ความรู้ เกร็ดความรู้ สารานุกรม สารานุกรมออนไลน์ ความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป พจนานุกรม เกมส์ เพลงใหม่ เพลง

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538, พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538 หมายถึง, พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538 คือ, พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538 ความหมาย, พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538 คืออะไร
| เปิดอ่าน 0 | ความคิดเห็น 0
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538

พระราชดำรัส พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2538

          ขอขอบใจ นายกรัฐมนตรี 2 ที่ได้กล่าวคำอวยพรในนามของผู้ที่มาในชุมนุมนี้.  ทั้งขอขอบใจ ที่นำพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์มาให้. ที่ตั้งชื่อว่า พระนิรโรคันตรายนั้น ก็เข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูปที่จะคุ้มครองไม่ให้มีอันตรายทั้งหลาย โดยเฉพาะ มิให้มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ซึ่งก็คงเป็นประโยชน์ เพราะว่าจำเป็นที่จะรักษาสุขภาพให้ดี.

          นายกฯ ได้กล่าวคำอวยพร และได้บรรยายความดีที่ข้าพเจ้าได้ทำมา.  ก็ไม่ทราบว่าควรที่จะพูดเสริมเรื่องกิจการต่างๆ ที่ได้ทำมา โดยที่ได้พูดมาแล้วเมื่อปีก่อน พอดีหนึ่งปีเต็ม.  ตอนท้ายได้พูดว่า ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่ได้มาให้กำลังใจ และให้ทุกๆ ท่านประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง.  ความสำเร็จทุกอย่าง และให้มีความปรองดองกัน เพื่อที่จะให้ส่วนรวมของเรา ก้าวหน้าเจริญได้ ทำให้แต่ละคนมีความเจริญก้าวหน้า และมีความสุขไปด้วย.  แต่ว่าก่อนที่จะพูดเรื่องนี้ ก็ยังพูดว่า ปีหน้าคือปีนี้ถ้าอยากฟังจะพูดต่อ.  ต้องหยุดเพียงแค่นี้ เพราะปีที่แล้วพูดมาก พูดมากจนได้ เล่มขนาดนี้ 3.  ได้พูดว่า “ก็ต้องหยุดเพียงแค่นี้. ถ้าอยากทราบเรื่องอะไรต่างๆ ต่อไปก็ให้มาปีหน้า จะอธิบายต่อ”.  ได้พูดอย่างนี้ แต่รู้สึกว่าอธิบายต่อก็อาจจะไม่จำเป็น เพราะว่านายกฯ ก็ได้อธิบายมากมายแล้ว.

          นี่เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวันนี้เหมือนปีนี้ นอกจากวันในหนังสือนี้เป็นวันอาทิตย์ ปี ๒๕๓๗.  วันนี้เป็นวันจันทร์ ปี ๒๕๓๘.  ก็มีความแตกต่างกันอย่างนี้.  ส่วนข้างในนี้ ถ้าจะถือว่าเอานี่เป็นคำพูดตอบนายกฯ ก็อาจจะได้ เว้นแต่ว่า เปลี่ยนจากท่านนายกฯ ชวน มาเป็นท่านนายกฯ บรรหาร. แต่ว่าพูดจบแค่นี้ ก็คงไม่คุ้มกับการที่ท่านทั้งหลายมาในที่นี้.  มาคอยนาน ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทั้งผู้ที่อยู่ข้างใน ทั้งผู้ที่อยู่ข้างนอก ฉะนั้นก็คงต้องพูดอะไรบ้าง.

          ก็ขอเริ่มต้นด้วยการค้านท่านนายกฯ นิดหน่อย.  ท่านนายกฯ ก็รู้สึกว่าเคยชินอย่างยิ่งที่จะค้าน และบัดนี้มาเริ่มเคยชินที่จะถูกค้าน.  แต่ว่าจะต้องบอกว่ามีโครงการประมาณ ๒,๐๐๐ โครงการ เพื่อที่จะนำน้ำมาให้แก่ประชาราษฎร ให้สามารถที่จะปฏิบัติงานตามอาชีพ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีน้ำ.  แต่ในตอนท้ายท่านนายกฯ บอกว่า น้ำมีมากเกินไป จนกระทั่งต้องสูบออกไปทิ้งทะเล.  ดังนี้  ก็ไม่รู้จะเข้าใจอย่างไร ว่าน้ำนี่จำเป็นหรือไม่จำเป็น น้ำนี้มีคุณหรือมีโทษ.  ตามความจริงน้ำ หรืออะไรทั้งหมด ทุกอย่างเป็นธรรมดา ที่มีทั้งคุณและโทษ.  ถ้าเราใช้ดีๆ ก็เป็นคุณ ถ้าเราใช้ไม่ดีก็เป็นโทษ.  จะค้านว่าเราไม่ได้ใช้ให้น้ำมาท่วมเราก็จริง แต่การที่น้ำมาท่วมเราก็เป็นความผิดของคนเหมือนกัน.  บางทีควรจะกักน้ำเอาไว้เพื่อจะใช้ ก็ทิ้งน้ำลงไป.  บางทีควรจะปล่อยน้ำออกไป ก็กักเอาไว้  กักเอาไว้ไม่ใช่เฉพาะทำเขื่อนเก็บน้ำ แต่กักเอาไว้. โดยทำถนน ขวางทางน้ำก็ตาม โดยทำบ้านจัดสรรก็ตาม โดยทำโรงงานก็ตาม ซึ่งกั้นไม่ให้น้ำไหล.  ดังนั้นน้ำที่กักเอาไว้ก็ไปท่วมชาวบ้าน.  อันนี้ไม่ดี ข้อนี้ก็ไม่อยากที่จะว่าท่านนายกฯ มากเกินไป ท่านเหนื่อยเต็มทนแล้ว แต่ว่าการที่พูดอย่างนี้ ก็ต้องให้เข้าใจว่า ถ้าอยากให้สิ่งทุกสิ่งเป็นประโยชน์จะต้องมีเหตุและผล.

          อย่างเรื่องน้ำแห้ง ก็เป็นความผิดของเรา ที่ทิ้งลงทะเลไปในเวลาที่ควรจะเก็บเอาไว้ แต่ถ้าเก็บเอาไว้ ก็อาจจะท่วมที่ชาวบ้าน.  อันนี้ก็เป็นปัญหาที่หนัก แต่หมายความว่า เราจะต้องบริหารน้ำให้ดี.  อย่างเช่นที่ในปีนี้น้ำท่วมจริงๆ เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้ที่ไปดู แม้ในจังหวัดใกล้เคียง เช่นในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา.  รายงานว่า น้ำท่วมมากจนไม่เห็นดิน และไม่เห็นถนน แต่เมื่อไม่กี่วันนี้มีคนไปดู เขาบอกว่าน้ำแห้งอย่างมหัศจรรย์.  ก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือไม่ดีใจ คือว่าถ้าเราเห็นว่าน้ำท่วมเป็นของไม่ดี น้ำแห้งก็ต้องเป็นของดี.  แต่ผู้ที่ไปดูนั้นเขาบอกว่าน่ากลัว เพราะว่าดินแตกระแหงเหมือนไม่เคยมีน้ำมาอยู่เลย เหมือนเป็นที่ที่แห้งแล้ง ที่เป็นทะเลทราย.

          ดังนี้จะทำอย่างไรดี เพราะว่าถ้าประชาชนอยากจะทำการเพาะปลูก ก็เพาะปลูกไม่ได้ ไม่มีน้ำใช้.  ถึงได้พูดเมื่อปีที่แล้ว และอันนี้จึงต้องพูดซ้ำในวันนี้ เพราะว่าที่ปีที่แล้วบอก ตอนท้ายที่อ่านให้ฟังนั่นว่า “ถ้าอยากทราบอะไรต่อไป ก็มาปีหน้า” คือปีนี้.  ตอนนี้ท่านก็ไม่ได้ถาม ไม่ได้มีใครถามว่าปัญหามีอะไร เงียบ ไม่มีใครตั้งปัญหาอะไรเลย  แต่ว่าปัญหามี จึงจะขอเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้สักนิดหน่อย.  แล้วท่านก็จะเข้าใจ ความจริงไม่ต้องเล่าก็ทราบกันอยู่แล้ว.

          ที่จะเล่าให้ฟังคือเรื่องโครงการเมื่อ ๔ ปี ที่ได้สร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ที่อยุธยา.  ในแผนการมีอนุสาวรีย์ มีแท่น แล้วก็มีช้าง สมเด็จพระสุริโยทัยประทับบนช้าง.  และนอกจากนั้นก็มีเขตที่เป็นสวน ที่ปลูกต้นไม้ ที่มีอาคารสำหรับเป็นที่แสดงศิลปาชีพ. มีที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวมาชมวิว และก็มีอ่างน้ำ.  ผู้วางผังเขาบอกว่าถ้ามีอ่างน้ำก็จะสวยงาม.  เมื่อได้รับทราบแล้วก็ดูแผน ในที่ ๒๕๐ ไร่นั้น เขาทำเป็นสระน้ำกว้าง ประมาณ ๕๐ ไร่.  ตกลงที่ดินที่เป็นอนุสาวรีย์กับสวน เป็นที่ ๒๐๐ ไร่ และมีสระน้ำ ๕๐ ไร่ รวมเป็น ๒๕๐ ไร่.  เมื่อเห็นอย่างนั้นก็ไม่ค่อยจะพอใจนัก แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร.  ในที่สุดก็กล้า คือต้องกล้า กล้าบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ความหมายของอนุสาวรีย์นี้.  หรือไม่ใช่แผนที่อยากจะให้ทำ อยากจะให้มีที่ที่เป็นน้ำ ให้สระน้ำนั้น ใหญ่กว่าครึ่งของบริเวณ.  ในที่สุดผู้ที่วางแผนก็ยอม.

          เหตุผลที่ทำอย่างนี้ เพราะว่าในอนาคตอาจจะมี ที่จริงก็มีน้ำท่วมทุกปี.  และถ้ามีน้ำท่วม น้ำจะลงไปท่วมบ้านเมือง โดยเฉพาะอยุธยา ลงมาถึง ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และลงไปทางสมุทรปราการ.  ถ้าหากเราทำอ่างกักน้ำ จะเรียกว่าอ่างเก็บน้ำก็ได้ แต่เป็นสระที่ใหญ่พอ เราสามารถที่จะกักน้ำเอาไว้ ซึ่งจะบรรเทาความเดือดร้อนของการที่มีน้ำท่วม และต่อไปเมื่อน้ำแห้งแล้ว น้ำที่เราเก็บกักเอาไว้ในสระนั้น จะเป็นประโยชน์แก่ราษฎรที่อยู่ใกล้เคียง.

          จึงได้ปฏิบัติเช่นนั้น เขาจึงได้สร้างสระนั้นให้โตขึ้น มีพื้นที่ถึง ๑๕๗ ไร่.  ก็นับว่าดีกว่าที่คิดไว้เดิม ว่าขอเอาอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง (๑๒๕ ไร่).

          ในที่สุด ปีนี้น้ำก็ท่วมและเกิดระลึกขึ้นมาได้ ว่ามีโครงการนี้อยู่.  จึงให้คนไปถ่ายรูป มีหลายฝ่ายทั้งทางภาคพื้นดิน ทั้งทางอากาศ.  ในรูปได้เห็นว่ามีการสูบน้ำ ปลายหนึ่งของท่อจุ่มอยู่ในสระ และดูดน้ำออกจากสระ.  น้ำในสระนั้น มีระดับวัดได้ ๓ เมตร ๕๐ เซนติเมตร.  แต่เมื่อดูแล้ว ข้างนอก น้ำขึ้นสูงไปมากกว่านั้น.  จึงบอกให้ผู้ว่าราชการจังหวัด สั่งหยุดสูบน้ำออกไป และถ้าอย่างไรให้เปิดประตูน้ำที่เป็นท่อ และช่องที่เปิดน้ำให้เข้า-ออกได้ ให้น้ำเข้ามา. น้ำก็ค่อยๆ เข้ามาเอื่อยๆ น้ำจึงขึ้นมาหน่อย.  แต่ว่าเข้ามาช้ามาก.  เขารายงานมาทางวิทยุว่า ข้างในน้ำสูงเท่านั้นๆ ข้างนอกสูงเท่านั้นๆ. ก็ปรากฏว่าน้ำขึ้นจริงๆ.  ที่หลักวัดระดับน้ำนั้นจาก ๓ เมตร ๕๐ ขึ้นมาเป็น ๓ เมตร ๘๐.  เขาก็ถามมาว่าพอหรือยัง.  เราก็เลยต้องถามว่า ข้างนอกสูงเท่าไหร่.  เขาก็บอกว่าไม่ทราบ.  เราเลยถามว่า ข้างนอกสูงหรือต่ำกว่าคันรอบอนุสาวรีย์นั้นและเท่าไหร่.  เขาก็บอกประมาณ ๕๐ เซนติเมตร หรือ ๓๐ เซนติเมตร จำไม่ได้แล้ว.  และเราถามว่าข้างในเท่าไหร่.

          เขาบอกห่างประมาณเมตรกว่า.  ก็เลยบอกว่า ให้ฟันคัน ให้ใช้รถตักที่เขาเรียกว่า แบ็คโฮ ตักคันที่กั้นน้ำนั้นให้น้ำเข้ามา.  ผู้ว่าราชการจังหวัด 4  ก็บอกว่า “ผมทำไม่ได้ ผมคอขาดถ้าทำ.” ผู้ที่ไปก็บอกว่า “คุณต้องทำ ถ้าไม่ทำผมเองคอขาด.” ก็ไม่ทราบว่าคอของใครมีราคามากกว่ากัน. ในที่สุดก็เข้าใจว่าผู้ว่าราชการจังหวัดยอมคอขาด. แต่ที่จริง คอไม่ขาด เพราะว่าผู้ว่าราชการจังหวัดอยุธยาเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริต และได้ช่วยทุกอย่างให้พระนครศรีอยุธยามีความเจริญ. เป็นอันว่า เอารถ แบ็คโฮ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดมาตักและขุดคัน.  น้ำก็เข้ามา แต่เข้ามาไม่ทันใจ เลยขุดอีกหลายแห่ง และในเวลาเดียวกันก็วัดระดับน้ำ.  ปรากฏว่าระดับน้ำทางด้านตะวันออกคือ น้ำที่มาจากแม่น้ำป่าสักสูงกว่าด้านที่มาจากแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ ๒๐ เซนติเมตร.  ความรู้นี้ ไม่มีใครเคยรู้ว่า น้ำที่อยู่ในทุ่งด้านป่าสักมีความสูงกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา.  และความรู้นี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ รวมทั้งกรมชลประทานเกิดความรู้ว่า น้ำท่วมกรุงเทพฯ มาจากไหน และไปไหน.

          ในที่สุดน้ำข้างในก็ขึ้น.  ข้างในสระระดับน้ำต่ำกว่ายอดคันประมาณ  ๕๐ เซนติเมตร.  ด้านนอก (ด้านแม่น้ำเจ้าพระยา) เหลือถึงยอดคัน ๕๐ เซนติเมตรเช่นเดียวกัน.  ส่วนด้านแม่น้ำป่าสักปรากฏว่าเหลือถึงคันประมาณ ๒๐ เซนติเมตรเท่านั้น.  ก็หมายความว่า ข้างนอกกับข้างในยังไม่เท่ากัน.  ก็บอกให้ทำต่อไปจนกระทั่งน้ำข้างนอกกับน้ำข้างในเท่ากัน.  และวัดดูโดยต่อจากมาตรวัดน้ำ ซึ่งทีแรกสูง ๔ เมตร.  ต่อขึ้นมา ๕ เมตร ก็ท่วม ๕ เมตร จนกระทั่งขึ้นมาถึง ๕ เมตร กับ ๗๐ เซนติเมตร.  เป็นอันว่า น้ำที่เข้ามาในบริเวณนั้นจากเดิม ๓ เมตร ๕๐ ขึ้นมาเป็น ๕ เมตร ๗๐.  และน้ำในสระนั้น แทนที่จะมีประมาณห้าแสน ก็ขึ้นมาเกือบสองล้านลูกบาศก์เมตร.  เมื่อถึงขนาดนั้นแล้ว จึงสั่งให้ปิดได้. ให้ปิดเพื่อที่จะเก็บน้ำนี้ไว้ข้างใน. วันรุ่งขึ้นไปวัดน้ำที่ในทุ่ง ปรากฏว่าลดลงไป ๔ เซนติเมตร ทำให้ราษฎรเห็นว่า อนุสาวรีย์นี้ทำประโยชน์ และสมเด็จพระสุริโยทัยนี้เป็นวีรสตรีในอดีต กลับมาเป็นวีรสตรีในปัจจุบันด้วย.  ฉะนั้นโครงการนี้ก็ได้ผลเต็มที่.

          วันต่อมาได้มีการไปวัดระดับน้ำ.  น้ำได้ลดลงไป ข้างในสระลดลงไปหน่อย ข้างนอกลดลงไปมาก.  แต่ข้างในก็ลดลงไป ๕๐ เซนติเมตร ก็ได้ทราบว่ามีชาวบ้านมาฟันคันให้น้ำออกเพื่อจับปลา.  ข้อนี้ทำให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิชัยพัฒนามาบอกว่า “อย่างนี้ต้องปิดป้าย อย่างที่เขาติดป้ายตามถนน ปิดป้ายว่า ‘ห้ามจับปลา’ และ ‘ห้ามฟันคัน.’ ” แต่ต้องบอกกับเขาว่า สมัยนี้สมัยประชาธิปไตย ใครอยากได้ปลา ก็ฟันเขื่อนเอาน้ำออกมาเพื่อจับปลา แต่มีคนอื่นเขาอยากได้น้ำนั้นเอาไว้ เพราะว่าต่อไป เขาอยากจะใช้น้ำเพื่อทำการเกษตร.

          อย่างนี้ทำอย่างไร.  นักประชาธิปไตยจะตอบว่าอย่างไร.  แต่ความจริงจะต้อง“เรียกว่า” ชี้แจง. เป็นเรื่องของการประชาสัมพันธ์ว่า การจับปลาวิธีนี้ไม่ดี.  ถ้าอยากจับปลา ก็อาจจะอนุญาตให้มาทอดแหจับปลาได้.  แต่ว่าการจับปลาโดยที่ทำให้น้ำที่เก็บเอาไว้ด้วยความลำบากยากเย็นนี้ เสียไปเปล่าๆ ก็น่าเสียดาย.  ฉะนั้นก็ควรจะอธิบายว่า น้ำนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนจริงๆ ไม่ใช่สำหรับคนอื่น สำหรับประชาชนเอง. จึงอธิบายและรู้สึกว่าประชาชนก็เข้าใจ.  เดี๋ยวนี้น้ำก็ยังอยู่ในระดับสูง ตอนหลังสุดได้รับรายงานว่าน้ำสูง  ๕ เมตร ๒๐ หมายความว่าลดไป ๕๐ เซนติเมตร.  ในเดือนสองเดือนข้างหน้า ก็คงลดไปอีก เพราะว่ามีการระเหย หรือการรั่วบ้าง.  แต่อย่างไรก็ตามจะมีน้ำนี้เอาไว้ใช้ได้.

          อันนี้เป็นเรื่องเหมือนนิทานตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบันคือเรื่องวีรสตรีแห่งชาติ.  นี่ก็เป็นเรื่องที่เราต้องคิดถึง แม้เป็นส่วนเล็กน้อย  แต่ว่ามีส่วนอื่นที่จำเป็นจะต้องทำเหมือนกัน.  ฉะนั้นตามที่นายกฯ ได้กล่าวถึงทฤษฎีใหม่ ก็ทำเพื่อจุดประสงค์อย่างนี้นี่เอง.  เพราะว่าในประเทศอย่างประเทศไทย น้ำจะมีมากเป็นระยะหนึ่ง จนน้ำท่วม จนกระทั่งทำให้เดือดร้อน ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเสียไป ตายไป เน่าไป.  และเมื่อเสร็จแล้ว  หลังจากระบายน้ำออกไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และด้วยความสิ้นเปลือง ก็แห้ง ไม่สามารถที่จะทำการเพาะปลูกใดๆ เลย ก็อดอยาก ยากจน.

          ฉะนั้นจึงทำทฤษฎีใหม่เพื่อที่จะให้ประชาชนมีโอกาสทำเกษตรกรรมให้พอกิน.  ถ้าน้ำมีพอดีในปีไหน ก็สามารถที่จะประกอบการเกษตร หรือปลูกข้าว ที่เรียกว่านาปีได้.  ถ้าต่อไป ในหน้าแล้ง น้ำมีน้อย ก็สามารถที่จะใช้น้ำ ที่กักไว้ในสระเก็บน้ำของแต่ละแปลงมาทำการเพาะปลูก แม้แต่ข้าวก็ยังปลูกได้.  ไม่ต้องไปเบียดเบียนชลประทานระบบใหญ่ เพราะมีของตัวเอง.  แต่ก็อาจจะปลูกผักหรือเลี้ยงปลา หรือทำอะไรอื่นๆ ก็ได้. 

          ทฤษฎีใหม่นี่มีไว้สำหรับป้องกันความขาดแคลน ในยามปกติก็จะทำให้ร่ำรวยมากขึ้น. ในยามที่มีอุทกภัย ก็สามารถที่จะฟื้นตัวได้เร็ว โดยไม่ต้องให้ทางราชการไปช่วยมากเกินไป.  ทำให้ประชาชนมีโอกาสพึ่งตนเองได้อย่างดี.  ฉะนั้นจึงได้สนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามทฤษฎีใหม่.  ความจริงทฤษฎีใหม่นี้ก็ได้ชี้แจงเมื่อปีที่แล้วอย่างละเอียด และใน หนังสือเล่มนี้ 5  ก็มีเรื่องทฤษฎีใหม่ ตั้งแต่ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ และขั้นที่ ๓.  อันนี้เอาไว้ไปพิจารณาเมื่อได้รับทราบข้อความที่มีอยู่ในเล่มนี้ อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะติดตาม เพราะว่าการทำทฤษฎีใหม่นี้มิใช่เป็นของที่ง่ายๆ แล้วแต่ที่ แล้วแต่โอกาส และแล้วแต่งบประมาณ.  เดี๋ยวนี้ประชาชนทราบถึงทฤษฎีใหม่นี้อย่างกว้างขวาง.  และแต่ละคนก็อยากได้ ให้ทางราชการขุดสระแล้วช่วย.  แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนัก  บางแห่งขุดแล้วไม่มีน้ำ แม้จะมีฝน น้ำอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามันรั่ว.  หรือบางทีก็เป็นที่ที่รับน้ำไม่ได้.  ทฤษฎีใหม่นี้จึงต้องมีที่ที่เหมาะสมด้วย.  อย่างเช่นที่ได้ทำที่อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์.

          ที่นั้นได้ทำ ๓ ปีมาแล้ว และได้ผลดีจนกระทั่งประชาชนอยากได้มากขึ้น.  แต่เราทำไม่ค่อยได้ เพราะต้องคอยทำอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่พอสมควร เพื่อป้อนสระที่อยู่ในแปลงของราษฎร.  อ่างเก็บน้ำนี้ก็สร้างเสร็จแล้ว.  จุได้ถึง ๓ ล้าน ๕ แสนลูกบาศก์เมตร แต่ปีนี้ยังกักน้ำไว้ได้เพียง ๒ ล้าน ๕ แสนเพราะว่าเพิ่งเสร็จ.  ปีหน้ามีหวังจะกักน้ำได้มากขึ้น เพราะทำระบบที่จะผันน้ำ มาจากอ่างเก็บน้ำ ซึ่งไม่มีที่ที่จะทำการเพาะปลูก จะผันมาที่อ่างเก็บน้ำนี้ที่ได้ทำให้จุ ๓ ล้าน ๕ แสน.  อาจจะขึ้นมาถึง ๔ ล้าน ๕ แสนก็ได้.  จากอ่างเก็บน้ำนั้น ก็มาแจกจ่ายในพื้นที่ประมาณ ๑๐,๐๐๐ ไร่.  ตามปกติ ถ้าทำในระบบปกติที่เคยทำ จะเลี้ยงที่ได้เพียง ๒,๕๐๐ ไร่ แต่ทำแบบนี้ คือตามทฤษฎีใหม่จะเลี้ยงได้ถึงหมื่น หรืออาจจะมากกว่าหมื่นไร่ด้วยซ้ำ. 

          อย่างไรก็ตาม การที่ปฏิบัติตามทฤษฎีใหม่ หรืออีกนัยหนึ่ง ปฏิบัติเพื่อหาน้ำให้แก่ราษฎรเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ง่าย ต้องช่วยกันทำ. ปีที่แล้วได้บอกว่าจะมาพูดเสริม หรือพูดเพิ่มเติม ถ้าใครมีความประสงค์ที่จะอยากทราบ.  แต่ก็ไม่ทราบว่า ผู้ใดอยากทราบอะไร.  อ่านใจไม่ได้ว่าท่านมีคำถามอะไร แต่ว่าตะกี้ ท่านนายกฯ บอกว่าข้าพเจ้าได้ไปดูถนน ดูว่าถนนไหนควรจะทำอะไร.  อันที่จริง เรื่องนี้ ตอบลำบาก เพราะว่าปีนี้ดูถนนไม่ได้ มีแต่น้ำ ก็เลยดูถนนไม่ได้.  ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ ท่านทำอย่างไร ท่านได้แล่นรถไปก็ต้องฝ่าน้ำไป อาจจะรู้ว่าถนนตรงไหนดีหรือไม่ดี แต่ว่าคนธรรมดานั้นจะดูไม่ได้ เพราะว่าถนนมันถูกน้ำท่วม จึงแก้ปัญหาจราจรไม่ได้.  แต่อย่างไรก็ตาม เราจะต้องปฏิบัติ.  และถ้ามีคำถามใดในสมองของท่าน ก็นึกว่าคงจะมีคำตอบ.

          อนึ่งที่พูดปีที่แล้ว มีส่วนหนึ่งเป็นการโฆษณา ปีที่แล้วโฆษณาเรื่องหนังสือที่ได้เขียน และออกมาขาย.  ก็ได้ผลดีเพราะว่า ขายได้จำนวนหลายหมื่นเล่ม.  ปีนี้ท่านคงนึกว่าจะต้องโฆษณาต่อ ที่จริงก็อยากจะโฆษณาต่อเหมือนกัน แต่เดี๋ยวถูกหาว่าเฝือ หาว่าเมื่อมาพูดกับท่าน ก็ถือโอกาสโฆษณา.  ที่จริงมีที่จะโฆษณา แต่อาจจะยั้งๆ ไว้ก่อนดีกว่า เพราะว่าถ้าโฆษณา เดี๋ยวถูกกล่าวหาว่าหาเงินเรื่อย. ไม่ใช่ เรามีโครงการที่กำลังทำอยู่ ก็น่าสนใจเหมือนกัน.  แต่สำหรับเรื่องนี้ ความจริงไม่ต้องโฆษณา เพราะว่าเหตุการณ์มันได้เกิดขึ้นแล้ว และมีการโฆษณามาแล้ว.

          หันมาอีกเรื่องหนึ่งคือตลอดปีที่ผ่านมา ที่จริงบอกได้ว่าเป็นปีที่ค่อนข้างจะหนัก ค่อนข้างจะเดือดร้อน  เดือดร้อนเอาจริงๆ คือว่า เดือดร้อนจนกระทั่งทำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะว่าที่ท่านมานั่งอยู่ที่นี่เป็นพื้นที่ที่เกิดเรื่อง.  เรื่องมีอยู่ว่าเรากำลังเดินออกกำลังอยู่รอบๆ แถวๆ นี้ ที่ท่านนั่งอยู่ ตรงนี้ 6  เราก็เดินรอบ แต่ท่านทั้งหลายไม่อยู่.  เดินไปเดินมา รู้สึกมันอึดอัดเข้าทุกที คนถ้าเห็นก็คงบอกว่าหน้าซีด ก็คงซีด เดินไปเดินมา เอ๊ะ! เดินไม่ไหวแล้ว.  ก็เข้าไปนั่งอยู่ในห้องข้างหลังนี่  หมอก็วัดความดันโลหิต มันก็ขึ้นไปสูง และไม่ยอมลง.  ทำไปทำมา ก็ปรากฏว่าเลือดไม่เดิน.  เมื่อเลือดไม่เดิน ผู้ที่เคยประสบเหตุการณ์อย่างนี้ ก็คงทราบว่ามันเดือดร้อนแค่ไหน.  แต่ในที่สุดก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่เคยนึกว่าจะเป็น แต่ก็เป็น ก็เลยต้องเข้า โรงพยาบาล 7

          ในเวลานั้นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ท่านก็อยู่โรงพยาบาล เพราะว่าทรงมีปัญหาเรื่องพระสุขภาพ.  ก็เข้าไปเฝ้า.  ตอนแรกนั้นไปเฝ้าไม่ไหว ไม่รู้เรื่อง.  เมื่อทราบว่าจะต้องทำปฏิบัติการของแพทย์ แพทย์ก็นำกระดาษชิ้นหนึ่งมา อ่านก็ไม่ค่อยทราบว่าเป็นอะไร แต่ใจความมีว่า ให้อนุญาตให้ปฏิบัติการ แล้วให้ลงชื่อ  แต่หมอไม่ได้บอกให้ลงชื่อ เลยไม่ได้ลง. เมื่อไม่ได้ลงชื่อเขาก็จะทำไม่ได้. เขาก็ไปถวายสมเด็จฯ ท่าน.  สมเด็จฯ ท่านไม่ทรงสบายอยู่แล้ว แต่ว่าท่านก็ลงพระนามยินยอมให้แพทย์ปฏิบัติการ.  เป็นอันว่าแพทย์ก็ปฏิบัติการ. เมื่อปฏิบัติการเสร็จแล้ว และรู้ตัวขึ้นมาแล้ว โอ๊ย! สบาย.  สบายขึ้นมาก หายใจออก ตาก็สว่าง.  เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สมเด็จพระบรมราชชนนี ก็ให้นายแพทย์ประจำพระองค์เข็นรถของท่านเข้ามา และท่านก็ยิ้ม.  แล้วเข้ามาบอกว่า “เอ้อ! ดีใจ ดีใจว่าแข็งแรงดีแล้ว.”  หลังจากนั้นก็ได้พักผ่อนในโรงพยาบาลอีกระยะหนึ่ง จนกระทั่งแพทย์เห็นว่า ควรจะกลับบ้านได้.  ก็ได้ทูลถามสมเด็จพระบรมราชชนนีว่า ท่านเองจะเสด็จกลับเมื่อไหร่.  ท่านบอกว่า “โอ๊ะ! หมอบอกว่าจะกลับเมื่อไหร่ก็ได้แล้ว แต่คอย คอยออกไปพร้อมกัน.”  ท่านบอกว่า “แม่-ลูกจะได้ออกพร้อมกัน  เอ้อ! ดี.” ในที่สุด ก็ออกจาก โรงพยาบาล 8  ไปส่งเสด็จที่วังสระปทุมก่อน แล้วกลับมา ที่นี่ 9 กลับมาพักผ่อนระยะหนึ่ง.

          ระยะเวลานี้ไม่ค่อยได้ไปเฝ้า เพราะยังเพลียอยู่ แต่ก็สบายขึ้นมาก.  มาตอนหนึ่ง หมอแจ้งมาทางโทรศัพท์ว่า สมเด็จฯ ท่าน พระอาการไม่ดี ก็รีบไปเฝ้า. ไปเฝ้าแล้วก็เห็นว่าพระอาการดีขึ้นบ้าง.  ท่านลืมพระเนตรขึ้น.  ท่านเห็น “เออะ! กลับบ้านไปเสียที มาอยู่นานแล้ว.”  ก็กลับบ้าน.  แต่วันรุ่งขึ้นหมอก็บอกว่าไม่ดี ต้องเข้าโรงพยาบาล. ก็ให้ท่านไป โรงพยาบาล 10 และไปเฝ้าที่โรงพยาบาล.  หลังจากนั้นก็ไปเฝ้าที่โรงพยาบาลเกือบทุกวัน และพระอาการก็ไม่ค่อยดีนัก.  ในที่สุด พระอาการไม่ดีขึ้น หมดหนทางที่จะถวายเยียวยา.  หมอเขาทำเต็มที่ ก็เยียวยาอะไรไม่ได้ จนสวรรคตแต่ว่าเมื่อสวรรคต. ก็ดีใจอยู่อย่างว่า ลูกของท่านทั้งสองก็อยู่ด้วย จับพระหัตถ์อยู่. และหลานที่ท่านรักที่สุด “เพราะว่าท่านเลี้ยงมา แล้วหลานนั้นก็เลี้ยงท่าน” ก็มาจับพระหัตถ์ด้วย.  ก็สามคน.  ท่านก็ สวรรคตอย่างสงบ 11

          เป็นอันว่าปีนี้มีเหตุการณ์ไม่ดี หรือหนักอยู่มากอยู่.  แต่ว่าสมเด็จฯ ท่านเคยรับสั่งนานมาแล้วอย่างน้อยสิบปี รับสั่งว่า “แม่นี่น่ะ เกิดมานานแล้ว ก็แก่มากแล้ว.”  ตอนนั้นแก่มากคือ ๘๐ กว่า.  ก็นับว่าแก่.  แต่ทูลว่า “แก่อย่างนี้ดี ยิ่งแก่ยิ่งดี เพราะว่าลูกหลานนี่น่ะ ถ้าพ่อหรือแม่แก่ ก็เป็นกำลังใจสำหรับลูกหลาน ว่าเรามีแม่ที่อายุยืน เราก็คงอายุยืนเหมือนกัน.  มีแม่ที่แข็งแรง เราก็คงแข็งแรงเหมือนกัน.”  ก็เลยทูลว่า “แม่ต้องรักษาตัว.  ทูลว่าแม่ต้องเสวย.  เพราะตอนนั้นเสวยนิดเดียว ก็บอกว่าอิ่มแล้ว.”  ท่านก็ผอมลงทุกที หมดแรง ไม่หิว.  แล้วก็รับสั่งว่า “แก่แล้วจะอยู่ทำไม.”  ก็ทูลว่า “อยู่สิเป็นประโยชน์ เป็นกำลังใจสำหรับลูกหลาน.”  และนอกจากนี้ท่านรับสั่งว่า “เวลาไปที่เขื่อนหรือที่ไหน ทำให้คนเขาเดือดร้อน ต้องมาเฝ้า.”  เลยทูลว่า “ขอรับรองว่าเจ้าหน้าที่ เขายินดี ทรงเป็นกำลังใจให้เขา.”  เขาถึงเรียกท่านว่า สมเด็จย่า ในที่สุดทรงฟัง แล้วเริ่มเสวย ก็แข็งแรงขึ้น. ทรงแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับจนถึงคราวที่ประชวรเมื่อ ๔ ปีที่แล้ว ต้องเสด็จประทับโรงพยาบาล.  ก็ไปเฝ้าเกือบทุกวัน. เมื่อ ๔ ปีนั้นกำลังสร้าง อนุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย 12. วันหนึ่ง ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เสร็จแล้วก็รีบวิ่งรถ ไปเฝ้าที่โรงพยาบาลศิริราช.  ก็พอดีทันเวลาเสวย.  ท่านรับสั่งว่า “อ้า! ตะกี้อยู่ที่โน่น มาแล้วหรือ.”  ก็บอกว่ามาแล้ว. ก็ถวายให้เสวย.  เสวย ก็ทรงแข็งแรงขึ้น.  จนกระทั่งอยู่อีก ๔ ปี.  เป็นกำไรที่ได้.

          ท่านเข้าพระทัยแล้วว่ายิ่งแก่ยิ่งดี. สำหรับแม่หรือใครๆ ที่เรานับถือ เรารัก ถ้าผู้นั้นอายุมาก และโดยเฉพาะอย่างท่าน ถ้าท่านทรงแข็งแรง ท่านรับสั่งรู้เรื่อง ทำงานอะไรๆ  ได้ ก็มีประโยชน์.  ท่านทรงมีประโยชน์  เมื่อสวรรคต ก็ทำตามที่ท่านรับสั่งไว้ว่า “แม่แก่แล้ว จะตายเมื่อไหร่ก็ได้.  ตายแล้ว ห้ามร้องไห้.  ไม่ให้ร้องไห้ เพราะเป็นของธรรมดา. คนเราก็ต้องตาย.”  แต่ว่าตอนหลังนี้ ที่เห็นท่านทรุดลง ทรุดลง ก็รู้สึกว่าท่านจะอยู่ไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้ท่านสิ้น.  อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นก็เป็นของธรรมดา ที่เราอาลัย.  เป็นของธรรมดาเหมือนกัน.

          ฉะนั้นเมื่อท่านสิ้นแล้ว และได้เห็นความรัก ความนับถือ ที่คนทั้งชาติมีต่อท่าน ก็ปลื้มใจ.  ปลื้มใจว่ามีแม่ที่คนรัก ที่ถือว่าท่านเป็นสมเด็จย่า.  ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกัน. ถ้าใครต่อใครเรียกว่า สมเด็จย่า คนที่เรียกสมเด็จย่า ก็เป็นหลานๆ ของเรา เป็นหลาน เพราะว่าท่านเป็นแม่.  แล้วท่านเป็นย่าของคนทั่วๆ ไป และเป็นสมเด็จย่าของลูกๆ ที่อยู่ข้างหลังนี้.  ฉะนั้นเราก็เป็นญาติกันทั้งหมดแล้ว.  แต่อย่างไรก็ตามทุกคนก็รู้สึกว่ามีความอาลัย และทำให้ประชาชนทั้งชาติได้มีโอกาสแสดงความอาลัย. เป็นประโยชน์ จะว่าครั้งสุดท้ายของท่าน ที่จริงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ท่านยังเป็นประโยชน์ต่อไปชั่วกาลนิรันดร์.  ที่ว่าเป็นประโยชน์ เพราะว่าชาวต่างประเทศทุกชาติ ทุกภาษา เมื่อมาเห็นว่าเมืองไทยมีเหตุการณ์เช่นนี้แบบนี้ และการแสดงคารวะบุคคลที่ควรคารวะ ต่างประเทศแม้จะไม่ชอบเมืองไทย เขาก็ต้องชอบ.  เขาจะต้องบอกว่า เมืองไทยนี่มีอะไรแปลก และเมืองไทยก็แปลกจริงๆ ที่มีสภาพอย่างนี้.  ฉะนั้นถึงว่าท่านที่มานั่งอยู่ที่นี้ มีคนหน้าเก่าบ้างหน้าใหม่บ้าง แต่ก็มานั่งอย่างมีจิตใจ อย่างที่เคยพูดเมื่อปีที่แล้วเมื่อ ๒ ปี เมื่อ ๓ ปี เมื่อ ๔ ปี ที่แล้ว คือคนไทยมีความรู้สึกที่แตกต่างกับหลายประเทศ.

          มาตอนนี้ก็ขอเท้าความไปถึงปีที่แล้ว.  อย่างหนึ่งที่พูด คือการโฆษณาหนังสือ.  ได้บอกว่าสถานการณ์ในประเทศนั้นไม่ดี และที่ต้องโฆษณา เพราะว่าถ้าประเทศนั้น เขาปรองดองกัน เขามีสันติภาพ เขาสงบ หนังสือเล่มนี้ก็จะไม่ค่อยน่าสนุกเลย หนังสือเล่มนี้จะขายไม่ออก.  เราก็ใจร้ายนิดหน่อย โดยที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้จะขายได้ดี เพราะเขาตีกัน.  ถึงแปลเป็นภาษาไทย.  อยากให้คนไทยเห็นว่า ถ้าเราทำดีๆ เราจะไม่เป็นเหมือนเขา.  จะต้องย้ำคำว่า ไม่ เพราะเดี๋ยวบอกว่าไม่ได้ใช้คำว่า ไม่.  เราจะไม่ เป็นอย่างเขา.  เราก็ยังไม่เป็นอย่างเขา. เพราะเหตุว่าเราไม่เหมือนเขา.  คนที่มีความคิดแตกต่างกันก็มี เถียงกันก็มี จนหน้าดำหน้าแดงก็มี.  แต่ในที่สุดก็เป็นคนไทยด้วยกัน ถ้าถึงเวลาที่จะป้องกันประเทศ หรือถึงเวลาที่จะช่วยสงเคราะห์ประชาชนที่ประกอบขึ้นมาเป็นประเทศ เราก็ช่วยกันทำ.

          ประเทศที่เป็นวัตถุแห่งหนังสือเล่มนั้น เดี๋ยวนี้ก็ดูจะดีขึ้น เพราะว่าเขามีการตกลงว่าจะให้มีความสงบ.  ประเทศต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ประเทศในยุโรป ในอเมริกา เขาก็บอกว่าเดี๋ยวนี้ตกลงกันแล้ว จะมีความสงบ.  ไอ้ตกลงน่ะตกลง.  แต่ข้อตกลงนั้นยังไม่ปฏิบัติ.  ความสงบมีอยู่แต่ในข้อตกลง.  แต่ก็ยังไม่สงบ และอีกนานกว่าจะสงบ.  อันนี้ไม่ใช่แช่ง เขาทำเอง เป็นเรื่องของเขา.  ฉะนั้นหนังสือเล่มนี้ ถ้าใครยังไม่ได้ซื้อก็ควรจะซื้อ ยังไม่พ้นสมัย. 

          ปีที่แล้วบอกให้อ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะว่ามีเมืองบิฮัช ที่จริงบิฮัชนี่ไม่มีใครรู้จัก.  เชื่อว่าก่อนที่ได้พูดเมื่อปีที่แล้ว จะมีซัก ๑ เปอร์เซ็นต์ หรือครึ่งเปอร์เซ็นต์ ที่รู้ว่าบิฮัชอยู่ที่ไหน. เมื่อซื้อหนังสือแล้ว ก็ดูชื่อว่าบิฮัชอยู่ที่ไหนได้.  เปิดวิทยุ - โทรทัศน์ ข่าวมาจากต่างประเทศ โผล่ขึ้นมาแล้ว ชื่อ บิฮัช.  “โอ๊ะ! นี่เองที่อยู่ในหนังสือของพระเจ้าอยู่หัว อันนี้เองบิฮัช.  โอ๊ย! ตีกัน โจมตีกัน.” ก็หมายความว่า เราก็ใจร้าย ดีใจที่เขาโจมตีเมืองบิฮัช เพราะจะได้แสดงให้เห็นว่าหนังสือนี้ศักดิ์สิทธิ์ หนังสือนี้ตรงกับความจริง ว่าเขาโจมตีกันที่บิฮัช.  เลยทำให้ท่านผู้อ่านรู้สึกสนุกว่าอยู่ในเหตุการณ์.  ทำให้สำนึกว่า เมืองไทยนี้ไม่มี บิฮัช ยังไม่มีและจะไม่มีบิฮัช.  อาจจะมีอย่างอื่น แต่ไม่มีบิฮัช.  ฉะนั้นที่บอกว่าไม่โฆษณา ก็ต้องโฆษณาต่อ เพราะว่าเป็นความผิดของเขาเอง ความผิดของเมืองที่เขาตีกัน.  เราอย่าให้เป็นเมืองที่เขาจะรู้จักเพราะตีกัน.

          ที่จะโฆษณาต่อไปอาจจะไม่จำเป็นที่จะโฆษณา.  เมืองไทยนี้วิเศษจริงๆ แต่ก็มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น.  น้ำท่วมนี่ รู้สึกเดือดร้อนกันมาก และไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่เดือดร้อน มีตั้งแต่ภาคเหนือลงมาถึงภาคใต้ ภาคอีสานก็มี.  แต่ว่าที่เดือดร้อนที่สุด เพราะอยู่ใกล้ที่นั่งของเรา ที่เรานั่งอยู่เดี๋ยวนี้ ก็คือกรุงเทพฯ.  เดือดร้อน แต่เรื่องมันไม่มากนัก เพราะมีสิ่งที่ช่วย.

          เมื่อน้ำท่วมอยู่ จวนจะแห้งแล้ว ทางกรมอุตุนิยมฯ โดย นายสมิทธ ธรรมสโรช 13  ได้ส่งพยากรณ์อากาศมาให้ และเขียนไว้เป็นโน้ต บอกว่า “กรมอุตุนิยมฯ ถวายเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ และเกี่ยวกับการพยากรณ์การเคลื่อนไหวของพายุ.” เปิดดู เขาบอกว่า “ถวายต่อด้วยเพื่อทรงพิจารณา.”  หมายความว่า กรมอุตุนิยมฯ มาใช้เราเป็นผู้พยากรณ์.  ก็เป็นเกียรติ.  เขาเขียนว่า “เพื่อทรงพิจารณา.”  ดูแล้วก็หนักใจอยู่ เพราะว่าดูในแผนที่อากาศ พายุแอนเจลล่า อ้วนจ้ำม่ำ อ้วนเหมือน แอนเจลล่า ในการ์ตูน.  ไม่ทราบว่าท่านทั้งหลาย เคยเห็นหรือเปล่า แอนเจลล่าที่เป็นอริกับ ป๊อบอาย.  คือในการ์ตูน ป๊อบอาย มี แอนเจลล่า ตัวอ้วนเบ้อเร่อ เป็นอริของป๊อบอาย.  นี่ละกำลังมาเป็นอริกับเรา.

          คุณสมิทธก็บอกว่า แอนเจลล่า นี่เป็นซุปเปอร์ไต้ฝุ่น น่ากลัว คร่าชีวิตในฟิลิปปินส์ ดูเหมือนเป็นพันกว่า.  ผ่านมาแล้ว มาในทะเลจีนใต้.  ตามธรรมดาเวลาพายุผ่านฟิลิปปินส์มาแล้วต้องผอมลง แต่ “คุณแอนเจลล่า” นี่ อ้วนขึ้นเป็นซุปเปอร์ไต้ฝุ่น.  เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร. ได้รับพยากรณ์อากาศนั้น ตอนบ่าย ก็บ่ายแก่ๆ.  มาดู เอ๊! เราจะทำอย่างไร.  ก็ดู มาถึงประมาณตีหนึ่งแล้ว ก็รู้สึกว่าต้องใช้ ไอที (IT) หน่อย ใช้ Information Technology.  เราก็ใช้ Information technology.  เอ๊! รู้สึกว่า แอนเจลล่าจะแพ้แรง.  จะต้องบอก ต้องเผยให้ทราบว่า แพ้แรง นางมณีเมขลา.  ท่านทั้งหลายก็คงเข้าใจ คงรู้จัก นางมณีเมขลา พอสมควรแล้ว.

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538, พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538 หมายถึง, พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538 คือ, พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538 ความหมาย, พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 2538 คืออะไร

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

คำยอดฮิต

Sanook.commenu