วันสารทจีน หรือ เทศกาลสารทจีน (Sart Chin Day or Ghost Festival or Spirit Festival) ตรงกับเดือน 7 ตามปีปฏิทินทางจันทรคติของจีน ที่โดยปกติแล้วจะช้ากว่าปีปฏิทินทางจันทรคติของไทยประมาณ 2 เดือน ซึ่งตามปีปฏิทินทางจันทรคติของไทยวันสารทจีนจะตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 วันไหว้สารทจีน 2565 ตรงกับวันที่เท่าไหร่นั้น คำตอบคือ วันที่ 12 สิงหาคม 2565 นับว่าเป็นอีกเทศกาลหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับชาวจีน เป็นช่วงเวลาที่ลูกหลานชาวจีนจะได้แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษด้วยการเซ่นไหว้ อีกทั้งยังเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายขึ้นมารับส่วนกุศลผลบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ไว้ได้อีกด้วย
เทศกาลสารทจีนถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้
Zhongguo nongli qiyue shiwuri shi Zhongyuan Jie.
จงกว๋อ หนงลี่ ชีเยฺว่ ฉือหวู่รื่อ ฉื้อ จงเยฺวี๋ยน เจี๋ย
วันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติจีน คือ วันเทศกาลจงเยฺวี๋ยน วันเทศกาล Zhongyuan ของจีน หรือที่เราเรียกว่า วันสารทจีน เป็นวันซึ่งทุกครอบครัวทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้น บางครั้งชาวจีนจึงเรียกวันดังกล่าวว่า GuiJie กุ่ยเจี๋ย หรือ Wangren Jie หวางเหรินเจี๋ย
- Gui = ผี ซึ่งเป็นคำเรียกคนที่ถึงแก่กรรมแล้ว
- Wangren = คนที่ตายไปแล้ว
- Jie = เทศกาล
GuiJie หรือ Wangren Jie จึงแปลว่า เทศกาลเซ่นไหว้ผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้ว
ชาวจีนเชื่อกันว่าวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 7 เป็นวันซึ่งวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะได้กลับมาเยือนโลกมนุษย์เพื่อมาเยี่ยมครอบครัวของตน เพราะฉะนั้น ในวันนี้ชาวจีนจะทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษกันทุกครัวเรือน
ตำนานวันสารทจีน
ตำนานที่ 1
ตำนานนี้กล่าวไว้ว่าวันสารทจีนเป็นวันที่เซ็งฮีไต๋ตี๋ (ยมบาล) จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรกนั่นเอง
ตำนานที่ 2
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า “มู่เหลียน” เป็นคนเคร่งครัดในพุทธศาสนามาก ผิดกับมารดาที่เป็นคนใจบาปหยาบช้าไม่เคยเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์มีจริง ปีหนึ่งในช่วงเทศกาลกินเจนางเกิดความหมั่นไส้คนที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลกินเจ นางจึงให้มู่เหลียนไปเชิญผู้ถือศีลกินเจเหล่านั้นมากินอาหารที่บ้านโดยนางจะทำอาหารเลี้ยงหนึ่งมื้อ ผู้ถือศีลกินเจต่างพลอยยินดีที่ทราบข่าวว่ามารดาของมู่เหลียนเกิดศรัทธาในบุญกุศลครั้งนี้ จึงพากันมากินอาหารที่บ้านของมู่เหลียนแต่หาทราบไม่ว่าในน้ำแกงเจนั้นมีน้ำมันหมูเจือปนอยู่ด้วย การกระทำของมารดามู่เหลียนนั้นถือว่าเป็นกรรมหนัก เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจีมหานรกขุมที่ 8 เป็นนรกขุมลึกที่สุดได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อมู่เหลียนคิดถึงมารดาก็ได้ถอดกายทิพย์ลงไปในนรกภูมิ จึงได้รู้ว่ามารดาของตนกำลังอดอยากจึงป้อนอาหารแก่มารดา แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมดและเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับเป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง แต่ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดาที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสมู่เหลียนได้เข้าไปขอพญาเหงี่ยมล่ออ๊อง (ท้าวมัจจุราช) ว่าตนของรับโทษแทนมารดา
แต่ก่อนที่มู่เหลียนจะถูกลงโทษด้วยการนำร่างลงไปต้มในกระทะทองแดง พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาโปรดไว้ได้ทัน โดยกล่าวว่ากรรมใดใครก่อก็ย่อมจะเป็นกรรมของผู้นั้นและพระพุทธเจ้าได้มอบคัมภีร์อิ๋ว หลันเผิน ให้มู่เหลียนท่องเพื่อเรียกเซียนทุกทิศทุกทางมาช่วยผู้มีพระคุณให้หลุดพ้นจากการอดอยากและทุกข์ทรมานต่างๆ ได้ โดยที่มู่เหลียนจะต้องสวดคัมภีร์อิ๋ว หลันเผินและถวายอาหารทุกปีในเดือนที่ประตูนรกเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของเขาให้พ้นโทษได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวจีนจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อมากันโดยตลอดด้วยการเซ่นไหว้ โดยจะนำอาหารทั้งคาวหวาน และกระดาษเงินกระดาษทองไปวางไว้ที่หน้าบ้านหรือตามทางแยกที่ไม่ไกลนัก มีนัยว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังจะผ่านมาใกล้ที่พักของตน
กิจกรรมวันสารทจีน
ชาวจีนเชื่อกันว่าวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 7 เป็นวันซึ่งวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะได้กลับมาเยือนโลกมนุษย์เพื่อมาเยี่ยมครอบครัวของตน เพราะฉะนั้น ในวันนี้ชาวจีนจะทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษกันทุกครัวเรือน กิจกรรมหลักคือ
Shao zhiqian ฌาว จื่อเฉียน เผากระดาษเงินกระดาษทอง
การเผากระดาษเงินกระดาษทองให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปนั้น ก่อนเผากระดาษ ต้องนำหินปูนมาขีดเป็นวงกลมซ้อนกัน 3-4 วงตรงลานบ้านที่จะใช้เผากระดาษ แล้วนำกระดาษเงินกระดาษทองวางไว้ให้อยู่ในวงกลมวงในสุดที่ขีดไว้ ด้วยความเชื่อว่าวงกลมที่วงไว้โดยรอบจะกันมิให้ผีไร้ญาติมาแย่งชิงเอากระดาษเงินกระดาษทองไปได้ หลังจากนั้นจึงเผากระดาษเงินกระดาษทองที่เตรียมไว้ ขณะที่เผาก็กล่าวเชิญบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปให้มารับเงินทองที่เผาไปให้โดยต้องพูดแบบไม่ขาดปากว่า
lai lingqian.
XX ไหล หลิ่ง เฉียน
XX มารับเงินด้วย
(XX คือให้เติมชื่อผู้ตาย หรือคำเรียก เช่น คุณปู่ คุณย่า ฯลฯ)
หลังจากเผากระดาษเงินกระดาษทองที่อยู่ในเส้นวงกลมหมดแล้ว ยังต้องนำกระดาษเงินกระดาษทองอีกชุดหนึ่งมาวางไว้นอกเส้นวงกลม แล้วเผาเพื่อแผ่ส่วนบุญให้แก่ผีไร้ญาติ
กิจกรรมวันสารทจีนที่ทำในแต่ละถิ่นของจีน ไม่ได้เป็นรูปแบบเดียวกันทั่วประเทศ คนจีนในบางถิ่นจะไปทำพิธีเซ่นไหว้ที่สุสานของบรรพบุรุษในตอนบ่าย บางถิ่นก็ทำพิธีเซ่นไหว้ที่บ้าน แต่สิ่งที่ขาดมิได้ก็คือ ทุกครัวเรือนไม่ว่าจะยากดีมีจน ต้องจัดอาหารอย่างดีโต๊ะหนึ่งเซ่นไหว้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ถือเป็นการเลี้ยงส่งก่อนที่วิญญาณผู้ล่วงลับทั้งหลายจะกลับไปยังภพของตน ดังนั้น จึงเรียกการจัดอาหารเซ่นไหว้นี้ว่า
Song Wangren
ซ่ง หวางเหริน
ส่งผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
อาหารที่ใช้เซ่นไหว้วันสารทจีน
อาหารที่ใช้เซ่นไหว้นอกจากหมูเห็ดเป็ดไก่แล้ว มักมีอีก 4 อย่าง คือ
- Baozi เปาจึ ซาลาเปา
- Jiaozi เจี่ยวจือ เกี๊ยวแบบเกี๊ยวจีน
- Mantou หมานโถว หมั่นโถว
- Pingguo ผิงกว่อ แอปเปิล
ในสมัยก่อน เมื่อยังเป็นสังคมเกษตรกรรม สิ่งที่ทุกครัวเรือนทำในวันนี้อีกสิ่งหนึ่งคือ การนำกิ่งธัญพืช 5 อย่าง เช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ถั่ว มาผูกรวมเป็นพู่ แล้วปักไว้เหนือประตูหน้าบ้าน โดยถือว่าพู่ธัญพืช 5 อย่างนี้ เป็นสัญลักษณ์แทนม้า เพื่อว่าเมื่อเสร็จพิธีเซ่นไหว้ และการเลี้ยงส่งแล้ว บรรพบุรุษก็จะได้ขี่ม้ากลับไป เป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่บรรพบุรุษของตน พู่ที่ใช้ในพิธีวันสารทจีน เรียกว่า wugu suizi หวูกู่ ซุ่ยจึ (พู่ที่ทำด้วยธัญพืช 5 อย่าง)
การไหว้ในเทศกาลสารทจีน
ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเซ่นไหว้ในช่วงสารทจีนนั้นนิยมทำกันในช่วงเช้า เริ่มต้นจากการเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง จากนั้นจึงนำเอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผาให้เรียบร้อย ต่อด้วยช่วงสายๆ จึงตั้งโต๊ะเพื่อทำการไว้บรรพบุรุษและไหวฮ้อเฮียตี๋ แต่ในบางบ้านบางครอบครัวก็นิยมไหว้กันในช่วงบ่าย หากไหว้พร้อมกันให้ตั้งโต๊ะแยกจากกัน แต่สามารถเผากระดาษเงินกระดาษทองร่วมกันได้ จะเห็นได้ว่า การไหว้ในช่วงเทศกาลสารทจีนจะมีความแตกต่างจากการไหว้ในเทศกาลอื่นๆ โดยได้แบ่งการไหว้ออกเป็นส่วนๆ 3 ส่วน 3 ชุด ดังนี้
- ชุดที่ 1 สำหรับไหว้เจ้าที่ เหมาะสำหรับไหว้ในช่วงเช้า มีเครื่องเซ่นไหว้เป็นอาหารคาวหวาน ขนมที่ใช้ไว้เป็นขนมถ้วยฟู กุยช่าย ส่วนขนมสำหรับไหว้ที่ควรมีตามประเพณีสารทจีน คือ ขนมเทียน ขนมเข่ง จะต้องแต้มจุดสีแดงไว้ตรงกลางขนม โดยจากความเชื่อของชาวจีนที่เชื่อว่า สีแดง เป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคล นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีผลไม้ น้ำชา หรือเหล้าจีน รวมไปถึงกระดาษเงินกระดาษทองด้วย
- ชุดที่ 2 ชุดสำหรับไหว้บรรพบุรุษ มีลักษณะคล้ายกับเครื่องเซ่นไหว้เจ้าที่ ไหว้พร้อมกับอาหารที่บรรพบุรุษชื่นชอบ ซึ่งตามธรรมเนียมจะต้องมีน้ำแกง หรือขนมน้ำใสๆ วางข้างๆ ชามข้าวสวยๆ รวมถึงชุดน้ำชาที่ต้องจัดเป็นชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ และที่ของไหว้ที่ขาดไปไม่ได้ คือ ขนมเทียน ขนมเข่ง ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง
- ชุดที่ 3 ชุดสำหรับเซ่นไหว้วิญญาเร่ร่อน หรือวิญญาณไร้ญาติ ชาวจีนมักเรียกวิญญาณที่ไม่มีญาติเหล่านี้ว่า ไป๊ฮ๊อเฮียตี๋ มีความหมายว่า ไหว้พี่น้องที่ดี นับเป็นการสะท้อนถึงความสุขภาพและให้เกียรติกันของชาวจีนโดยเรียกผีที่ไม่มีญาติ ว่า พี่น้องที่ดีของเรา ซึ่งการไหว้จะไหว้บริเวณนอกบ้าน มีของเซ่นไหว้เป็นอาหารคาวหวานและผลไม้ตามต้องการ รวมถึงต้องมีของพิเศษ อย่าง ข้าวหอมแบบจีนโบราณ เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง จากนั้นนำของทุกอย่างที่เตรียมไว้จัดให้วางอยู่ด้วยกันเพื่อเตรียมทำพิธีต่อไป
ขนมที่ใช้ไหว้วันสารทจีน
นสมัยโบราณชาวจีนใช้ขนมไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า โหงวเปี้ย หรือเรียกชื่อเป็นชุดว่า ปัง เปี้ย หมี่ มั่ว กี
- ปัง คือขนมทึงปัง เป็นขนมที่ทำมาจากน้ำตาล
- เปี้ย คือขนมหนึงเปี้ย คล้ายขนมไข่
- หมี่ คือขนมหมี่เท้า ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าข้างในไส้เต้าซา
- มั่ว คือขนมทึกกี่ เป็นขนมข้าวพองสีแดงตรงกลางมีไส้เป็นแผ่นบาง
- กี คือขนมทึงกี ทำเป็นชิ้นใหญ่ยาว เวลาจะกินต้องตัดเป็นชิ้นเล็กๆ
แต่ชาวไทยเชื้อสายจีนใช้ขนมเทียน ขนมเข่งในการไหว้ โดยหลักของที่ไหว้ก็จะมีของคาว 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ไก่ หมู เป็ด ไข่ หมึก ปลา เป็นต้น ของหวาน 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ขนมเทียน ขนมมัดไต้ ขนมถ้วยฟู หรือขนมสาลี่ปุยฝ้าย ขนมเปี๊ยะ ส้ม หรือผลไม้ตามใจชอบ
7 ข้อห้ามทำเมื่อถึงสารทจีน
- ห้ามแต่งงานในเดือนนี้
- ห้ามเดินทางบ่อยในเดือนนี้
- ห้ามอยู่นอกบ้านช่วงดึกดื่นในเดือนนี้
- ห้ามซื้อบ้าน / ห้ามย้ายบ้านในเดือนนี้
- ห้ามเริ่มงานก่อสร้างใดๆ ในเดือนนี้
- ห้ามดำเนินการเริ่มธุรกิจใดๆ ในเดือนนี้
- ห้ามว่ายน้ำตอนกลางคืนในเดือนนี้
ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า หากใครที่ทำข้อห้ามทั้ง 7 ข้อนี้ในวันสารทจีน จะซวยกันไปตลอดทั้งปีแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้นะ ฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็พยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด
ปฏิทินทางจันทรคติของจีน
ปฏิทินจันทรคติจีนคืออะไร เป็นปฏิทินจันทรคติที่ใช้กำหนดวันสำคัญต่างๆ ตามประเพณีจีน ในหนึ่งปีปฏิทินจะมี 12 เดือน แต่ละเดือนอาจมี 29 หรือ 30 วันขึ้นอยู่กับจังหวะของดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลก โดยเดือนที่มี 29 วัน เรียกว่า เดือนขาด ส่วนเดือนที่มี 30 วัน เรียกว่า เดือนเต็ม การกำหนดว่าเดือนใดเป็นเดือนเต็มหรือขาดมักจะอาศัยผลการคำนวณวันจันทร์ดับทางดาราศาสตร์ที่ทำไว้ดีแล้ว โดยนับเอาวันจันทร์ดับของเดือนหนึ่งเป็นดิถีที่ 1 จนถึงวันจันทร์ดับถัดไป ซึ่งจะได้ 29 หรือ 30 วัน วันจันทร์ดับ เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในทิศทางเดียวกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จึงหันด้านมืดเข้าหาโลก ทำให้มองไม่เห็นดวงจันทร์เมื่อมองจากโลก
การกำหนดเลขเดือน จะต้องให้วันวสันตวิษุวัต อุตรายัน ศารทวิษุวัต และทักษิณายันอยู่ภายในเดือนจันทรคติที่ 2 , 5 , 8 และ 11 ตามลำดับเสมอ หากจำเป็นจะต้องเติมเดือนอธิกมาสลงในปฏิทินข้างต้น โดยถือว่าเดือนที่ไม่มีภาวะเลขคู่เป็นเดือนอธิกมาส ใช้ลำดับเลขเหมือนของเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ เพื่อมิให้วันตรุษจีนต้องผิดไปจากเดิมมากนัก
แง่คิดวันสารทจีน ประเพณีสารทจีน นอกจากจะเป็นประเพณีที่ลูกหลานจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษซึ่งล่วงลับไปแล้ว ยังเป็นประเพณีที่มีกุศโลบายในการสนับสนุนให้ทุกคนในครอบครัวทำกิจกรรมร่วมกันอย่างพร้อมหน้าและมีความสุข
ขอบคุณข้อมูลจาก
db.onec.go.th, www.foodvillage.co.th, psu.ac.th, wikipedia