คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์
คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์, คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์ หมายถึง, คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์ คือ, คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์ ความหมาย, คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์ คืออะไร
การอัศจรรย์เป็นปรากฎการณ์ที่ก่อให้เกิดความพิศวง น่าทึ่งเกินกว่าที่ความสามารถของมนุษย์ตามธรรมชาติจะทำได้. กระนั้นเราอ่านพบในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าและพระเยซู และคนอื่น ฯ ด้วยได้ทำการอัศจรรย์หลายอย่างเพื่อสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า..ประเด็นนี้ได้ทำให้นักวิพากษ์วิจารณ์ นักเทววิทยายืนยันว่า นั่นเป็นการเล่าเรื่องที่เกินจริง. นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญาและคนอื่น ฯ อีก รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ลงรอยกับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่บอกว่าเป็นเรื่องของความไม่รู้และการถือโขคลาง อย่างไรก็ตาม เพียงแต่ยืนยันว่าการอัศจรรย์ไมได้เกิดขึ้นจริง ก็ยังไม่ใช่ข้อพิสูจน์สรุปว่า การอัศจรรย์ไม่ได้เกิดขึ้น.
เปรียบเทียบความแตกต่างกับไสยศาสตร์,เวทมนตร์ดุ
การอัศจรรยืในคัแภีร์ไบเบิลเด่นตรงที่ทำในที่เปิดเผย ไม่ลึกลับ เรียบง่าย วัตถุประสงค์และแรงกระตุ้นที่ทำไม่มีการร่ายรำด้วยท่าทีพิเศษ แต่มักเกิดขึ้นในสถานการณ์ประจวบเหมาะ หรือมีการร้องขอเจาะจง ไมมีการเตรียมการในเรื่องสถานที่ อุปกรณ์สำหรับทำเป็นพิธีการ หรือจัดฉาก คนที่ทำก็ไม่ได้ถูกกระตุ้นจากความปราถนาเพื่อจะเด่นดังหรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่ทำเพื่อจะถวายเกียรติ์แก่พระเจ้า พวกเขาไม่เคยทำเพื่อให้เกิดความฉงน และสนองตอบความอยากรู้อยากเห็น แต่เป็นการช่วยเหลือเสมอ บางครั้งด้านร่างกาย แต่ทุกครั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางด้านจิตใจ เพื่อจะนำูผู้คนมาสูุ่่การนมัสการพระเจ้า. การอัศจรรย์ของพระเยซูทั้งการรักษาโรคหรือการควบคุมธรรมชาติ ทำโดยเปิดเผย ไม่โอ้อวด และเรียบง่าย พระองค์รักษาโรคให้แก่ทุกคน และไม่เคยแก้ตัวว่ารักษาไม่ได้ เพราะบางคนที่มาหาพระองค์ขาดความเชื่อในพระเจ้า-ที่จริงคนป่วยนั้นหายทุกคน.> มัดธาย 8 : 16 ; 9 : 35 > มาระโก บท 1 -9
แต่ไสยศาสตร์นั้นเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องลาง,อำนาจลึกลับ,การแสดง และพิธีกรรมเพื่อให้เกิดสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และบ่อยครั้งก็เล่นกล เพื่อให้คนดูเชื่อว่า คนนั้นมีอำนาจวิเศษ ซึ่งวัตถุประสงค์ก็เพื่อความมั่งคั่งและชื่อเสียงสำหรับตนเอง.
พยานหลักฐานที่บอกเรา
ที่เอ็กโซโด บท 7 - 12 การอัศจรรย์ที่โมเซกับอาโรนได้ทำต่อประเทศอียิปติ์ เพื่อนำภัยพิบัติ 10 ประการลงเหนือประเทศนั้น ได้ทำอย่างเปิดเผยต่อหน้ากษัตริย์ฟาโรห์,ข้าราชการและพวกนักบวชของท่าน ซึ่งยังผลต่อผู้คนจำนวนมาก เมื่อภัยพิบัติที่ 3 เกิดขึ้น (ตัวริ้นเต็มทั่วไปทั้งแผ่นดิน) เอ็กโซโด 8 : 16-19 พวกนักเล่นกลของฟาโรห์ ต้องยอมรับและทูลแกกษัตริย์ว่า ..." เหตุการนี้ เป็นกิจการแห่งนิ้วพระหัตถืพระเจ้า " การแยกน้ำทะเลแดงที่ทะเลแดง ชาวอียิปต์ต้องยอมรับว่า "พระเจ้าทรงกระทำกิจอันทรงฤทธิ์เพื่อชาวยิศราเอล " เอ็กโซโด 14 : 25 เมื่อมาเรียมัคดารา รายงานว่ากับเหล่าสาวกของพระเยซูว่าพระองค์ได้ฟื้นคืนพระชนฆ์ (หลังจากตายแล้ว 3 วัน) พวกเขาไม่เชื่อ แต่เมื่อได้เห็นและสนทนากับพระองค์ พวกเขาต้องยอมรับ > ลูกา 24 ต่อมาสาวกมัดธายและโยฮันผู้ซึ่งได้เห็นพระเยซูสิ้นพระชนฆ์ ก็ได้ยืนยันว่าพระเยซูคืนพระชนฆ์แล้ว > มัดธาย 27:50 ; 28 :16,17 เปาโลซึงเห็นพระเยซูคืนพระชนฆ์ ได้พูดถึงความประทับใจกับเพื่อนฯของท่านเกี่ยวกับประสบการณ์นั้นในช่วง ปี 55 ส.ศ.แม้เหตุการณ์จะล่วงเลยมานานถึง 22 ปีแล้ว.( พระเยซูสิ้นพระชนฆ์ และคืนพระชนฆ์ปี 33 ส.ศ.) 1โกรินทร์ 15 : 3-8
หากเป็นเรื่องไม่จริง คนเราก็คงไม่เก็บเป็นความทรงจำไว้นานเพียงนั้นแน่นอน. ที่จริงมนุษย์มีเชาว์ปัญญาจำกัด อาจไม่เข้าใจทุกอย่างว่าการอัศจรรย์นั้นได้เกิดขึ้นอย่างไร? เช่นเดียวกับที่เขาไม่รู้ทั้งหมดเกี่ยวร่างกาย,อวัยวะ ว่ามันทำงานอย่างไร.จริง ไม่มีประจักษ์พยานใดฯบนแผ่นดินโลกที่ได้เห็นตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ กระนั้นการืืืืืืืที่ เี่ราเอง มีชีวิตอยู่ ก็พิสูจน์ว่าเรื่องนั้นได้เกิดขึ้นจริง.
พระเจ้ามีวัตถุประสงค์
มีหลายเหตุผลว่า ทำไมพระองค์สำแดงกิจให้เป็นการอัศจรรย์แก่มนุษย์ การช่วยชาวยิศราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ ก็เพื่อพิสูจน์แก่ฟาโรห์และประชาชนของเขาว่า พระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ในฐานะองค์บรมมหิศร. มักใช้การอัศจรรย์เพื่อระบุว่าใครได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าจริง.ผู้สังเกตการณ์ได้มาเข้าใจในภายหลังว่า ในกรณีของ โมเซและพระเยซูรวมทั้งคนอื่นฯอีก รับใช้พระเจ้า ไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ทำการอัศจรรย์ แต่ในฐานะผู้สอนและผู้พยากรณ์ที่ทรงส่งมา.กรณีของพระเยซู เป็นการระบุตัวพระองค์ว่าเป็น พระมาซีฮา ที่ทรงสัญญากับโมเซ. การงานที่ทรงฤทธิ์พิสูจน์ยืนยันว่างานมอบหมายและข่าวสารรวมถึงคำพยากรณ์ของพระองค์สำเร็จเป็นจริง. การงานของพระองค์เกี่ยวข้องกับปัญหาของมนุษยชาติ ซึ่งพิสูจน์ถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์์
์ การที่พระเยซูรักษาโรคภัยหาย ปลุกคนตายให้ฟื้น โดยอัศจรรย์พิสุจน์ว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูไว้เพื่อปลดปล่อยมนุษยชาติจากความผิดบาปและความตาย.
ความเชื่อในพระเจ้า-ไม่ต้องอาศัยการอัสจรรย์.
พระเจ้า-ยะโฮวา ไม่ได้ทรงตั้งพระทัยให้การอัศจรรย์เป็นลักษณะิถาวรแห่งการนมัสการของคริสเตียน ถ้าหากสิ่งนี้ยังมีอยู่ ก็ไม่อาจโน้มน้าวให้ทุกคนเชื่อ.ดังเช่นในสมัยของพระเยซู ที่ไม่ใช่ทุกคนถูกกระตุ้นให้ยอมรับเอาคำสอนของพระองค์. ความเชื่อในพระเจ้าอาศัยหลักฐานหนาแน่นของสิ่งที่จะเกิดขึ้น; การอัศจรรย์เป็นเพียงมีส่วนเสริมความเชื่อ แต่ก็ไม่จำเป็นที่พระเจ้าต้องสำแดงการอัศจรรย์ในปัจจุบันเพื่อพิสุจน์ว่าพระองค์มีจริง แต่ปัจจุบันความจริงเกี่ยวกับพระองค์พบได้ในคัมภีรืไบเบิลที่ได้รับการดลใจ ความรู้นั้นไม่อ่อนหรือเป็นแบบผิวเผิน แต่มีแก่นสารและทรงพลัง.ผู้นมัสการพระเจ้าถูกกระตู้นโดยความเชื่อ ไมใช่ตามที่ตาเห็น คริสเตียนเชื่อว่าพระคำที่ได้รับการดลบันดาลนั้นคือความจริง.โดยทำความคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ คนที่แสวงหาพระเจ้าก็จะพบพระองค์ได้จริ็ง . เพื่อจะได้ประโยชน์ ก็ต้องคุ้นเคยกับราชกิจของพระองค์ทุกประการดังที่บันทึกไว้ในพระคำนั้น ราชกิจหลายอย่างที่่กล่าวไว้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า. เช่น.-พระองค์จะพิพากษาโลกกับระบบชั่วในปัจจุบัน > 2เปโตร 3 : 7 และหลังจากนั้นจะยังความยินดีและสันติสุขมาสู่ผู้ชอบธรรม ผู้ซึ่งรักและยำเกรงพระองค์.> 2 เปโตร 3 : 13.
คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์, คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์ หมายถึง, คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์ คือ, คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์ ความหมาย, คัมภีร์ไบเบิลและการอัศจรรย์ คืออะไร
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!