บทความต่อไปนี้แปลจากเว็บของ BBC โดย James Robbins ผู้สื่อข่าวของบีบีซี ชื่อจริง ๆของบทความที่ถูกเขียนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม คือ
Iraq 'facing grim future'
อิรัก "กำลังเผชิญกับอนาคตอันมืดมน"
สถาบันซึ่งเป็นมันสมองเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศชั้นนำคือ Chatham Houseกำลังเตือนว่า อิรักกำลังพบกับความเป็นไปได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับการล่มสลายและการแตกเป็นเสี่ยงๆ
รายงานชิ้นใหม่จาก Chatham House ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงลอนดอน และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นสถาบันในพระบรมราชูประถัมภ์เกี่ยวกับกิจการการต่างประเทศ แถลงว่า รัฐบาลอิรักบัดนี้กำลังไร้ซึ่งไร้อำนาจอย่างยิ่งและไม่สามารถเข้าควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศในขณะที่สงครามกลางเมืองและการรบแบบกองโจรแบบย่อย ๆ ได้เกิดขึ้นตามจุดต่าง ๆ
รายงานได้เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธของสหรัฐฯและอังกฤษเพื่อที่จะช่วยกอบกู้สถานการณ์
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Chatham House สถาบันเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศซึ่งได้รับการนับถืออย่างแพร่หลายได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงเกี่ยวกับกลยุทธของอเมริกาและอังกฤษในอิรัก
ในรายงานฉบับล่าสุด เขียนโดย ดร.กาเร็ต สแตนฟิลด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางนั้นดูมืดดำลงเรื่อย ๆ
ดร.สแตนส์ฟิลด์ แห่งมหาวิทยาลัย Exeter และ Chatham House กล่าวว่า การแตกตัวเป็นเสี่ยง ๆของอิรักนั้นมีความเป็นไปได้สูงขึ้นทุกที
เขากล่าวว่า ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ รัฐบาลอิรักนั้นไร้อำนาจ ในขณะที่ก๊กต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูกันกำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในท้องถิ่น
ในรายงานชิ้นนี้ที่ชื่อว่า "การยอมรับความจริงในอิรัก"ระบุว่า "ไม่มีสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ครั้งเดียวในอิรัก แต่มีสงครามกลางเมืองและการรบแบบกองโจรย่อย ๆ มากมายเกี่ยวข้องกับชุมชนและองค์กรจำนวนมากในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ"
ด็อกเตอร์ผู้นี้ยังได้กล่าวอีกว่า "ถึงแม้อาเควด้าจะถูกต่อต้านในบางพื้นที่โดยผู้นำชาวอิรักในท้องถิ่นผู้ไม่ต้องการให้องค์การก่อการร้ายมายุ่งย่าม แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างอันชัดเจนอยู่เบื้องหลังการต่อต้านนั้น"
เพื่อนบ้านของอิรักก็มีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าเช่นกันในการส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางภาคพื้นดินมากกว่าอังกฤษหรือสหรัฐฯ
รายงานกล่าวหาว่า รัฐเพื่อนบ้านของอิรักขนาดใหญ่แต่ละรัฐเช่นอิหร่าน ซาอุดิอาระเบียและตุรกี มีเหตุผล "ในการผลักดันให้ความไร้เสถียรภาพในอิรักดำเนินต่อไป และแต่ละรัฐต่างใช้วิธีการต่าง ๆ กันในการทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงทุกที"
รายงานได้กล่าวอีกว่า "เราจำเป็นต้องยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันอันเลวร้ายนั้น หากต้องการกลยุทธใหม่เพื่อป้องกันความล้มเหลวและความล่มจมของอิรัก"
ความต้องการการเปลี่ยนแปลง
ดร.สแตนฟิลด์เห็นว่าการรุกอย่างรวดเร็วของกองทัพสหรัฐฯ คือการนำความรุนแรงไปให้ตามพื้นที่ต่างๆ แต่ไม่อาจจะชนะมันได้
เป็นที่แน่นอนว่าทางลอนดอนและวอชิงตันเริ่มระแคะระคายขึ้นเรื่อย ๆ ว่าผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐในอิรักคือ นายพล เพทราอุสมีแนวโน้มที่จะขอเวลาเพิ่มในการรุกในช่วงฤดูร้อนนี้เพื่อให้เกิดการบรรลุผล
สิ่งนี้จะนำรัฐบาลของบุชไปสู่สภาวะแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ประธานาธิบดีได้ใช้สิทธิในการวีโต้กฏหมายซึ่งขีดเส้นตายสำหรับการถอนทหารของกองทัพสหรัฐ จากอิรัก
กฏหมายนี้ได้รับการยอมรับจากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก
สมาชิกรัฐสภาผู้ต่อต้านสงครามเชื่อว่าการวีโต้ส่งสัญญาณว่าเป็นประธานาธิบดีเพียงผู้เดียวที่ต้องรับผิดชอบในการนำกองทัพสหรัฐฯเข้าข้องเกี่ยวกับอิรักต่อไปรวมไปถึงจำนวนทหารที่ล้มตาย
รายงานเรียกร้องให้รัฐบาลของทั้งลอนดอนและวอชิงตันในการเปลี่ยนท่าที
มันกล่าวว่าผู้นำทางศาสนาหัวรุนแรงนามว่า Moqtada Sadr แห่งกองทัพเมห์ดิ (หนึ่งในกลุ่มติดอาวุธชิอะห์)ควรที่จะถูกจัดให้เป็นพันธมิตร ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติต่อเขาในฐานะศัตรูต่อไป
และรายงานยังเรียกร้องให้มีการเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแห่งนี้
ภาพและที่มา www.bloggang.com