ในยามที่หุ้นมีราคาร่วงลงเกือบทุกวัน และราคาหุ้นในขณะนี้ตกต่ำลงเกือบ 50 % จากต้นปีหรือในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนรายย่อยหรือที่เป็นบุคคลธรรมดาต่างก็เข้ามาซื้อหุ้น เพราะคิดว่านี้เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่สุดที่จะได้ซื้อหุ้นถูก และคาดหวังที่จะเห็นหุ้นปรับตัวกลับขึ้นมาอย่างแรงและรวดเร็ว พวกเขาคิดอย่างนั้น เพราะไม่เห็นว่าบริษัทที่เขาซื้อจะมีปัญหาอะไร แต่ราคาตกลงมามากเกินกว่าปกติ คงไม่ต้องพูดว่าพวกเขาต่างก็ผิดหวังกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะหุ้นที่เขาซื้อมาในราคาที่พวกเขาคิดว่าถูกแสนถูก กลับปรับตัวลดลงไปอีก หลายคนตัดสินใจขายทิ้งตัดขาดทุน หลายคนยังเก็บหุ้นไว้และปลอบใจตัวเองว่า ไม่ช้าก็เร็วหุ้นคงกลับขึ้นมาเป็นขาขึ้นอีก เมื่อภาวะตลาดหุ้นดีขึ้น หรืองบการเงินที่ดูดีจะถูกประกาศออกมาและคนจะแห่กลับมาซื้อหุ้นที่ตัวเองซื้อไว้
ในตอนนี้คงเป็นเรื่องที่พูดได้ยากว่าพวกเขาคิดถูกหรือคิดผิดที่เข้ามาซื้อหุ้นในยามที่มีวิกฤติในตลาดหุ้น เหตุก็เพราะว่าหุ้นที่เขาซื้อ เขาอาจจะไม่รู้จริงว่าสถานะจะเป็นอย่างไรในอนาคตในอีกไม่กี่เดือนหรือปีหน้า อย่าลืมว่าราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาพใหญ่ที่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจการเงินเท่านั้น แต่รวมถึงภาพเล็กซึ่งก็คือผลการดำเนินงานของบริษัทด้วย นักลงทุนเมื่อประสบปัญหาภาวะวิกฤติตลาดหุ้น และเข้ามาซื้อหุ้นแม้ในราคาที่ต่ำมาก จะต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงกว่าปกติ แต่สำหรับบริษัทแล้ว ภาวะวิกฤติในตลาดหุ้นที่ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทตกต่ำลงมามาก และดูเหมือนว่าจะเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการซื้อหุ้นตัวเองคืน ถ้าบริษัทมีเงินสดอยู่ในมือมากพอ หรือมีความสามารถในการระดมเงินสดได้มากพอ เหตุผลก็คือ บริษัทหรือผู้บริหารย่อมที่จะต้องรู้จักสถาะในการดำเนินงานและการเงินของตนเองดีพอที่จะมั่นใจได้ว่า หุ้นของบริษัทถูกเกินความเป็นจริงไปมาก และการซื้อหุ้นของบริษัทก็จะเป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้นในอนาคต อย่างไม่ต้องสงสัย
การที่บริษัทซื้อหุ้นคืนมองในภาพใหญ่ก็คือการที่หุ้นที่เหลืออยู่จะมีจำนวนน้อยลง ดังนั้นเวลาแบ่งส่วนของผู้ถือหุ้นแต่ละหุ้นก็จะมีมากขึ้น ดังนั้นโดยทางทฤษฎีแล้ว ราคาหุ้นก็น่าจะปรับตัวสูงขึ้น ผู้ถือหุ้นอยู่ก็จะได้ประโยชน์ ถ้ามองในอีกด้านหนึ่ง การซื้อหุ้นคืนก็อาจจะเหมือนว่ากับว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทเห็นว่าหุ้นของบริษัทมีราตาถูกมาก และอยากจะซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ไม่มีเงินแล้ว หรือคิดว่าไม่อยากจะเสี่ยงเพิ่มอีก แต่ว่าตัวบริษัทเองก็ยังมีเงินเหลืออยู่ ผู้ถือหุ้นในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัทจึงคิดว่าน่าจะใช้เงินของบริษัทเข้าไปซื้อหุ้นแทน และผู้บริหารของบริษัทก็เห็นสอดคล้องกันว่าราคาหุ้นของบริษัทมีราคาถูกเกินไปจริงๆเมื่อเทียบกับพื้นฐานของบริษัท ดังนั้นการซื้อหุ้นของบริษัทคืนก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี และความเสี่ยงน่าจะมีจำกัด และนี่ก็คือที่มาของการที่บริษัทจะซื้อหุ้นของตนเองคืนจากตลาดหุ้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องของการคิดพิจารณาอย่างที่มองว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทที่ผู้ถือหุ้นทุกคนรวมถึงเจ้าของที่เป็นผู้บริหารมีผลประโยชน์ที่สอดคล้องกันที่อยากจะเห็นบริษัทมีมูลค่า หรือมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น และทุกฝ่ายได้ประโยชน์เท่ากันตามสัดส่วนของการถือหุ้น แต่ในความเป็นจริงก็คือ หลายบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะในบริษัทจำนวนมาก ผลประโยชน์ของผู้บริหาร เจ้าของ และผู้ถือหุ้นรายย่อยมักจะไม่ตรงกันมากนัก เฉพาะอย่างยิ่งก็คือผู้บริหารมักจะชอบเก็บเงินของบริษัทเอาไว้มากๆ เพราะสามารถสั่งการเอาไปใช้ได้ และการมีเงินสดมาก เจ้าของบริษัทก็สมารถบริหารได้อย่างสบายใจ เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ควบคุมบริษัทก็เช่นกัน เขามักจะสั่งการใช้จ่ายเงินของบริษัทได้มากกว่าส่วนที่เขาจะได้ประโยชน์จากเรื่องของราคาหุ้น ดังนั้น เขาก็มักจะลังเลถ้าจะต้องเอาเงินสดไปซื้อหุ้นของบริษัทคืน
เรื่องของการซื้อหุ้นคืน ที่จริงก็เคยมีการทำกันคึกคักกันอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. อนุญาตให้บริษัทจดทะเบียนทำได้เมื่อหลายปีก่อน แต่ในครั้งนั้น หลายๆบริษัททำด้วยเหตุผลที่ต้องการให้ราคาหุ้นของบริษัทตัวเองเพิ่มขึ้น เพราะคิดว่าแรงซื้อจากบริษัทจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทตัวเองเพิ่มขึ้น โดยอาจจะไม่ได้สนใจหรือเห็นว่าราคาหุ้นของบริษัทมีราคาถูกจริงๆ แต่หลังจากที่ทำแผนซื้อหุ้นคืนแล้ว ก็ปรากฏว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับขึ้นตามที่หวัง แต่บริษัทกลับเสียเม็ดเงินที่ผู้บริหารมีอำนาจสั่งการไป ทำให้ความนิยมในการซื้อหุ้นคืนจึงหมดไป อย่างไรก็ตาม การซื้อหุ้นบริษัทคืนที่กำลังมีการพิจารณากันมากขึ้นในรอบนี้ น่าจะมีความเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่าในอดีตมาก ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าในรอบนี้ ราคาหุ้นส่วนใหญ่ตกลงมามาก และมีราคาถูกมากเป็นประวัติการณ์ ขณะเดียวกันเม็ดเงินส่วนใหญ่ที่บริษัทมีอยู่ก็มีมากกว่าในอดีตมาก เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนมีกำไรในระดับที่ดีมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และก็ไม่ได้มีการลงทุนมากนักในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น การพิจารณาซื้อหุ้นบริษัทคืนในยามที่นักลงทุนต่างชาติกำลังเทขายหุ้น เพราะต้องการเงินเร่งด่วน จึงเป็นทางเลือกที่มีความเหมาะสมในระดับหนึ่ง ดุเหมือนว่าตลาดหลักทรัพย์ฯและ ก.ล.ต. เองก็พยายามที่จะกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนพิจารณาซื้อหุ้นคืน แต่ก็ไม่แน่ว่าในที่สุดแล้ว จะมีกี่บริษัทที่ซื้อหุ้นตัวเองคืน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าบริษัทที่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อหุ้นคืน ราคาหุ้นของตัวเองก็ไม่ได้ตกลงมามากนัก ในขณะที่บริษัทซึ่งมีราคาหุ้นที่ตกลงมามาก ก็อาจจะไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อหุ้นคืน ครั้นจะไปขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินมาซื้อหุ้นคืน ก็ทำได้ค่อนข้างยาก ในภาวการณ์แบบนี้ ถ้ามีบริษัทใดที่ประกาศจะซื้อหุ้นตัวเองคืน และเราก็ดูแล้วว่าพื้นฐานของกิจการดังกล่าวยังดีอยู่ และน่าจะดีต่อไปในอนาคตแม้ว่าเศรษฐกิจดูเหมือนจะยังไม่พ้นวิกฤติ ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีว่า ผู้บริหารของบริษัทรู้จักดูแลรักษาผลประโยชน์และความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นทุกคน และเขาก็มั่นใจในอนาคตของบริษัท ซึ่งข้อควรพิจารณาทั้งสองก็น่าจะทำให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจซื้อหุ้นเหล่านี้ได้อย่างสบายใจ
โดย คุณวีระชาติ ชุตินันท์วโรดมที่มา TSI Investment Wiki
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
https://www.tsi-thailand.org/
https://www.set.or.th/