สงสัยกันไหม ?
ทำไมเจ้าสาว ต้องโดยนดอกไม้
ในการแต่งงานแต่ละครั้งสิ่งที่เราจะเห็นประจำจนเป็นธรรมเนียมหรือประเพณีสำหรับการแต่งงานไปแล้วก็คือ การให้เจ้าสาวโยนดอกไม้ในวันแต่งงานค่ะ หลาย ๆ คนคงจะสงสัยกันใช่ไหมค่ะว่าทำไมจะต้องโยนทุกงานด้วย ไม่โยนไม่ได้เหรอ แล้วทำไมเวลาจะโยนทีไรสาวโสดทั้งหลายจะต้องแย่งกันรับด้วย?
จริง ๆ แล้ว การโยนดอกไม้ในวันแต่งงานคือธรรมเนียมการแต่งงานของชาวตะวันตก ซึ่งมีมาตั้งแต่สสมัยยุโรปยุคกลาง (ค.ศ. 400-476 ถึงค.ศ. 1453-1517 หรือประมาณ 1,600-500 ปีที่แล้ว) นานมาก ซึ่งในตอนแรก เจ้าสาวมักจะคิดว่าคงไม่ได้ใช้ชุดเจ้าสาวนี้อีกต่อไปแล้ว และมีความเชื่อกันว่า ชุดแต่งงานถือเป็นเครื่องรางนำโชคสำหรับผู้หญิงคนอื่น เมื่อพิธีแต่งงานเสร็จสิ้นลงเจ้าสาวมักจะยกชุดแต่งงานให้กับบุคคลอื่น ซึ่งบางทีอาจจะให้ไม่ทั่วถึงเพราะว่ามีชุดเดียว บรรดาสาวโสดทั้งหลายจึงได้พากันมารุมฉีกชุดแต่งงานออกเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ แล้วนำเก็บไว้
เมื่อเวลาผ่านไปชุดแต่งงานได้มีราคาสูงขึ้น และเริ่มมีประเพณีการเก็บชุดแต่งงานเอาไว้เป็นที่ระลึกหรือเพื่อให้ลูกสาวได้ใช้ต่อไปค่ะ และเพื่อป้องกันบรรดาสาวโสดมาฉีกชุดแต่งงาน จึงได้มีการคิดที่จะโยนสิ่งอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งสิ่งนั้นก็คือยางรัดถุงน่องค่ะ แต่ว่าไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนักจึงได้มีการเปลี่ยนเป็นการโยนดอกไม้แทนค่ะ เพราะว่าดอกไม้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการเจริญเติมโต และดอกไม้ก็ต้องมีวันเหี่ยวเฉาลง เจ้าสาวจึงไม่นิยมเก็บเอาไว้ค่ะ แต่ก็มีบางคู่ที่ไม่นิยมโยนดอกไม้นะค่ะ แต่จะแจกดอกไม้ให้แก่ผู้หญิงคนละ 1 ดอกแทนค่ะ (วิธีนี้ทั่วถึงมากค่ะ แต่ว่าเปลืองดอกไม้มาก) และบางคู่อาจจะไม่มีการโยนดอกไม้หรือว่าให้ดอกไม้เลยก็ได้ค่ะ
สำหรับข้อสงสัยที่ว่า ทำไมเวลาเจ้าสาวจะโยนดอกไม้ ทำไมต้องให้สาวโสดมารอรับด้วย ก็เป็นความเชื่อที่ว่าหากว่าสาวโสดคนไหนได้รับดอกไม้จากเจ้าสาว จะได้แต่งงานเป็นรายต่อไป
สำหรับดอกไม้เจ้าสาวในวันแต่งงานจะนิยมเลือกคือดอกกุหลาบ ค่ะ แต่ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวของเจ้าสาวด้วยค่ะ และนี่คือความหมายของดอกไม้ที่ใช้ในวันแต่งงานค่ะ