1. มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (มากกว่า 70) จะถูกดูดซึมได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (น้อยกว่า 55) จะถูกย่อยช้า ทำให้กลูโคสถูกปล่อยเข้าไปในกระแสเลือดอย่างช้าๆ ระดับน้ำตาลต่ำก็เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง ไม่เพียงเท่านั้น กีวี่ยังมีระดับแคลอรีต่ำ การรับประทานกีวี่สีเขียว 1 ผล ให้แคลอรีเพียง 87 กิโลกรัมแคลอรีเท่านั้น แม้แต่คนที่ควบคุมน้ำหนักก็เลือกกินได้สบาย
2. มีไฟเบอร์สูง เมื่อมีใยอาหารสูงก็จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ระดับปานกลาง และดูแลให้กระบวนการย่อยอาหาร ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น และชะลอการกระจายตัวของกลูโคส รวมถึงการดูดซึมน้ำตาลอีกด้วย 3. กีวี่สารต้านอนุมูลอิสระ โรคเบาหวานจะทำให้ Oxidative Stress หรือภาวะที่มีอนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้น จนสารต้านในร่างกายอาจไม่เพียงพอ กีวี่ซึ่งอุดมด้วยวิตามินซีสูง จะช่วยป้องกันการทำลายอนุมูลอิสระและเพิ่มสารต้านอีกด้วย 4. ช่วยดูแลระบบย่อยอาหาร จากงานวิจัยล่าสุดของสถาบันริดเดทท์ ประเทศนิวซีแลนด์ บอกว่าสามารถพบเอนไซม์แอคตินิดินในกีวี่ ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการย่อยโปรตีนในอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ นม ถั่ว และธัญพืชต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็ว สำหรับใครที่ไม่ถนัดการกินกีวี่สุดๆ ลองทำ กรีนกีวี่เชอร์เบต ดื่มทุกเช้าก็ง่ายและสดชื่นเหมือนกัน เริ่มต้นด้วยการหั่นครึ่งกีวี่เขียว 3 ผล และใช้ช้อนตักเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่เครื่องปั่น จากนั้นให้นำเจลาตินผง 1 ช้อนโต๊ะละลายกับน้ำร้อน ปรุงรสตามชอบด้วยน้ำตาลทรายน้ำมะนาว เกลือป่น ใส่น้ำแข็งแล้วเทลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วก็ตักใส่แก้ว พร้อมดื่มได้เลย ไม่ได้เฉพาะคนเป็นเบาหวานเท่านั้น สูตรนี้ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับสาวๆ หนุ่มๆ ที่รักษารูปร่าง
ที่มา : หนังสือพิมพ์ M2F
