การแพ้ยา
เมื่อคุณรับประทานยาแล้วเกิดผื่น หรือแน่นหน้าอก แสดงว่าคุณอาจจะมีอาการแพ้ยา แต่การเกิดผลข้างเคียงจากยามิใช่หมายความว่าแพ้ยาเสมอไป อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นก็ได้ และผู้ป่วยก็ยังสามารถรับยานั้นได้ แต่ถ้าหากเกิดจากแพ้ยาผู้ป่วยต้องหลีกเลี่ยงยาที่แพ้โดยเด็ดขาด
การแพ้ยาหมายถึงเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้มักจะเกิดอาการหลังรับประทานยา ทันทีหรือไม่เกิน 2 ชั่วโมงอาการที่สำคัญได้แก่
- ผื่นคัน
- คัดจมูก
- หายใจไม่ออก หายใจเสี่ยงดังหวีด
- บวมแขนขา
การที่จะทราบแน่ชัดต้องทำการทดสอบภูมิแพ้ หลังจากที่ทราบชื่อยาที่แพ้แล้วก็จดชื่อยาที่แพ้ไว้กับตัว หรืออาจจะทำป้ายติดไว้กับตัว การรักษาที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงจากยาชนิดนั้นโดยเด็ดขาด ก่อนที่แพทย์จะจ่ายยาต้องบอกแพทย์ทุกครั้งว่าแพ้ยาอะไร ก่อนรับยาจากเภสัชกรต้องถามชื่อยาและบอกว่าแพ้ยาอะไรแก่เภสัชกรเนื่องจากยาชนิดเดียวกันอาจจะมีหลายชื่อ ผลเสียที่เกิดจากยาอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- Overdose or toxicity ได้รับยาเกินขนาด เช่นการได้ราปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อหากได้ติดต่อกันนานๆอาจจะมีผื่นเกิดขึ้น
- Secondary effects ผลข้างเคียงจากฤทธิ์ของยา เช่นเร่รับประทาน aspirin เพื่อแก้ปวดแต่เกิดเลือดออกง่าย เลือดออกง่ายเป็นผลจากยา aspirin
- Side effects คือผลข้างเคียงของยา เช่นกินยาลดน้ำมูกจะมีอาการปากแห้งใจสั่น นอนไม่หลับ กินยาแก้หอบหืดจะมีอาการมือสั่นใจสั่น กินยาแก้ปวดจะมีอาการปวดท้อง ท่านสามารถอ่านผลข้างเคียงได้จากสลากยาที่กำกับ อาการข้างเคียงไม่จำเป็นต้องเกิดกับทุกคนที่กินยา อาจจะเกิดกับบางคนเท่านั้น
- Drug interactions ท่านหากรับประทานยามากกว่าหนึ่งชนิดท่านต้องทราบว่ายาสองชนิดมีปฏิกิริยาส่งเสริมหรือหักล้างกันหรือไม่ทั้งในแง่ของการรักษาและผลข้างเคียงของยา เช่นรับประทานยาชนิดหนึ่งและเมื่อได้ยาอีกชนิดหนึ่งซึ่งอาจจะส่งผลให้ยานั้นออกฤทธิ์หรือผลข้างเคียงมากขึ้นและอาจจะเป็นอันตรายแก่ผู้ใช้ยา
- Idiosyncratic reactions เป็นปฏิกิริยาที่เกิดโดยคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดอาการภูมิแพ้หรือไม่
โปรดจำไว้ว่าหากท่านจะรับประทานยาหรือสมุนไพรท่านต้องคำนึงถึงการแพ้ยาทั้งที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้และจากอย่างอื่น นอกจากนั้นท่านที่รับประทานยามากกว่า สองชนิดต้องระวังว่าอาจจะเกิดผลเสียแก่ตัวท่าน
การเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้
เมื่อร่างกายได้รับสารชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย ทางผิวหนัง ทางรับประทาน ทางลมหายใจ หรือจากการฉีดยา หากร่่งกายรับสารนั้นได้ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกาย แต่หากสารนั้นเป็นสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย อาจจะรุ่นแรงมากจนทำให้เกิดเสียชีวิตกระทันหันเรียกว่ายังไม่ได้ถอนเข็มก็เกิดอาการแล้ว หรือบางกรณีอาจจะเกิดปฏิกิริยาภูมิมาในภายหลังโดยที่ตัวคนไข้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปรับสารใดมาบ้าง ความรุนแรงและความรวดเร็วของการเกิดภูมแพ้ขึ้นชนิดของภูมิแพ้ซึ่งแบ่งออกเป็น
IgE - Mediated Reaction
เมื่อร่างกายได้รับสารภูมิแพ้ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgE ขึ้นเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม
- IgE จะจับกับโปรตีนของสารภูมแพ้และเกาะกับผิวของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า Mast cell
- หลังจากนั้นจะเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ตามมาทำให้เกิดการหลังของสารเคมอีกหลายชนิด histamine heparin Protease Eosinophil chemotactic factor Neutrophil chemotactic factor ,Leucotriene ,prostaglandin
สารต่างๆเหล่านี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมแพ้เฉียบพลันที่เรียกว่า Anaphylaxis ซึ่งมีอาการดังต่อไปนี้
- ลมพิษ
- ความดันโลหิตต่ำ
- คัน
- Angioedema
ตัวอย่างสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ชนิดนี้
- ยาโดยเฉพาะกลุ่ม pennicillin
- การให้เลือด
- วัคซีน
- ฮอร์โมน
Cytotoxic/Cytolytic Reaction
ร่างกายจะสร้างภูมิชนิด IgG,iGm ,Complement มาจับกับโปรตีนของสารก่อภูมิแพ้ทำให้มีการทำลายของเซลล์โดยเฉพาะเซลล์ของเม็ดเลือดทำให้เกิด การแตกของเม็ดเลือดแดง( Immune hemolytic anemia) เกล็ดเลือดต่ำ(Thromobocytopenia) เม็ดเลือดขาวต่ำ (Granulocytopenia) ตัวอย่างยาที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาชนิดนี้
- pennicillin
- quinidine
- sulfonamide
- methyldopa
Immune Complex Reaction
ภูมิของร่างกายจะรวมกับโปรตีนของสารภูมิแพ้เกิดสารที่เรียกว่า immune complex ซึ่งจะไหลเวียนไปในกระแสเลือด เมื่อimmune complex นี้ไปเกาะที่เส้นเลือดก็จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาดังนี้
- เกร็ดเลือดจะมาเกาะรวมกลุ่ม plattlet aggregation
- มีการกระตุ้นเซลล์ Mast cell activation
- มีการกระตุ้น ทำให้เกิด การรั่วของผนังหลอดเลือด{permiability} การหลั่งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ(ทำให้เกิดปวด บวม แดง ร้อน)
อาการของภูมิแพ้ชนิดนี้ได้แก่
- ไข้
- ผื่นที่ผิวหนัง
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- ปวดข้อ
- ไตอักเสบ
- ตับอักเสบ
ยาที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดนี้ได้แก่
- hydralazine ยาลดความดันโลหิต
- procanamide
- isoniazid ยารักษาวัณโรค
- phenyltoin ยากันชัก
T-cell Mediated Reaction
ปฏิกิริยาภูมิแพ้เกิดจากเซลลT-cell์ lymphocyte ถูกกระตุ้นเมื่อได้รับสารภูมิแพ้ อาการที่สำคัญของการเกิดภูมิแพ้ชนิดนี้คือพวกผื่นแพ้ที่เกิดจากการสัมผัส
แพ้ยาทำให้เกิดไข้
ท่านที่เป็นโรคติดเชื้อและซื้อยารับประทาน หลังจากรับประทานไประยะหนึ่งไข้ไม่ลง ซึ่งอาจจะเกิดจากแพยาก็ได้ ยาที่เกิดอาจจะเป็นไข้ต่ำๆตลอด หรือไข้สูงเป็นช่วงๆยาที่มักจะทำให้เกิดไข้คือยากลุ่มปฏิชีวนะ เมื่อหยุดยา 24-48 ชั่วโมงไข้ก็จะลงเอง
ยาที่ทำให้เกิดผลภูมิแพ้ที่ตับ
ปฏิกิริยาภูมิแพ้อาจจะทำให้เกิดการอักเสบของตับ โดยตับจะโตและเจ็บเมื่อเจาะเลือดตรวจจะพบว่ามีค่า SGOT,SGPT สูงและอาจจะมีดีซ่าน ยาที่ทำให้เกิดตับอักเสบที่พบบ่อยได้แก่
- phenotiazine
- sulfonamide
- halathane
- phenyltoin
- Isoniazid
ยาที่ทำให้เกิดโรคปอด
ผู้ป่วยที่ใช้ยาเป็นประจำเช่นยา nitrofurantoin sulfasalaxine นานๆอาจะทำให้เกิดโรคที่ปอด ทำให้เกิด ไข้ ไอ และมีผื่น เมื่อเจาะเลือดพบว่า eosinphil ในเลือดสูง การรักาาให้หยุดยานั้นเสีย
การแพ้ยา penicillin
ยากลุ่ม penicillin เป็นยาที่แพ้ได้บ่อยที่สุด การเกิดภูมิแพ้ได้หลายแบบ IgE,Immune Complex,Cytotoxic เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแพ้ยาpenicillin อาการแพ้มีได้หลายแบบ
- ลมพิษ
- คัน
- ผื่นได้หลายๆแบบ
- แพ้แบบรุนแรงได้แก่ หนังตา ปากบวมที่เรียกว่า angioedema กล่องเสียงบวม(laryngeal edema) หลอดลมเกร็ง()ความดันโลหิตต่ำ
- บางรายผื่นเป็นมากทำให้เกิดลอกทั้งตัวที่เรียกว่า steven johnson syndrome
- ในทางห้องทดลองพบว่าผู้ที่แพ้penicillin สามารถแพ้ยากลุ่ม cephalosporin ดังนั้นหากสามารกเลือกยากลุ่มอื่นได้น่าจะเป็นการปลอดภัย
- การแพ้ยา cephalosporin ก็ไม่จำเป็นต้องแพ้ penicillin
penicillin เมื่อให้ในโรคต่อไปนี้จะทำให้เกิดผื่นได้ง่าย
- ติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะ infectiuos mononucleosis
- ,มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- กรดยูริกในเลือดสูง
- ให้ยาpenicillin ร่วมกับ allopurinol
แพ้ยา sulfonamide
ยา sulfonamide เป็นยาผสมในยาหลายชนิดได้แก่ ยาปฏิชีวนะ(bactrim) ยาแก้ปวด() ยาขับปัสสาวะ ยาลดน้ำตาลในเลือด
การแพ้ aspirin
อาการของผู้ที่แพ้ aspirin มีได้หลายรูปแบบ
- ผื่นลมพิษ
- angioedema หน้าหนังจาปากบวม
- น้ำมูกไหล
- หลอดลมเกร็งทำให้แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หากเป็นมากอาจจะมีตัวเขียว ริมฝีปากเขียว
- ความดันโลหิตต่ำ
- ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หรือไซนัสอักเสบจะแพ้ได้ถึงร้อยละ30-40
การรักษาอาการแพ้ยา
สำหรับผู้ทีอาการแพ้เฉียบพลัน
- ให้หยุดยานั้นทันที
- หากมีอาการแพ้รุนแรงแบบ anaphylaxis ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายถึงกับชีวิต ต้องไดรับยา epinephrine
- สำหรับผู้ที่มีผื่นลมพิษหรือ angioedema ให้ยาแก้แพ้รับประทาน
- ให้ยา steroid ชนิดรับประทาน
สำหรับผู้ที่แพ้ไม่เฉียพลัน
- ให้หยุดยาที่สงสัย หลังหยุดยาผื่นอาจจะยังเกิดขึ้นต่อไปได้อีก
- หากผื่นเป็นน้อยให้ยาแก้แพ้ชนิดเดียวก็น่าจะพอ
- สำหรับผู้ที่มีผื่นมากและมีท่าจะเป็นมากขึ้นก็สามารถให้กิน steroid ชนิดกินระยะสั่นๆ
- สำหรับผู้ที่มีการอักเสบของไต serum sickness ปวดข้อ อาจจะต้องให้ยา steroid และยาแก้แพ้รับประทาน
ที่มา https://www.siamhealth.net/Disease/allergy/drug.htm