น้ำหอม?
สนใจเรื่องน้ำหอมมาก ldquo ซองคำถาม rdquo มีข้อมูลไหมว่าน้ำหอมที่คนยุคเก่าก่อนใช้นั้น nbsp สกัดมาจากอะไรบ้าง แสนดี nbsp แสงฉาย กรุงเทพฯ
สนใจเรื่องน้ำหอมมาก ldquo ซองคำถาม rdquo มีข้อมูลไหมว่าน้ำหอมที่คนยุคเก่าก่อนใช้นั้น nbsp สกัดมาจากอะไรบ้าง แสนดี nbsp แสงฉาย กรุงเทพฯ
มนุษย์ในสมัยที่ยังไม่รู้จักเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ แต่เที่ยวเสาะแสวงหาอาหารกิน เชื่อว่าของถวายอย่างดีที่สุดที่เขาสามารถถวายแต่เทพเจ้าได้ ก็คือสัตว์ที่ฆ่ามาได้ น้ำหอมจึงมีต้นกำเนิดเป็นเครื่องระงับกลิ่น ซึ่งโรยลงบนซากสัตว์เพื่อกลบกลิ่นคาวเนื้อที่ไหม้ไฟในพิธีเช่นสังเวย คำว่า น้ำหอม ตามรากศัพท์ภาษาละติน แปลว่า “ ผ่านมาตามควัน ” ซึ่งอธิบายได้อย่างชัดเจนถึงลักษณะที่กลิ่นหอมมาเข้าจมูกผู้สังเวย โดยผ่านมาตามควันอันเกิดจากการเผาสัตว์สังเวย เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นหอมฉุนในรูปของควันได้กลายสภาพเป็นของบูชาไปเสียเอง การเผายางไม้หอม เช่น กำยาน อบเชย เป็นเครื่องแสดงความเคารพสูงสุดของมนุษย์ต่อเทพเจ้าการเปลี่ยนจากเครื่องหอมกลิ่นแรงเพื่อกลบกลิ่นคาวมาเป็นน้ำหอมกลิ่นอ่อน ๆ จากผลไม้และดอกไม้ เกิดขึ้นเมื่อ ๖ ๐๐๐ ปี ก่อนในดินแดนตะวันออกไกลและตะวันออกกลาง ราว ๓ ๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ชาวซูเมอเรียนแถบเมโสโปเตเมียและชาวอียิปต์แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ นิยมชโลมร่างกายด้วยน้ำมันและแอลกอฮอล์จากดอกมะลิ ไอริส ไฮยาซินธ์ และดอกสายน้ำผึ้ง ผู้หญิงอียิปต์ทาน้ำหอมต่างชนิดกันในแต่ละส่วนของร่างกาย พระนางคลีโอพัตราทรงใช้น้ำมันกุหลาบและไวโอเล็ตทาพระหัตถ์ ส่วนพระบาททรงใช้น้ำมันเมล็ดอามันต์ น้ำผึ้งอบเชย ดอกส้ม และเฮนนา ผู้ชายกรีกแม้ไม่นิยมใช้เครื่องสำอางแต่งแต้มใบหน้า แต่ก็ชอบใช้น้ำหอมกันอย่างฟุ่มเฟือยน้ำหอมกลิ่นหนึ่งสำหรับผม กลิ่นหนึ่งสำหรับผิว กลิ่นหนึ่งสำหรับเสื้อผ้า ใส่กลิ่นให้แก่เหล้าองุ่น บ้านเรือน รวมทั้งโรงละครด้วย จากกรีซ น้ำหอมเดินทางสู่กรุงโรม ถือกันว่าทหารโรมันคนใดที่ยังไม่ได้ชโลมน้ำหอมอย่างเหมาะสมแล้ว ยังไม่พร้อมจะออกรบ เมื่อจักรวรรดิโรมันมีชัยชนะเหนือดินแดนใด ก็มักจะรับเอาน้ำหอมกลิ่นใหม่ ๆ จากดินแดนนั้นมาด้วย ชาวโรมันหันมานิยมใช้น้ำหอมจากต้นซีดาร์ สน ขิง และไมยราบ ตามอย่างคนในตะวันออกไกลและตะวันออกกลาง จากขุมปัญญาของกรีก ชาวโรมันเรียนรู้วิธีการปรุงน้ำมันหอมจากผลส้มและ มะนาว น้ำหอมของโรมันแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภทหลัก ๆประเภทแรกอยู่ในรูปขี้ผึ้งแข็ง เป็นน้ำหอมที่ได้จากแหล่งที่มาเดียว เช่น อามันด์บริสุทธิ์ กุหลาบ ประเภทที่สองอยู่ในรูปของเหลวเป็นส่วนผสมจากการคั้นดอกไม้ เครื่องเทศ หรือ ยางไม้ในน้ำมัน ส่วนประเภทสุดท้ายเป็นผงละเอียดได้จากการบดกลีบดอกไม้แห้งและเครื่องเทศ เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มมีอิทธิพลขึ้นในสังคม พระได้ประกาศห้ามชาวคริสต์ใช้น้ำหอมปรุงแต่งร่างกาย น้ำหอมจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมทางจิตใจ และความลุ่มหลงในโลกียวิสัย ภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน น้ำหอมผลิตขึ้นในตะวันออกกลางและตะวันออกไกลเท่านั้น น้ำหอม กลิ่นหนึ่งจากโลกตะวันออกซึ่งมีราคาแพงที่สุด คือ หัวน้ำมันกุหลาบจากกลีบดอกกุหลาบสีแดงเข้ม ซึ่งผู้ปรุงน้ำหอมต้องใช้กลีบกุหลาบถึง ๒๐๐ ปอนด์ กว่าจะได้หัวน้ำมันกุหลาบเพียงออนซ์เดียวเท่านั้น ผู้ที่ไปทำสงครามครูเสด สงครามศาสนาในศตวรรษที่ ๑๑-๑๓ ระหว่างชาวคริสเตียนกับชาวมุสลิม แล้วเดินทางกลับมาพร้อมกับน้ำหอมกลิ่นใหม่จากแดนไกล เป็นผู้ปลุกความสนใจคลั่งไคล้ในน้ำหอม และการทำน้ำหอมขึ้นอีกครั้งหนึ่งในยุโรป และเมื่อถึงจุดนี้ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของน้ำหอม วัตถุดิบใหม่ได้เข้าสู่อาณาจักรน้ำหอม นั่นคือ น้ำมันจากสัตว์ ๔ ชนิด ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของน้ำหอมในยุคปัจจุบัน ได้แก่ กวางมัสค์ ปลาวาฬหัวทุย ชะมด และตัวบีเวอร์ “ ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี ”
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!