ทุก ๆ สี่ปี ในวันอังคารแรกถัดจากวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน สหรัฐอเมริกาจะเลือกประธานาธิบดี หลังผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนยาวนานกว่าหนึ่งปี การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่เพียงเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจ และตื่นเต้นเป็นพิเศษเท่านั้น นานาชาติต่างก็สนใจติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย
ระบบการ เลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ให้ความสำคัญต่อคะแนนเสียงจาก "คณะผู้เลือกตั้ง" (electoral votes) ไม่ใช่จากคะแนนเสียงที่เลือกโดยตรงจากประชาชน (popular votes) electoral votes มีความสัมพันธ์กับ popular votes ดังนี้
๑. ในแต่ละมลรัฐ แต่ละพรรคชั้นนำทั้งสองพรรคจะเตรียม "คณะผู้เลือกตั้ง" ของตนไว้ก่อน โดยการเลือกสรรของแต่ละพรรค หมายความว่า แต่ละพรรคต่างก็จะมี "คณะผู้เลือกตั้ง" ของตนเตรียมไว้คนละชุดก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี
๒. "คณะผู้เลือกตั้ง" ในแต่ละรัฐ (มีคนละชุดในแต่ละพรรค) จะมีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐนั้น บวกกับจำนวนสมาชิกวุฒิสภาของรัฐนั้น (ซึ่งแต่ละรัฐมีวุฒิสมาชิกสองคนเท่ากัน)
๓. "คณะผู้เลือกตั้ง" มีจำนวนทั้งหมดรวมกัน ๕๐ รัฐทั่วประเทศ คือ ๕๓๕ เสียง บวกกับ ๓ เสียงจาก District of Columbia (คือที่ตั้งของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.) เป็นจำนวนทั้งหมด ๕๓๘ เสียง คะแนนเสียงตัดสินคือ ๒๗๐ เสียง
๔. ในวันเลือกตั้ง ผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงข้างมาก จากการเลือกโดยตรงของประชาชน หมายความว่า "คณะผู้เลือกตั้ง" จากพรรคนั้นได้รับเลือก
๕. เมื่อผลของการเลือกตั้งโดยตรงประกาศออกมาครบทั้งหมดแล้ว หมายความว่า "คณะผู้เลือกตั้ง" ทั้ง ๕๓๘ เสียงจากทั่วประเทศนั้น เป็นคะแนนเสียงของทุกรัฐแบบคละพรรค คือผสมระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน ตามแต่ว่าใครจะชนะในรัฐใด
๖. "คณะผู้เลือกตั้ง" จากแต่ละรัฐจะถูกยกไปทั้งชุดตามคะแนนเสียงข้างมาก ของผู้สมัครจากพรรคนั้นที่ได้จากประชาชน เรียกว่า winner-take-all&rsquo s system เช่น พรรคแคลิฟอร์เนียมี ๕๔ เสียงของคณะผู้เลือกตั้ง ถ้าอัล กอร์ ชนะ จอร์จ ดับเบิลยู บุช เพียง ๕๑ : ๔๙ เปอร์เซ็นต์ อัล กอร์ ก็ต้องได้เสียง ๕๔ เสียงนั้นไปทั้งหมด ไม่ต้องแบ่งให้จอร์จ ดับเบิลยู บุช ตามสัดส่วนที่จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้คะแนนจากประชาชน ๔๙ เปอร์เซ็นต์
๗. แม้ว่าในวันเลือกตั้ง เมื่อมีการประกาศผลของการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน อันนำมาซึ่งการคำนวณได้ว่าคะแนนเสียงของ "คณะผู้เลือกตั้ง" จะเป็นเท่าใด ผู้สมัครคนใดจะได้รับคะแนนเสียงเกิน ๒๗๐ เสียงแล้วก็ตาม แต่รัฐธรรมนูญกำหนดว่า "คณะผู้เลือกตั้ง" ของแต่ละรัฐจะต้องประชุมกันอีกครั้งหนึ่งในวันจันทร์แรกหลังจากวันพุธที่ ๒ ของเดือนธันวาคมในปีเลือกตั้ง แล้วลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัครที่ตนต้องการอีกครั้งหนึ่ง โดยผู้เลือกตั้ง (elector) แต่ละคนมีสิทธิ์เลือกใครก็ได้ (ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ยังไม่เคยเกิดกรณีที่ผู้เลือกตั้ง ออกเสียงคัดค้านผู้ที่ชนะคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่) แล้วจึงส่งคะแนนเสียงไปยังรัฐสภาที่กรุงวอชิงตัน เพื่อเปิดซองของทุกรัฐออกนับคะแนน แล้วจึงประกาศคะแนนเสียงของผู้ได้รับเสียงข้างมาก อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
๘. ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี จะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ ๒๐ มกราคมของปีถัดไป
"ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี"