ดอลลาร์หายาก ท่ามกลางตลาดระวังสูง - Sanook! พีเดีย

     ดอลลาร์หายไปไหน กลายเป็นความรู้สึกของนักลงทุนและนักการค้าที่กำลังสับสน และกังวลต่อภาวะดอลลาร์ที่ขาดแคลนอยู่ ในตลาดการเงินทั่วโลกในขณะนี้ เป็นจริงหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและตลาดหุ้นของไทยเชื่อว่าเป็นความเข้าใจที่ยังไม่ถูกต้อง เพราะถ้าตลาดโลกเกิดภาวะขาดแคลนเงินดอลลาร์จริง ราคาของดอลลาร์ควรทะยานสูงขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว แต่สิ่งเป็นความจริงในขณะนี้คือการที่ค่าเงินดอลลาร์กำลังเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว เพราะการเสื่อมค่าของราคาสินทรัพย์ ดังนั้น ในขณะนี้เงินดอลลาร์จึงหาได้ยาก เพราะการเสื่อมค่าของราคาทรัพย์สิน ทำให้เกิดภาวะที่เงินดอลลาร์มีการตึงตัวอย่างรุนแรงทางด้านสินเชื่อ หรือเกิดภาวะ Credit Crunch ที่แพร่กระจายไปยังตลาดการเงินทั่วโลกนั้นเอง

     ในความรู้สึกที่ว่าภาวะดอลลาร์ขาดแคลนได้เกิดขึ้น และแพร่กระจายทั่วไปของนักธุรกิจการค้าในประเทศไทย โดยเฉพาะผลกระทบจากความต้องการเงินดอลลาร์ที่มีมากขึ้น ทำให้ค่าประกันความเสี่ยงในการทำสวอปหรือสัญญาแปลงเงินสกุลดอลลาร์ล่วงหน้ามีค่าติดลบ (Discount) แทนที่อัตราจะเป็นบวกหรือมีพรีเมี่ยม ทำให้ผู้ส่งออกขาดทุนจากการซื้อขายเงินดอลลาร์/บาทล่วงหน้า ซึ่งในที่สุดก็จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเข้าทำการแทรกแซง โดยปล่อยเงินดอลลาร์ออกมาสู่ตลาดมากขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของดีมานด์และซัพพลาย ไม่ให้เกิดการบิดเบือนของตลาดการเงินในประเทศ และกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยที่ขาดเสถียรภาพ

     ปัญหาสภาพคล่องเงินดอลลาร์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ความต้องการเงินดอลลาร์มีมากขึ้น เนื่องจากบริษัทข้ามชาติหรือธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศที่เคยกู้เงินจากบริษัทแม่ที่อยู่ในต่างประเทศมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท โดยได้สวอปเอาดอลลาร์มาฝากและกู้เงินบาทไป โดยใช้อัตราดอกเบี้ยไทยบาทที่อ้างอิงกับสวอป เป็นตัวคำนวณ ได้เปลี่ยนวิธีการระดมทุนใหม่ โดยคืนเงินกู้ในรูปดอลลาร์ให้กับบริษัทแม่ไป และหันมากู้เงินในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าซึ่งเป็นการช่วยในเรื่องสภาพคล่องของบริษัทแม่ด้วย ซึ่งการนำส่งดอลลาร์คืนให้บริษัทแม่นี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพคล่องของดอลลาร์ในประเทศลดลง โดยเฉพาะธนาคารไทยต้องเข้มงวดมากขึ้นต่อการปล่อยเงินดอลลาร์ให้กับบริษัทลูกของต่างชาติ โดยวิตกว่าหากปล่อยให้กู้เงินดอลลาร์ไปแล้ว จะไม่ได้รับการชำระคืนในที่สุด

     ขณะที่นายพอล ครุกแมนซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลคนล่าสุด ชี้ว่าเศรษฐกิจของโลกมีการถดถอยอย่างรุนแรงจากวิกฤติการเงินในสหรัฐในปัจจุบัน ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นอัดฉีดสภาพคล่องในรูปเงินสกุลดอลลาร์แบบไม่อั้น นับเป็นการเดินตามรอยเท้าของธนาคารกลางของหลายๆประเทศ ทั้งธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ประกาศให้กู้เงินระยะสั้นแก่ธนาคารตามต้องการ หลังมีแนวโน้มว่าว่าเกิดภาวะขาดแคลนเงินดอลลาร์ในตลาดการเงินโลก และจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจจริงมากยิ่งขึ้น จนทำให้เกิดภาวะการล้มละลายทางธุรกิจตามมาอย่างคาดไม่ถึง ทั้งนี้ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2551 แสดงความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะตกสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง แม้ว่าทั่วโลกภายใต้การนำของยุโรปจะเดินหน้าช่วยเหลือภาคธนาคารอย่างเต็มที่ก็ตาม โดยแผนการอัดฉีดเงินทุนให้กับธนาคารต่างๆมีศักยภาพที่จะเยียวยาสถาบันการเงินได้

     อย่างไรก็ตาม นายพอล ครุกแมนยังเตือนว่าวิกฤติการเงินในปัจจุบันทำให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลกไปแล้ว ซึ่งต่อให้สามารถแก้ปัญหาสินเชื่อตึงตัวได้ ก็ยังอาจจะเจอความเสี่ยงของการถดถอยอย่างรุนแรงได้ เช่นเดียวกับที่นักการเงินไทยเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในคราวนี้อาจจะลากยาวไปถึง 2 ปี เป็นอย่างน้อย เพราะในขณะนี้เศรษฐกิจยังไม่ตกต่ำถึงที่สุด ซึ่งก็จะต้องจับตากันดูต่อไปว่าผลกระทบจากการล่มสลายของธนาคารขนาดใหญ่ทั่วโลกจะลุกลามถึงภาคเศรษฐกิจจริงขนาดไหน ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐกำลังจุดปะทุความรุนแรงรอบใหม่ จากการที่การจ้างงานจะตกงานเพิ่มขึ้นอีก 165,000 ราย ในเร็วๆนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็จะยิ่งหายากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ไปอีกนาน โดย คุณวีระชาติ ชุตินันท์วโรดม
ที่มา TSI Investment Wiki
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
     https://www.tsi-thailand.org/
     https://www.set.or.th/