เราจะทำอย่างไรดี ในสภาพที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนอย่างมาก - Sanook! พีเดีย

     ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงเวลาของความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นนิวยอร์กลดลงต่ำกว่า 9,000 จุด หรือลดลงมากกว่า 20 % ภายในสัปดาห์เดียว ตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียต่างลดลงกันอย่างทั่วหน้า ดัชนีนิกเคอิลดลงต่ำกว่า 10,000 จุด ดัชนีหุ้นไทยก็ไม่พ้นจากหายนะในครั้งนี้ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลงกว่า 100 จุดภายในเวลาเพียง 3 วันทำการ จาก 590 จุดในวันที่ 3 ตุลาคม 2551 เหลือ 490 จุด ในวันที่ 8 ตุลาคม

     ถ้านับจากจุดที่ดัชนีสูงสุดในปีนี้ที่ 884 จุดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมจนถึงปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยลดลงไปแล้วถึง 44.5 % และก็ยังไม่มีสัญญาณที่แน่ชัดว่าว่าจะหยุดลงเมื่อไหร่ นักลงทุนรายใหญ่ รายย่อย หรือแม้แต่กระทั่งนักลงทุนสถาบันต่างขาดทุนกันถ้วนหน้า ที่ทนไม่ได้ต้องตัดขาดทุนถือเงินสดออกจากตลาดไป ส่วนที่ยังถือหุ้นอยู่ต้องทนดูราคาหุ้นตกลงไปทุกๆวันอย่างน่าใจหาย ยังไม่นับถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวมต่างๆที่มูลค่าการลงทุนต้องลดลงไปตามภาวะตลาดหุ้น

     สาเหตุสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้เนื่องมาจากนักลงทุนต่างเห็นว่าเหตุการณ์วิกฤตซับไพร์มที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก เพราะสหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าสหรัฐอเมริกาถดถอยจะทำให้ประเทศอื่นๆที่พึ่งพิงอเมริกาในการส่งออกแย่ไปด้วย รวมไปถึงตลาดโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน และแร่โลหะต่างๆจากการคาดการณ์ถึงปริมาณความต้องการที่ลดลง

     อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงทั่วโลก เนื่องมาจากสถาบันการเงินต่างๆทั้งในอเมริกาและยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากซับไพร์มต้องการเงินสดเพื่อไปเสริมสภาพคล่องของบริษัทแม่ในต่างประเทศ จึงขายหุ้นที่ถืออยู่ในตลาดหุ้นทั่วโลกออกมา ตลาดประเทศเกิดใหม่จะเป็นแหล่งแรกๆที่ถูกขายออกมาทำให้ตลาดหุ้นทั้งเอเชียลดลงเกือบ 50 % นับจากต้นปี รวมถึงตลาดหุ้นในรัสเซีย อเมริกาใต้และยุโรปตะวันออก สำหรับประเทศไทยคงหนีไม่พ้นเรื่องของความไม่สงบทางการเมืองที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศจึงขายหุ้นที่ถืออยู่ รวมทั้งทำให้นักลงทุนใหม่ๆยังลังเลที่จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย จนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 1.3 แสนล้านบาท นับว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ตั้งตลาดหลักทรัพย์เป็นต้นมา

     วิกฤตการณ์ซับไพร์มครั้งนี้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วโลก นักลงทุนต่างขายหุ้นออกมาราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าหุ้นหลายๆตัวถูกขายออกมาโดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐาน ราคาปัจจุบันเมื่อเทียบกับพื้นฐานกิจการแล้วถือว่าถูกมากๆ แต่ยังไม่มีใครกล้าซื้อเพราะไม่รู้ว่าราคาหุ้นจะตกลงไปอีกเท่าไหร่ ผิดกับวิกฤตเศรษฐกิจไทยเมื่อปี 2540 ที่พื้นฐานกิจการของบริษัทจดทะเบียนของไทยได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทและเศรษฐกิจถดถอยโดยตรง ราคาหุ้นที่ตกลงในช่วงนั้นเป็นการสะท้อนว่าพื้นฐานของกิจการแย่ลง แต่ในทางกลับกันวิกฤตเศรษฐกิจในอเมริกาคราวนี้ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นอื่นๆทั้วโลกตกลงไปด้วย

     ช่วงนี้ถือว่าเป็นการมองโลกในแง่ร้ายสุดๆของนักลงทุนทั่วโลก นักลงทุนไทยไม่ต้องน้อยใจเพราะในต่างประเทศก็เจอสภาพเดียวกับเราเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ตั้งคำถามว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ใช้ได้จริงๆหรือ เพราะนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่ถือหุ้นในพอร์ตต้องขาดทุนกันถ้วนหน้า

     คำตอบของคำถามนี้อยู่ที่ว่าเราเชื่อมั่นในพื้นฐานของกิจการของบริษัทและหลักการลงทุนของเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราเชื่อมั่นว่าหุ้นที่ถือเป็นกิจการที่ดีมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมจนถึงอนาคตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจแกว่งตัวไปมา แต่ในระยะยาวราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานของกิจการนั้นๆ อยู่ที่ว่าใครจะรอได้ไม่ได้           โดย คุณวีระชาติ ชุตินันท์วโรดม

          ที่มา TSI Investment Wiki
 
          แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
               https://www.tsi-thailand.org/
               https://www.set.or.th/