แม้ว่าเราจะบำรุงผิวของเราอย่างไร ก็ดูเหมือนเราไม่สามารถได้ผิวที่เราปรารถนาเสียที แม้ว่าเรื่องแบบนี้จะเป้นจริงบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะปล่อยปละละเลยการดูแลผิวไปได้ และที่สำคัญนั้น การไม่ทำอะไรบางอย่างกับผิว ก็สำคัญพอๆ กับข้อที่ควรทำเพื่อทำให้ได้ผิวสวยด้วย
ของบางอย่างที่เราทำกับผิว เราอาจจะทำโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าเป็นนิสัยของเราก็ว่าได้ บางทีเราอาจจะพอทราบ แต่บางทีเราก็ไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าการทำแบบนั้นเป็นเรื่องที่ทำร้ายผิวของตัวเอง ด้านล่างนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ควรทำกับผิวจำนวน 5 อย่าง เผื่อว่าเพื่อนๆ บางคนอาจจะมีนิสัยเสียที่ไม่รู้ตัว จะได้จัดการเปลี่ยนแปลงค่ะ1. นอนเน่าๆ แค่หัวข้อก็น่ากลัวมากค่ะ ความหมายของข้อนี้ก็คือการกลับบ้านแล้วทำนั่นนี่ จากนั้นก็หลับและนอนคาที่นอนโดยไม่ล้างหน้าเพื่อเอาเครื่องสำอางต่างๆ ออกจากผิวหน้าก่อนนอนนั่นเอง เพราะคิดดูว่า เครื่องสำอางนั้นอยู่บนผิวหน้าเรามามากกว่า 12 ชั่วโมงแล้วก่อนที่เราจะนอน แค่นั้นก็แย่แล้วที่บรรดาแป้ง รองพื้น มาสคารา เคลือบผิวเราอยู่เป็นเวลานาน ถ้าเรานอนไปอีก 7 ชั่วโมงก็จะกลายเป็น 19 ชั่วโมง แล้วคิดดูว่ารูขุมขนเราถูกอุดตันด้วยของเหล่านี้เป็นเวลานาน คงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิว รอยเหี่ยวย่น และเร่งปัญหาผิวต่างๆ ให้เกิดขึ้น ยิ่งมาสคารานั้นยิ่งต้องระวังเพราะผงที่หลุดร่วงออกมาอาจจะทำความระคายเคืองให้กับดวงตาได้ แน่นอนว่าการประหยัดเวลาทำความสะอาดเครื่องสำอางออกจากผิวหน้าก่อนการนอนหลับพักผ่อนนั้น ไม่คุ้มกับเวลาและเงินที่ต้องจ่ายเพื่อไปรักษาผิวหน้าเลย
2. ไม่ได้ไปทะเลสักหน่อย ดังนั้น เมื่อไม่ได้ไปทะเล จะทาครีมกันแดดไปทำไม แต่อย่าลืมนะคะว่าบ้านเรานั้นอากาศร้อนและแดดรุนแรง ไม่ต้องริมทะเลหรอกค่ะที่แดดแรง ในเมืองหรือชานเมือง หรือกลางทุ่งนี่ล่ะค่ะตัวดี ดังนั้นถ้าเพื่อนๆ ไม่ได้อยู่ในบ้านตลอดเวลาแล้วล่ะก็ การออกจากบ้านไปโดนแดดก็เป็นอันตรายต่อผิวแล้ว และยิ่งถ้าคิดในทางกลับกันว่า คนที่อยู่ในที่ร่มบ่อยๆ มักจะมีผิวขาวและบอบบาง มีชั้นของเมลานินไว้กรองแสงน้อยกว่า ยิ่งได้รับอันตรายจากรังสียูวีจากแสงแดดมากกว่า ยิ่งต้องทาครีมกันแดดไว้จริงไหมคะ ลองเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ระหว่าง 25 ถึง 40 แล้วแต่ว่าเรามีแนวโน้มว่าจะถูกแสงแดดแรงขนาดไหน จะดีกว่าไม่ทาเลย และถ้ากลัวว่าการทางครีมกันแดดจะทำให้เหนียวเหนอะหนะล่ะก็ สมัยนี้มีครีมกันแดดดีๆ ที่ทาแล้วไม่เหนียวให้เลือกมากมายค่ะ
3. ช่างแกะช่างแคะ ข้อนี้เป็นเรื่องของผู้ที่เป็นสิวโดยเฉพาะเลยทีเดียว พอเป็นสิวนิดหน่อยก็แทนที่จะรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้อง แต่กลับบีบ แกะ ด้วยตัวเองด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง การทำอย่างนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาแบบขอไปทีเท่านั้่นเพราะจะทำให้เกิดผลเสียตามมา ลองคิดดูว่าถ้าเราไม่ล้างทำความสะอาดมือให้เรียบร้อยก่อน การแกะสิวนั้นจะยิ่งเป็นการเอาเชื้อโรคใส่ลงไปในรูขุมขนของสิวนั้นเพิ่มเข้าไปอีก ยิ่งทำให้สภาวะสิวหนักกว่าเดิม อาจจะทำให้สิวเม็ดใหญ่กว่าเดิม และอาจจะทำให้เป็นแผลเป็นได้อีก ดังนั้นจงเอามือของเพื่อนๆ ออกจากหน้าเสียดีๆ นะคะ เวลาเป็นสิวก็จัดการล้างหน้าให้สะอาด และแต้มด้วยยารักษาสิวซะค่ะ
4. จับๆ คลำๆ ทั้งวี่วัน ที่จับที่คลำนี้ก็ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ แต่เป็นผิวหน้าของเรานั่นเอง บางคนมีนิสัยนี้โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ดังนั้นลองสังเกตดูนะคะว่าเพื่อนๆ มีนิสัยนี้หรือเปล่า เพราะอย่าลืมว่ามือของเราต้องสัมผัสอะไรๆ สารพัดอย่างในแต่ละวัน ก็เป็นของสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง เป็นของที่คนอื่นๆ อีกเป็นร้อยเป็นพันคนจับร่วมกับเราบ้างก็มี แม้ว่าเราจะล้างมือของเราบ้างในระหว่างวัน แต่เมื่อล้างเสร็จก็จับนั่นจับนี่ต่ออีก สรุปแล้วคือมีความเป็นไปได้มากว่ามือของเรานั้นสะอาดน้อย (ก็สกปรกนั่่นเอง) อยู่เกือบตลอดทั้งวัน และถ้าเราใช้มือไปจับผิวหน้าอยู่บ่อยๆ ก็จะทำให้ผิวหน้าสกปรกไปตลอดทั้งวัน และไขมัน น้ำมัน เชื้อโรค ก็จะสามารถเข้าสู่ผิวได้ทั้งวัน สร้างปัญหาให้เราได้ทั้งวันเช่นกัน แม้ว่าการหยุดนิสัยชอบจับหน้าตัวเองนี้จะค่อนข้างยาก แต่ก็ไม่ใช้ทำไม่ได้นะคะ แต่ก็ต้องระวังให้มากที่สุดและล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอในระหว่างวัน ก็จะช่วยได้มากเลยเชียว
5. ผิวมันจึงไม่ทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้น ในประเทศที่อากาศร้อนอย่างเมืองไทยเรา หลายคนอาจจะมีอาการผิวหน้ามันกว่าปกติ ดังนั้นหลายคนอาจจะเห็นว่าผิวหน้ามันอย่างนี้ก็คงไม่ต้องการการทาครีมบำรุงประเทศมอยส์เจอไรเซอร์ (ครีมเพิ่มความชุ่มชื้น) เพราะว่าธรรมชาติได้ทำหน้าที่ของมันให้กับเราแล้ว (พร้อมร้อง เย้! ในใจ) แต่ความจริงก็คือ ความชุ่มชื้นของผิวนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผิวของเรานุ่มนวล แต่งหน้าได้สวยขึ้น และคงความอ่อนเยาว์ได้นาน นอกจากนั้นในมอยส์เจอไรเซอร์บางอย่างนั้นมีคุณสมบัติของการกันแดดด้วย การไม่ทามันก็จะเป็นการไม่ทาครีมกันแดดไปด้วยอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นถ้าเพื่อนๆ ผิวมันสักหน่อย ก็จัดการหาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นสำหรับผิวมันมาใช้เสียนะคะ
ที่มาบทความ : womanandkid.comรูปภาพจาก : blogspot.com
