ความรู้ เกร็ดความรู้ สารานุกรม สารานุกรมออนไลน์ ความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป พจนานุกรม เกมส์ เพลงใหม่ เพลง

หนังสือศักดิ์สิทธิ์, หนังสือศักดิ์สิทธิ์ หมายถึง, หนังสือศักดิ์สิทธิ์ คือ, หนังสือศักดิ์สิทธิ์ ความหมาย, หนังสือศักดิ์สิทธิ์ คืออะไร
| เปิดอ่าน 0 | ความคิดเห็น 0
หนังสือศักดิ์สิทธิ์

                        การที่ยังคงมีหนังสือศักดิ์สิทธิ์ต่าง ฯ อยู่มากมายก็พิสูจน์ในตัวมันเองแล้วว่า โดยพิ้นฐาน มนุษยชาติมีนิสัยฝักใฝ่ศาสนา. อย่างไรก้ดี เดอะนิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริเทนนิกากล่าวว่า "หนังสือศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น แตกต่างกันอยู่มากในด้านรูปแบบ จำนวน อายุ และระดับความศักดิ์สิทธิ์" ### ส่วนที่เป็นทางการก็ได้แก่: ศาสนาคริสต์-คัมภีร์ไบเบิล / อิสลาม-กุรอ่าน / ยูดาย-ทัลมุด / ฮินดู-คัมภีร์เวท / พุทธ-ไตรปิฏก ส่วนที่ไม่ได้รับการยอมรับจากศาสนาใหญ่ ฯ  ว่าเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นหนังสือทางศาสนา นี้เป็นความจริงกับหนังสือิโคจิกิและบิฮอนจิิ ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของคนญี่ปุ่นและต่อศาสนาซินโต มาหลายศตวรรต.ชาวจีน ก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคำสอนของขงจื้อ-ปราชญ์ซึ่งยังไม่ทันเป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำตอนที่บาบูโลนเสียอำนาจแก่มิโด-เปอร์เซียในปี 539 ก่อนคริสกาล.กล่าวกันว่า 13 ข้อหลักรวมกับ 496 บท (ลันจู) เป็นคำสอนของขงจื้อ.
                        หนังสือที่มีอายุน้อยกว่าก็จัดอยู่ในภาวะศักดิ์สิทธิ์ด้วย ตัวอย่างเช่น สมาชิกคริสตจักรแห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย เชื่อว่าคัมภีร์มอร์มอน (จำเป็นต้องเพิ่มเข้ากับที่มีอยู่แล้วของคัมภีรืไบเบิล) ได้รับการจารึกลงแผ่นทองคำโดยผู้พยากรณ์ที่ชื่อ มอร์มอน ซึ่งภายหลังบุตรของเขา (มอรอนิ) ได้เอาบทจารึกนั้นไปฝังไว้ และต่อมาอีก 1400  ปี (ครึ่งแรกของศตวรรตที่ 19) ฑูตสวรรค์องค์หนึ่งได้พบแผ่นจารึกนั้นและได้มอบให้กับ โจเซฟ สมิธ เพื่อแปลแผ่นจารึกนั้น. หรือแม้แต่หนังสือที่ไม่ใช่ตำราทางศาสนาก็ถูกยกให้อยู่ในภาวะศักดิ์สิทธิ์ด้วยได้แก่: หนังสือชาร์ลล์ ดาร์วิน,คาร์ล มาร์ค,เมา เซตุงในศตวรรตที่ 19 และ 20 และผู้คนหลายล้านก็สนับสนุนความคิดของนักเขียนเหล่านี้ในเรื่องวิวัฒนาการและลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยถือว่าสำคัญเท่าศาสนา.

                      ต้องพิจารณาตัดสิน

                 
หนังสือศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ ถ่ายทอดกันมาโดยการเล่าสืบปาก บางครั้งก็ต่อเนื่องอยู่หลายศตวรรค ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องตัดสินว่าเนื้อหาส่วนใดเป็นการสั่งสมกันมาไม่ว่าจะเป็นการเล่าสืบปากหรือเป็นการเขียนขึ้น.โดยอาศัย "แคนอน" ซึ่งได้รับการนิยามว่า"ชุดตำรับหรือรายชื่อที่น่าเชื่อถือของหนังสือต่าง ฯ ที่ได้มีการยอมรับกันในฐานะเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์".
                       การบัญญัติด้วยแคนอนอย่างมีระบบไม่ใช่ทำได้ง่าย บางทีอาจเป็นไปไม่ได้ด้วย.ตัวอย่างเช่น ดิ เอ้นไซโคล
พีเดีย อ็อฟ รีลิเจ้นท์ ถือว่า คัมภีร์ไตรปิฏกของศาสนาพุทธ โดดเด่น เพราะมีแคนอนอยู่หลายชุด และกล่าวว่า "คัมภีร์แต่ละชุดแตกต่างกันในหลายวิธีที่สำคัญ และมีเพียงไม่กี่ข้อ ที่จะสามารถพบได้ในทุก ฯ ชุดคำสอนที่ตกทอดมา.ความยุ่งเหยิงนี้ทำให้เกิดนิกายต่าง ฯขึ้นมาซึ่งทางประวัติศาสตร์เรียกว่า "สิบแปดสำนัก" ตามแนวคิดแบบศาสนาพุทธ.
                       ในอีกด้านหนึ่ง ศาสนาฮินดู ได้ทำการแยกแคนอนอันเป็นที่ยอมรับกับเนื้อหาซึ่งไม่ถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์.หนังสือนั้นได้แก่ ศรุติ-หมายความว่า "เรียนโดยการฟัง"พาดพิงถึงการเปิดเผยครั้งแรก ได้รวมเอาคัมภีร์เวท และอุปนิษัทไว้ด้วย.
หนังสือสมฤติ-หมายความว่า "การระลึกได้" เสริมเข้ากับ ศรุติ ให้สมบูรณ์ ทั้งอธิบายและขยายความให้ศรุติอย่างละเอียด.ดังนั้นจึงถือว่า
สมฤต ิเป็นหนังสืออันดับรอง-เกือบจะอยู่ในแคนอน ทั้งฯที่ในความเป็นจริงแล้วชาวฮินดูส่วนใหญ่รู้เกี่ยวกับศาสนาของตน ล้วนจากสมฤติ.
                        พวกที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนก็ลำบากใจในการบัญญัติแคนอนกับคัมภีร์ไบเบิล นิกายโรมันคาทอลิคและออร์โธดอกซ์ ที่แพร่หลายในกรีก และรัสเซียส่วนใหญ่ ได้ให้ทัศนะว่า  พระธรรม 13 เล่มที่เพิ่มเติม บางส่วนหรือทั้งหมดเป็นแคนอนอันดับรอง ชาวโปรเตสแตนต์เรียกหนังสือเหล่านั้นว่า apocryphal ซึ่งเดิมหมายความว่า "ถูกปิดซ่อนไว้อย่างระมัดระวัง" เพราะหนังสือเหล่านั้นไม่ได้มีการเอามาอ่านอย่างเปิดเผย. ทุกวันนี้ยังมีการแสดงนัยว่า มีข้อสงสัยกับหนังสือเหล่านั้น.เจมส์ เอซ.ซาร์ลเวริด์ แห่งมหาวิทยาลัยปรินซตัน กล่าวว่า " เมื่อการรวบรวมคัมภีร์ไบเบิลอันดับแรกเสร็จโดยชาวยิวและต่อมาโดยผู้มีอำนาจในศาสนาคริสเตียน ซึ่งไม่ได้รวมหนังสือเหล่านี้ไว้ด้วย   หนังสือจึงด้อยค่าลงอย่างรวดเร็วและหมดความสำคัญ" จนกระทั่งปี 1546 แห่งสากลศักราช ณ.การประชุมศาสนาที่เมืองเทรน ได้มีแถลงการณ์รับเอาพระธรรมเหล่านี้ี้ ใีห้เป็นส่วนแห่งแคนอนของคัมภีร์ไบเบิล.

                        ความน่าเชื่อถือ

                        การถ่ายทอดข้อมูลโดยการบอกเล่า รายละเอียดที่สำคัญอาจลืมได้ การดัดแปลงเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ความหมายของเจตนาแรกผิดไปได้ . จึงเป็นที่น่าสังเกตกับหนังสือศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา คัมภีร์ไบเบิล จัดอยู่ในจำพวกแรกที่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร.ที่จริง โมเซ ได้เขียนส่วนแรกเสร็จในปี 1513 ก่อนคริสตกาล. เมื่อเปรียบเทียบกับคัมภีร์อุปนิษัท ที่เป็นส่วนขยายของคัมภีร์เวทได้เรียบเรียงเป็นภาษาสันสกฤต ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรตที่แปด ก่อนคริสตกาล.  ซึ่ง วิล ดูแรนท์ นักประวัติศาสตรืบอกว่า "เป็นบทเพลงที่พัฒนาขึ้นพร้อมกับคนชั่วอายุต่าง ฯ ที่นำเรื่องราว (ที่ได้จารึกไว้เมื่อปี 1656 ก่อนส.ศ.) ขึ้นมาร้องซ้ำอีก เจตนาก็ เพื่อได้ยินเสียงไม่ใช่การจารึก"
                        ชาวฮินดูและพุทธบางคน อ้างว่าเฉพาะการกล่าวออกเสียงเท่านั้นจะทำใ้ห้ความหมายและความสำคัญของคัมภีร์ปรากฏชัดที่สุด.พวกเขาจึงเน้นไปในเรื่องบทสวดมนต์ ถ้อยคำ หรือประโยคที่เป็นสูตรสำเร็จ ซึ่งมีการสมมุติว่าแฝงด้วยพลังเพื่อความรอด.>>>>>>น่าสนใจเช่นกันว่า ไม่ใช่หนังสือศาสนาทุกเล่มอ้างว่ามาจากพระเจ้า หรือได้รับการระบุว่าควรเผยแพร่เพื่อผู้คนทั่วไปได้อ่าน.ตัวอย่างเช่น คัมภีร์อุปนิษัทของฮินดู (หมายถึง การนั่งใกล้ฯ) ที่เรียกแบบนั้นเพราะครุสอนศาสนาเคยชินกับการสอนซึ่งถือเป็นความลับ
ให้กับเฉพาะศิษย์ืคนโปรดหรือคนที่อยู่ใกล้ชิด ด้วยเหตุนี้ เดอะ เอ็นไซโคลพีเดีย อ็อฟ ริลิเจ้นท์อธิบาย่ว่า "อุปนิษัทแฝงด้วยความหมายหลักพื้นฐานคือการเก็บความลับ" และเพิ่มเติมว่าบทเรียนเหล่านั้ไม่ได้มีไว้เพื่อจุดมุ่งหมายจะให้ประชาชนทั่วไปรู้....แต่กับคนที่ถูกเลือกไว้เท่านั้น.
                         อีกด้านหนึ่ง มะหะหมัดได้พิจารณาใ้ห้คัมภีร์กุรอ่านภาษาอาหรับเป็นหนังสือสำหรับชาวอาหรับ ถึงแม้มีข้อเท็จจริงว่า ผู้กล่าวคำเหล่านั้นคือพระเจ้า.แต่ก็ถือกันว่าการแปลกุรอ่านเป็นภาษาอื่นฯไม่สมควร. เพราะฉะนั้น ต้องข้อความภาษาอาหรับอย่างเดียวที่จะนำมาอ่านออกเสียงได้และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางพิธีกรรม.สิ่งนี้อาจเตือนใจชาวคาทอลิคได้ว่า มีแตภาษาลาตินเท่านั้นที่เคยใช้ในพิธีสวดของนิกายโรมันคาทอลิค.
                        ในทางตรงกันข้าม คัมภีร์ไบเบิลหาได้จำกัดข่าวสารไว้สำหรับชนกลุ่มใดโดยเฉพาะไม่.ผู้ที่สนับสนุนคัมภีร์ไบเบิลให้เหตุผลว่า "เป็นคำของพระเจ้า" และดังนั้น "ปัจเจกชนทุก ฯคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะได้รับประโยชน์จากถ้อยคำแห่งสติปัญญาของพระผุ้สร้างของเขา".ดังนั้น พอถึงปี 1977  เดอะบุ๊ค ออฟ ลิสท์ซ ได้ประเมินว่ามีการพิมพ์ไบเบิลจำหน่ายราว 3 พันล้านเล่ม.และ ปี 1988 ได้รับการแปลมากถึง 1884 ภาษา.

ความหมายของหนังสือศักดิ์สิทธิ์
 ### ฮินดู:-        คัมภีร์เวท มาจากภาษาสันสกฤตหมายถึง "ความรู้"
                                                                     พุทธ:-       ไตรปิฏก มาจากภาษาสันสกฤตหมายถึง "รวบรวมได้สามตระกร้า"
                                                                     ชินโต:-      โคจิกิและบิฮอนจิ  หมายถึง "เรื่องราวสมัยโบราณ/พงศาวดารญี่ปุ่น"
                                                                     ลัทธิเต๋า:-   เต๋า-เตชิง ภาษาจีน หมายถึง "วิถีทางแห่งอำนาจ"
                                                                     ขงจื้อ:-      ลันจูู ภาษาจีน หมายถึง "การสนทนา"
                                                                     ศาสนายิว:-ทัลมุด มาจากภาษาฮิบรู หมายถึง "การเรียนรู้"
                                                                     คริสต์:-       คัมภีร์ไบเบิล มาจากภาษากรีก หมายถึง "หนังสือเล็กฯหลายเล่ม"
                                                                     อิสลาม:-     กุรอ่าน มาจากภาษาอาหรับ หมายถึง "การอ่านออกเสียง"
                                                                    ไซโรอัสเตอร์:-อเวสตา แผลงมาจากภาษาอิหร่านอเวส-ตาน ที่เลิกใช้แล้ว.
                                                           
                                                           
                                                 


หนังสือศักดิ์สิทธิ์, หนังสือศักดิ์สิทธิ์ หมายถึง, หนังสือศักดิ์สิทธิ์ คือ, หนังสือศักดิ์สิทธิ์ ความหมาย, หนังสือศักดิ์สิทธิ์ คืออะไร

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

คำยอดฮิต