษาอยู่ ในสำนักอะเคดามี จนจบการศึกษา แต่หลังจากจบการศึกษาแล้วเขาก็ยังทำงานอยู่กับเพลโต จนกระทั่งเพลโตเสียชีวิต ในปี 347 ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากนั้นอาริสโตเติลได้เดินทางกลับบ้านเกิดที่แคว้นมาซีโดเนีย ความรู้ความสามารถของอาริสโตเติลโด่งดังไปตามเมืองต่าง ๆ ดังนั้นเขาจึงได้รับการติดต่อจากราชสำนักของพระเจ้าฟิลิปแห่งมาซีโดเนีย King Philip of Macedonia ให้ไปเป็นอาจารย์ของอาเล็กซานเดอร์ Alexander พระราชโอรสของพระเจ้าฟิลิป ซึ่งในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 13 พรรษา เท่านั้น เพราะเชื่อถือในความสามารถที่มีอยู่มากมายหลายสาขา เช่น วิทยาศาสตร์ อักษรศาสตร์ ชีววิทยา ตรรกศาสตร์ และจริยธรรม เป็นต้น เมื่อพระเจ้าฟิลิปสิ้นพระชนม์ อาริสโตเติลได้ลาออกจากราชสำนัก แม้ว่าเขาจะลาออก แต่ก็ยังทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ พระเจ้าอาเล็กซานเดอร์อยู่ อาริสโตเติลได้เดินทางไปกรุงเอเธนส์ เพื่อเปิดโรงเรียนโดยได้รับการสนับสนุนเรื่องเงินทุนในการสร้างโรงเรียน และทุนในการทดลองค้นคว้าจากพระเจ้าอาเล็กซานเดอร์ โรงเรียนของอาริสโตเติลมีชื่อว่า Peripatetic School ในสำนักไลเซียม Lyceum ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงเอเธนส์ในสมัยนั้น อาริสโตเติลตั้งชื่อโรงเรียนเช่นนั้นก็เพราะคำว่า Peri แปลว่า เดิน อันหมายถึงวิธีการสอนในโรงเรียนแห่งนี้ คือ อาริสโตเติลจะเดินไปเดินมาในสวน เพื่อให้ลูกศิษย์ได้ซักถาม และวิชาที่เน้นมากที่สุด ก็คือวิชาปรัชญาธรรมชาติ เนื่องจากอาริสโตเติลเป็นนักปราชญ์ที่มีความรู้หลายด้าน เช่น ปรัชญา ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ สัตววิทยา ชีววิทยา การเมืองเศรษฐศาสตร์ และตรรกศาสตร์ เป็นต้น เขาได้รวบรวมความรู้และประสบการณ์การเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในยุโรป และเอเซีย เขียนเป็นหนังสือมากมายกว่า 1 000 เล่ม หนังสือของเขาได้แยกความรู้ออกเป็นหมวดหมู่เพื่อสะดวกในการค้นคว้า และ อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งหนังสือของอาริสโตเติลมีลักษณะคล้ายกับสารานุกรม จึงถือได้ว่าเป็นสารานุกรมเล่มแรกของโลกก็ว่าได้ ทฤษฎีที่อาริสโตเติลตั้งขึ้นนั้น เขาได้รวบรวมความรู้ต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ มาตั้งเป็นทฤษฎี จากนั้นก็หาเหตุผลมาประกอบทฤษฎีที่เขาตั้งตามหลักตรรกวิทยา โดยไม่ได้ทดสอบจากความเป็นจริง ทำให้ทฤษฎีของเขามีข้อผิดพลาดอยู่มาก แต่ทฤษฎีของเขาก็มีผู้เชื่อถืออยู่มากเช่นกัน และมีอิทธิพลต่อแนวความคิดได้ยาวนานกว่า 1 500 ปี ด้วยทฤษฎีของเขาได้พ้องกับหลักศาสนาคริสต์ ทำให้ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ต่างก็เชื่อถือในทฤษฎีของเขาไปด้วย เมื่อนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังอย่างนิโคลัส โคเปอร์นิคัส และกาลิเลโอ ได้นำทฤษฎีของอาริสโตเติลมาพิสูจน์และพบข้อผิดพลาด ก็ต้องเผชิญหน้าและต่อสู้กับกลุ่ม คนที่ยึดถือทฤษฎีของอาริสโตเติล ทฤษฎีของอาริสโตเติลที่พิสูจน์แล้วว่าผิดมีหลายทฤษฎีด้วยกัน เช่น วัตถุที่มีน้ำหนักมากกว่าย่อมตกลงถึงพื้นก่อนวัตถุที่มีน้ำหนักเบากว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และสารต่าง ๆ ในโลกประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และมีสมบัติเบื้องต้นอยู่เพียง 4 ประการ เท่านั้น คือ ร้อน เย็น ชื้น และแห้ง โดยกำหนดว่า ไฟ คือ ร้อนกับแห้ง ดิน คือ แห้งกับเย็น น้ำ คือ ความเย็นกับชื้น ลม คือ ความร้อนกับความชื้น นอกจากนี้เขาได้อธิบายถึงต้นกำเนิดของแมลงว่า มีต้นกำเนิดมาจากน้ำค้าง ส่วนตัวหมัด ตัวไร ก็มีต้นกำหนดมาจากสารที่เน่าเปื่อย เป็นต้น ทฤษฎีที่ผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งของเขาก็คือ ทฤษฎีของหนัก ที่ตกถึงพื้นก่อนของเบา ที่เมื่อกาลิเลโอ Galileo นักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวอิตาลี นำไปพิสูจน์และพบว่าวัตถุจะตกถึงพื้นพร้อมกันเสมอไม่ว่าจะมีน้ำหนักหรือรูปร่างต่างกัน ถ้าตกลงมาจากที่สูงเท่ากัน และในเวลาเดียวกัน การที่อาริสโตเติลเข้าใจว่าวัตถุที่มีน้ำหนักมากกว่าตกถึงพื้นก่อนวัตถุที่มีน้ำหนักเบากว่า เนื่องจากเขาเห็นว่าก้อนหินตกถึงพื้นก่อนขนนก แต่การที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะอากาศช่วยพยุงไม่ให้ขนนกตกลงถึงพื้นได้เร็วนั่นเอง แม้ว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์บางท่านกล่าวหาว่าอาริสโตเติลเป็นผู้ที่ทำให้วิทยาศาสตร์ต้องชะงักไป อีกทั้งยังกล่าวว่าหนังสือที่อาริสโตเติลเขียนขึ้นมาทำให้ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ต้องถอยหลังไปอีกด้วย แต่ไม่ใช่ว่าทฤษฎีของอาริสโตเติลจะผิดพลาดไปทั้งหมด โดยเฉพาะวิชาการด้านชีววิทยา เขาได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งสัตววิทยา เนื่องจากเขาเป็นบุคคลแรกในการแบ่งประเภทของสัตว์ นับว่า เป็นทฤษฎีที่มีค่าที่สุดก็ว่าได้ ในระหว่างที่เขาทำงานในราชสำนักของพระเจ้าฟิลิป อาริสโตเติลได้ใช้เวลาศึกษาอยู่นานถึง 2 ปี บนเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก่อนที่จะกลับไปรับตำแหน่งอาจารย์ของอาเล็กซานเดอร์ อาริสโตเติลได้เฝ้าสังเกต ศึกษา และบันทึกการดำรงชีวิตของสัตว์ตั้งแต่อยู่ในไข่ เมื่อออกจากไข่ ระยะเวลาในการเจริญเติบโต และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ นอกจากนี้เขายังผ่าตัดเพื่อศึกษาลักษณะภายในของสัตว์เหล่านี้ด้วย หลังจากที่เขาศึกษามาเป็นระยะเวลาพอสมควร อาริสโตเติลได้แบ่งสัตว์ออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง Vertebrates ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ เลือดสีแดง เช่น คน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์เลื้อยคลาน และ สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง Invertebrates มีลักษณะเด่น คือ มีเลือดอื่นที่ไม่ใช่สีแดง เช่น กุ้ง ปู ปลาดาว แมลง และหอย เป็นต้น ซึ่งนับว่าการศึกษาของอาริสโตเติลในเรื่องนี้ถือว่าเป็นการบุกเบิกวิชาชีววิทยาเลยทีเดียว และทฤษฎีที่สำคัญอีกทฤษฎีหนึ่งก็คือ การสลับกันของพื้นดินและแผ่นน้ำ อาริสโตเติลได้อธิบายว่า พื้นน้ำบางแห่งเกิดจากการสะสมของดินตะกอนทำให้เกิดเป็นพื้นดิน และพื้นดินบางแห่งถูกน้ำกัดเซาะจนกลางเป็นพื้นน้ำอาริสโตเติลถือว่าเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง และมีความรู้ความสามารถที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้ ถ้าหากเขาเป็นคนที่ศึกษาในเรื่องต่าง ๆ ให้จริงจังกว่านี้ วงการวิทยาศาสตร์คงต้องค้นพบความลับทางธรรมชาติจากบุคคลผู้นี้เป็นแน่ อาริสโตเติลใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษา บันทึกและรวบรวมความรู้ต่าง ๆ เพื่อให้คนทั่วไปได้ศึกษา ในปี 323 ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ทรงถูกปลงพระชนม์ที่บาบิโลเนีย อาริสโตเติลเกรงว่าอาจจะถูกทำร้ายจากกลุ่มคนที่ไม่ชอบพระเจ้าอาเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งรวมถึงไม่ชอบอาริสโตเติลด้วย เขาจึงเดินทางออกจากกรุงเอเธนส์ไปอยู่ที่เมืองคาลซิส Chalcis และอยู่ที่เมืองนี้จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 322 ก่อนคริสต์ศักราช ข้อมูลจาก เว็บไซต์สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซิเซโร CICERO กล่าวได้ว่า ซิเซโรเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่สุดของกรุงโรมซึ่งพยายามรักษาสาธารณรัฐไว้ แต่ไม่สำเร็จ จนต้องเสียชีวิตไปพร้อมกับการล่มสลายของประชาธิปไตย นอกจากนี้แล้ว เขายังเป็นนักกฎหมายคนสำคัญของยุคสมัย และเป็นคนมีวาทศิลป์ที่หาตัวจับได้ยาก ใครที่เรียนภาษาละตินก็ต้องอ่านงานเขียนของเขา เขาเกิด เมื่อ ๑๐๖ ปีก่อนค ศ และถูกฆ่าตายในปีที่ ๔๓ ก่อนค ศ เขาเป็นเพื่อนรักกับอัตติกัส ซึ่งเกิดก่อนเขา ๓ ปี แต่หมอนี่เห็นพิษภัยของการเมือง จึงหนีไปอยู่ที่กรุงเอเทนส์ ทั้งยังเปลี่ยนชื่อเสียงเสียด้วย จึงร่ำรวยและมีชีวิตราบรื่นมาโดยตลอด ทั้งยังรู้จักปรับตัวให้เข้าได้กับสภาพการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปเรื่อย โดยมีชีวิตยืนยาวกว่าซิเซโร คือตายอย่างธรรมดาสามัญหลังสหายรัก ๘ ปี โดยที่ซิเซโรเขียนจดหมายถึงอัตติกัสอย่างสม่ำเสมอ เล่าความในใจและเหตุการณ์ทางการเมือง แม้จนเรื่องไปนอนค้างกับใครและทุกอย่าง ต่อมาอัตติกัสเอาจดหมายเหล่านี้มาตีพิมพ์ ช่วยให้เรารู้จักซิเซโรได้มากขึ้น นอกเหนือไปจากงานเขียนของเขาเองที่มีมากเล่มและหลายเรื่องหลากรส รวมทั้งวาทศิลป์และปรัชญาต่างๆ แม้จะขาดความลุ่มลึกอย่างของกรีก แต่ก็ให้ความรู้ได้มิใช่น้อย อ่านประวัติของ ซิเซโร ได้ที่ นิกโกโล มาคิอาเวลลี Niccolo Machiavelli นักปรัชญาการเมืองชาวอิตาลี เกิดที่กรุงฟลอเรนซ์ เริ่มรับราชการเป็นเลขาธิการฝ่ายการทูตในปี 2037 การงานก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ จนได้เป็นหนึ่งในคณะทูตไปเจรจากับพระเจ้าหลุยส์ ที่ 12 Louis XII แห่งฝรั่งเศส และนักการเมืองคนสำคัญ ๆ อยู่เสมอ ระหว่างทำงานที่นี่เขาได้สังเกตธรรมชาติทางการเมืองของมนุษย์มาตลอด เขาเขียนจดหมายและหนังสือหลายเล่ม ผลงานที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าผู้ปกครอง The Prince ซึ่งสนับสนุนแนวคิดที่ว่า quot อำนาจการเมืองย่อมไม่สนใจศีลธรรม quot ประชาชนจึงต้องระมัดระวังในการที่จะมอบสวัสดิภาพของตนให้อยู่ในมือของคนคนเดียว เพราะผู้เป็นทรราชนั้นหากไม่เห่อเหิมจนเกินเลย ก็ย่อมจะเกรงกลัวภัยที่จะคุกคามตนเอง จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อตนเองมากกว่าปฏิบัติเพื่อประชาชน เขาเป็นคนแรกที่วางพั้นฐานของความคิดทางการเมืองด้วยการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ ต่อมาเขาได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งรัฐศาสตร์สมัยใหม่ ข้อมูลเพิ่มเติม
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!