นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2551 หมายเลข 8
คลิป VDO ลับแนะนำงานที่สร้างรายได้ 50,000 บาท ในเดือนถัดไป รีบดูด่วนที่ www.por.321.cn
นโยบาย : "ริเริ่ม เร่งด่วน ติดตาม" โดยงานริเริ่ม จะทำให้ กทม. เป็นเมืองท่องเที่ยว ด้านเศรษฐกิจจะให้แม่ค้าขายของทั้ง 7 วัน และเทศกิจต้องไปช่วยงานตำรวจตรวจตราความปลอดภัยแทนการจับแม่ค้า งานเร่งด่วน จะสานต่องานที่ดีมีประโยชน์
งานเสริมทำออนไลด์ผ่าน net 100% รายได้ 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ขอย้ำว่าขั้นต่ำ สมัครที่ www.make.18.to
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย เกิดเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 เป็นนักการเมืองฝีปากกล้า ที่เป็นที่ชื่นชอบของคนวัยหนุ่มสาวจำนวนหนึ่ง มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Davis Kamol" ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เติบโตแถวเยาวราช ในครอบครัวที่ทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์ยี่ห้อ "ฮาร่า" โดยปัจจุบันธุรกิจนี้ดูแลโดยนายเลิศชัย กมลวิศิษฎ์ พี่ชายของนายชูวิทย์
นายชูวิทย์จบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนสหพาณิชย์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตึกชาญอิสสระ) มัธยมต้น โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา มัธยมปลาย โรงเรียนเทพศิรินทร์ ปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ปริญญาโท มหาวิทยาลัยซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
เดิมเป็นนักธุรกิจเจ้าของอาบอบนวดหลายแห่ง และก่อตั้ง "มูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฏ์" ต่อมาเปิดเผยเรื่องส่วย เป็นเรื่องที่เกรียวกราว ได้รับฉายาว่า "เสี่ยอ่าง" หรือ "จอมแฉ" จนก้าวมาสู่วงการเมือง ด้วยการลงสมัคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เบอร์ 15 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเสียงกว่าสามแสนคะแนน ต่อมานายชูวิทย์นำพรรคต้นตระกูลไทย ที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง เข้าร่วมกับพรรคชาติไทย และรับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นที่รู้จักในกลางปี พ.ศ. 2546 เมื่อปรากฏเป็นข่าว หายตัวไปอย่างลึกลับ ขณะมีคดีรื้อบาร์เบียร์ที่ ถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นคดีที่มีคู่ความเป็นตำรวจนครบาล ไม่กี่วันต่อมานายชูวิทย์ก็ปรากฏตัวข้างถนน ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ด้วยสภาพอิดโรย มีการนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อร่างกายเริ่มฟื้นแล้ว นายชูวิทย์ได้แฉว่า ถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มตัวไป จากนั้นนายชูวิทย์ก็ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะ เมื่อเจ้าตัวเริ่มทำการแฉ ถึงพฤติกรรมการทุจริตต่าง ๆ ของตำรวจ เช่น การรีดไถ่ การรับส่วย เป็นต้น จึงทำให้เป็นจุดสนใจของสังคมในระยะนั้น โดยบุคคลิกของนายชูวิทย์ขณะนั้นเป็นไปอย่าง ดุดัน ดุเดือด จริงจัง แต่หลังจากนั้นแล้ว นายชูวิทย์เริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป กลายเป็นบุคคลที่สนุกสนานเฮฮา มีสีสันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งการแฉถึงเรื่องราวการทุจริตต่างๆ ในสังคม ทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนจำนวนหนึ่ง
หลังจากเข้าสู่พรรคชาติไทยแล้ว ชื่อเสียงของนายชูวิทย์เริ่มหายเงียบไป แต่ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะๆ เช่นเป็นผู้หิ้วข้าวผัดและโอเลี้ยงไปเยี่ยม 3 อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก ในคดีทุจริตการเลือกตั้ง หรือ การออกป้ายหาเสียงแบบแปลกๆ แหวกแนวไม่เหมือนใคร เป็นต้น ในระยะแรกๆ ที่เข้าร่วมกับพรรคชาิติไทย นายชูวิทย์เคยมีข่าวขัดแย้งกับ น.ส.จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ หรือ "น้องแบม" ส.ส.หญิงภาพลักษณ์ดีของพรรคชาติไทย โดยมีข่าวว่า น.ส.จณิสตา ไม่ยอมรับในตัวนายชูวิทย์ ที่เคยประกอบธุรกิจอาบอบนวดมาก่อน
ในปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 นายชูวิทย์ได้ประกาศว่าจะไม่ขอลงเลือกตั้งในปลายปีไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม หลังจากได้รับการจัดให้เป็นตัวแทนพรรค สมัครรับเลือกตั้งแบบรายชื่อเป็นลำดับที่ 2 ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยยกลำดับที่ 1 ให้กับ พลเอกอัครเดช ศศิประภา (อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด บิดาสามีนางเอกชื่อดัง ลลิตา ปัญโญภาส) และเชื่อว่าตนเองจะไม่ได้รับการเลือก รวมทั้งได้โจมตีการบริหารพรรคของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคด้วย หลังการเลือกตั้ง เมื่อพรรคชาติไทยจากเดิมที่อยู่คนละข้างกับพรรคพลังประชาชนได้แสดงท่าทีจะไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับทางพรรคพลังประชาชน นายชูวิทย์ก็ได้โจมตีนายบรรหารอย่างรุนแรงขึ้น และได้ลาออกจากพรรคเป็นที่เรียบร้อย โดยได้ให้มอเตอร์ไซด์รับจ้างไปคืนเสื้อแจ็คเก็ตของพรรคที่ที่ทำการพรรคด้วย
ต่อมานายชูวิทย์เปิดแถลงข่าวขึ้นที่อาบอบนวดแห่งหนึ่ง ซึ่งนายชูวิทย์กล่าวว่า อนาคตทางการเมืองของเขาคงมืดมนจนไม่สามารถที่จะทำหน้าที่รับใช้ประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอยากจะทำอะไรให้กับประชาชนคนไทยไว้เป็นอุทาหรณ์สักอย่าง ดังนั้นจึงคิดว่าจะใช้เงินงบประมาณราว 100 ล้านบาท สร้างหนังและเขาจะกำกับเอง ตอนนี้คิดพล็อตเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว คะเนว่าถ้าไม่ติดขัดปัญหาอะไร ไม่เกินวันที่ 23 ธันวาคม 2550 หนังของเขาจะฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วราชอาณาจักรได้แน่
"ผมตั้งชื่อหนังไว้แล้วว่า 'เพื่อนกูรักมึงว่า' แต่อาจไปเหมือนกับเรื่องของคนอื่น จึงคงต้องตั้งใหม่เป็น 'เพื่อนกูรักมึงจัง' พล็อตเรื่องก็เป็นอะไรที่ง่ายๆ คือ ผู้ชายสองคนที่พยายามปิดบังความจริงในส่วนลึกของจิตใจตัวเองมาตลอดโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ จนกระทั่งทั้งสองคนอายุเลยเกษียณมาพอสมควร วันหนึ่งเมื่อชายวัยหมดเจริญพันธุ์ต่างคนต่างเห็นว่าถ้าไม่ทำอย่างที่ใจตัวเองต้องการ คงไม่มีวันไหนได้ทำหรือแสดงออกร่วมกันอีกแล้ว ในที่สุดชายทั้งสองจึงต้องทำในสิ่งที่หัวใจสั่งการลงมา"
ผู้สื่อข่าวถามว่า นี่เป็นพล็อตหนังเกย์ใช่หรือไม่ นายทำตาโต กล่าวเน้นคำว่า '"โน โน ไม่ใช่เลย ผมจะสร้างหนังเกี่ยวกับชายสองคนที่รักชาติบ้านเมืองเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้ มิหนำซ้ำยังไปคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ดังนั้นพอถึงโอกาสสำคัญพวกเขาจึงมารวมตัวกันเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขารักชาติจนตาฉ่ำ โดยกล่าวคำว่า 'เพื่อนกูรักมึงว่ะ' ก่อนจะจับมือทำงานร่วมกัน หลังจากที่ต่างคนต่างเดินบนถนนการเมืองมากว่า 20 ปี ไม่มีอะไรอย่างที่คุณถามมาเลย อ่ะ จริงจริ้ง อ้ะโด่...สาบานได้เลย ชูวิทย์ซะอย่างพูดเหมือนคิดอยู่แว้วววว"
ประสบการณ์การเมือง
- ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2547
- หัวหน้าพรรคต้นตระกูลไทย
- รองหัวหน้าพรรคชาติไทย
- ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย
- ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2551 (หมายเลข 8)
ข้อมูลจาก : https://singhadang.freeforums.org/topic-t211.html