คือหนึ่งในหลายคำถามที่ผู้เขียนได้รับมา จากผู้สนใจใฝ่รู้ความคิดคำตอบล่าสุด เกี่ยวกับจักรวาลและตัวตนความเป็นมนุษย์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และผู้เขียนขอนำมาตอบในวันนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านผู้อ่าน
จักรวาลกับมนุษย์ เป็น 2 ด้านที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ระหว่างสิ่งใหญ่ไกลสุดที่มนุษย์จะจินตนาการได้ คือ จักรวาล กับสิ่งเล็กสุดที่มนุษย์จะสัมผัสได้ คือ จิตวิญญาณ
ทั้ง 2 ด้าน คือ จักรวาล และมนุษย์ ต่างก็มีประเด็นปัญหาชวนพิศวง ท้าทายความรู้ความคิดมากมาย แต่ถ้าจะให้เลือกนำมากล่าวเพียงด้านละหนึ่งประเด็น หนึ่งเรื่อง โดยเน้นประเด็นเรื่องที่ท้าทายการแสวงหาคำตอบอย่างที่สุดในปัจจุบัน ผู้เขียนก็ขอเลือกเรื่องของ พลังงานมืด (Dark energy) สำหรับกรณีของจักรวาล และเรื่องของ จิตวิญญาณ สำหรับกรณีของความเป็นมนุษย์
พลังงานมืด และจิตวิญญาณ มีความเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ ทั้งสองเรื่องเป็นประเด็นที่ยังไม่มีคำตอบอย่างที่ปฏิเสธกันไม่ได้ และมีความต่างกันอย่างหนึ่ง คือ พลังงานมืดเป็นเรื่องใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ส่วนจิตวิญญาณ เป็นเรื่องเก่าแก่ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์ และศรัทธาความเชื่อ
แล้วสถานภาพความรู้ความคิดเกี่ยวกับพลังงานมืดกับจิตวิญญาณ ถึงล่าสุดในปัจจุบัน เป็นอย่างไร?
พลังงานมืด เป็นเรื่องใหม่ในวงการวิทยาศาสตร์ ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 20 ก่อนขึ้นศตวรรษที่ 21 เพียงไม่กี่ปี โดยเริ่มต้นจากการค้นพบสิ่งใหม่ที่คาดไม่ถึงทางด้านดาราศาสตร์ ของคณะนักวิทยาศาสตร์ 2 คณะ ที่มุ่งหาคำตอบอย่างเดียวกัน และก็ได้พบคำตอบที่ตรงกัน
เมื่อ ค.ศ. 1998 นักวิทยาศาสตร์ 2 คณะ โดยคณะหนึ่ง นำโดย ซอล เพิร์ลมัตเตอร์ แห่ง Lawrence Berkeley National Laboratory สหรัฐอเมริกา อีกคณะหนึ่งนำโดย ไบรอัล ชมิตต์ แห่ง Australian National University กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย นักวิทยาศาสตร์ 2 คณะนี้ ได้รายงานผลการศึกษา อัตราการขยายตัวของจักรวาล โดยอาศัย แสงจากซูเปอร์โนวา ซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกมาก ด้วยความคาดหวังว่า จะได้ข้อมูลการขยายตัวของจักรวาลที่ละเอียดกว่าที่เคยได้มาก่อน
ทว่า นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 คณะกลับได้ผลที่คาดไม่ถึงตรงกัน คือ จักรวาล แทนที่จะขยายตัวช้าลงอย่างที่เคยเข้าใจกันมา กลับกลายเป็นว่า จักรวาลกำลังขยายตัวเร็วขึ้น
การค้นพบว่าจักรวาลกำลังขยายตัวเร็วขึ้น ท้าทายทฤษฎีความคิดของวงการวิทยาศาสตร์ดีที่สุดถึงปีการค้นพบ เพราะไม่มีทฤษฎีใดจะอธิบายได้ และจากการค้นพบใหม่นี้จึงเป็นที่มาของความคิดเรื่อง พลังงานมืด หรือ Dark energy ว่า อาจเป็นต้นเหตุของสภาพการขยายตัวของจักรวาล ดังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
มาถึงวันนี้พลังงานมืดก็กลายเป็นประเด็นเรื่องใหญ่ ท้าทายวงการดาราศาสตร์โลก มีการเสนอความคิดที่มาหรือธรรมชาติของพลังงานมืดว่า อาจเป็น “แรงที่ 5” นอกเหนือไปจากแรงธรรมชาติ 4 แรง ที่รู้จักกันมาก่อน คือ แรงดึงดูดโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม และแรงนิวเคลียร์แบบอ่อน หรืออาจเป็นสิ่งที่ไอน์สไตน์เคยเสนอ แต่มาเปลี่ยนใจในภาพหลังเรียกว่า Cosmological constant แต่แนวคิดใหม่ล่าสุด กล่าวถึง พลังงานมืดว่า อาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า “Vacuum energy” หรือ “พลังงานสุญญากาศ”
มีความคาดหวังว่า การทำงานของเครื่องเร่งอนุภาคทรงพลังที่สุดในโลก คือ เครื่อง Large Hadron Collider หรือ LHC ที่ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ CERN ซึ่งเริ่มต้นทำงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ก.ย.. 2008 อาจจะให้คำตอบเกี่ยวกับพลังงานมืดได้
สำหรับ จิตวิญญาณ นับเป็นเรื่องที่อยู่กับมนุษย์มานาน นับตั้งแต่เมื่อมนุษย์เริ่มมีความคิดตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นตัวตนของมนุษย์ แต่ก็มีพัฒนาการความคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ที่ค่อนข้างหลากหลายในเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งแต่แรกเริ่มก็ไม่มีนักวิทยาศาสตร์สงสัยในเรื่องของ จิตวิญญาณ กับวิญญาณ ว่าแตกต่างกันหรือไม่ เพราะเข้าใจชัดเจนตรงกันในอดีตว่า มนุษย์จะมีความเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ ก็ต้องมีร่างกายและวิญญาณ หรือร่างกายและจิตวิญญาณ
ทว่า ต่อๆ มา เมื่อวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์พัฒนาขึ้น ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ และหน้าที่ของวิญญาณกับจิตวิญญาณ จนกระทั่งมาล่าสุด ถึงปัจจุบันพอจะสรุปได้ว่า เรื่องของวิญญาณในความหมายเป็นส่วนสำคัญของการมีชีวิตอยู่หรือไม่ของมนุษย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะการมีชีวิตอยู่หรือไม่ของมนุษย์ก็ชัดเจนว่า ขึ้นอยู่กับการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจ และสมองเป็นสำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม สำหรับความหมายของจิตวิญญาณ ซึ่งในปัจจุบันมีความหมายที่หลากหลาย เช่น จิตวิญญาณของความเป็นนักกีฬา จิตวิญญาณของชนชาวญี่ปุ่น (ที่รักชาติเหนือชีวิต) แต่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตัวตนของมนุษย์ ก็มีแนวคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์อยู่ 2 แนวทาง ดังนี้
แนวทางหนึ่ง มองว่า จิตวิญญาณเป็นบางสิ่งบางอย่าง ที่มนุษย์จะต้องมี จึงจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ กล่าวคือ การที่คนคนหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ได้ นอกเหนือจากการมีร่างกายที่สมบูรณ์คือ มีหัวใจ มีสมอง ทำงานอย่างเป็นปกติแล้ว ก็ต้องมีจิตวิญญาณอยู่ในร่างกายด้วย ส่วนที่ว่า จิตวิญญาณ จะเป็นอะไร จะอยู่อย่างไรในร่างกาย ก็ยังเป็นประเด็นต้องศึกษากันต่อ
อีกแนวทางหนึ่ง เป็นแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์บางคน เช่น Roger Penrose ผู้เคยเป็นอาจารย์ของ Stephen Hawking แต่ต่อมากลายเป็นผู้ร่วมงานการค้นคิดทฤษฎีฟิสิกส์แนวใหม่ กับ Stephen Hawking และในปัจจุบันหันมาสนใจเรื่องของการนำฟิสิกส์ควอนตัม มาใช้กับความเป็นตัวตนของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่ง Roger Penrose ได้เสนอแนวคิดเรื่อง Quantu Consciousness หรือจิตสำนึกเชิงควอนตัม ซึ่งมักจะกล่าวถึงกันเป็นภาษาง่ายขึ้นว่า จิตสำนึก หรือจิตวิญญาณเชิงควอนตัม..
Roger Penrose เสนอว่า จิตวิญญาณเชิงควอนตัมนี้เอง ที่อาจช่วยอธิบายเรื่อง ชาติภพ ได้ เพราะอาจจะมีผลเป็นความทรงจำอยู่ในหน่วยพื้นฐานชีวิต คือ เซลล์หรือดีเอ็นเอ. และเมื่อคนคนหนึ่งตายไป ก็ยังมีจิตวิญญาณเชิงควอนตัมที่จะยังคงอยู่ และถ่ายทอดเป็นภพๆ ต่อกันไปได้
ทว่า ปัญหาใหญ่เรื่องจิตวิญญาณเชิงควอนตัมของ Roger Penrose คือ ตรวจสอบยากมาก เพราะจะเป็นจิตวิญญาณที่มีขนาดเล็กในระดับควอนตัมเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงบางประเด็น และแง่มุมเรื่องของพลังงานมืดกับจิตวิญญาณ ความเป็นมนุษย์ ที่นำมาชวนให้ท่านผู้อ่านได้ขบคิดกันต่อ!