ในทศวรรษนี้ ศาสตร์การบริหารที่ได้รับความนิยมในภาคธุรกิจเอกชนเป็นอย่างมาก คือ หลักการบริหารแบบ CEO เหตุผลประการสำคัญที่ทำให้นักบริหารธุรกิจเอกชนให้ความสนใจหลักการบริหารแนวใหม่นี้ เพราะสามารถนำพาให้องค์กรฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อปี 2540 และทำให้องค์กรอยู่รอดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาหลายแห่งได้ใช้หลักการบริหารแบบนี้ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และวิกฤตเศรษฐกิจที่มีผลกระทบมาจากเหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถูกผู้ก่อการร้ายถล่มเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งบริษัทหลายแห่งประสบความสำเร็จและสามารถอยู่รอดได้จนถึงปัจจุบันนี้ (สำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด 2547, 3)
ความหมาย
Webster
แนวคิด CEO
แนวคิดซีอีโอในภาคเอกชน มีแนวคิดสำคัญ คือ ประธานหรือหัวหน้าฝ่ายบริหารสูงสุดของบริษัทได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่จากคณะกรรมการอำนวยการ หรือบอร์ดของบริษัทให้มีอำนาจในการจัดการซึ่งรวมถึงการกำหนดนโยบาย การตัดสินใจ และการใช้อำนาจจัดการบริษัทอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเนื่องจากหัวหน้าฝ่ายบริหารดังกล่าวจะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการทำให้บริษัท มีกำไรหรือขาดทุน เจริญหรือเสื่อม จึงจำเป็นต้องมีอำนาจดังกล่าว ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นซีอีโอของภาคเอกชนจึงได้รับการแต่งตั้งจากผู้มีอำนาจหรือคณะกรรมการอำนวยการของบริษัท โดยต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถสูง และซื่อสัตย์สุจริต บริษัทจะให้ค่าตอบแทนสูง มอบอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พร้อมกับจัดสรรวัสดุอุปกรณ์ให้ซีอีโอ เพื่อทำให้สามารถจัดการกิจการทั้งหลายของบริษัทให้ประสบผลสำเร็จทางวัตถุประสงค์ที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน แต่ถ้าซีอีโอปฏิบัติงานล้มเหลวหรือไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ ผู้มีอำนาจหรือคณะกรรมการอำนวยการของบริษัทก็จะสั่งปลดได้ (วิรัช วิรัชนิภาวรรณ 2546, 52)
แนวคิดซีอีโอ ซึ่งอาจเรียกว่า
คุณสมบัติของ CEO
คุณสมบัติของ CEO (สุวิทย์ ยิ่งวรพันธุ์ 2544, 6)
1. ความสามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นได้อย่างดีเยี่ยงนักการทูต รวมทั้งการวางตัวสง่าผ่าเผย
เหมาะสมกาลเทศะ
2. ความสามารถในการวางแผนและการระดมทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถบริหารงานได้ตามคำสั่ง หรือข้อบังคับของบริษัท
3. ความสามารถในการมอบอำนาจการปฏิบัติงานให้กับลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
4. ความสามารถในการควบคุมและประเมินผลงานทุกขั้นตอน และทุกตำแหน่ง
5. ความสามารถในการเผชิญปัญหา และกล้าตัดสินใจด้วยข้อมูลสถิติ เหตุผลที่ตรวจสอบเรียบร้อยอยู่ในกรอบของอำนาจหน้าที่
6. ความคิดริเริ่มในการที่จะให้สัมฤทธิ์ผล ความคิดริเริ่มใหม่ ๆ มิใช่นั่งรอ แต่โอกาส หรือรองาน
7. ปฏิบัติงานด้วยจิตใจที่มั่นคง เมื่อเผชิญกับปัญหา หรือความกดดันจากฝ่ายตรงข้ามทุกฝ่าย
8. ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเผชิญกับงานชนิดใด ความรับผิดชอบ หรือประชาชนไม่ว่าจะมาในรูปใด
9. ปฏิบัติงานด้วยความมั่นคงแน่วแน่ต่อแผนที่ได้วางไว้ด้วยความรอบคอบ (ไม่โลเล) จนกว่าแผนจะบรรลุตามเป้าหมาย หรือปฏิบัติไม่ได้จริง ๆ
แนวทางการสร้างพลังความเป็นผู้นำของ CEO (เสริมพงษ์ รัตนะ 2544, 83)
แนวทางการสร้างพลังความเป็นผู้นำของ CEO มีหลัก 9 ประการ คือ
1. ให้ความสำคัญกับคน ในฐานะที่เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด
2. ให้มีการชี้แจงจุดมุ่งหมายของการบังคับบัญชา และการควบคุม ผู้นำ จะต้องเป็นผู้รอบรู้มีความเชี่ยวชาญในงานขององค์การของคน และสนับสนุนให้ผู้ร่วมงานนำนโยบายไปปฏิบัติ
3. การสร้างสภาวะแวดล้อมผู้นำ โดยพิจารณาปรับโครงสร้างองค์การให้สะดวกต่อการส่งเสริมและให้โอกาสในการเป็นผู้นำ
4. พลังในการติดต่อสื่อสาร ผู้นำ ต้องมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารในลักษณะสื่อสารสองทาง (Two way communication) และมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ (EQ Emotion Quotient)
5. ความสามารถในการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น Internet เพื่อติดต่อกับบุคคลทั้งภายใน และภายนอกองค์การ
6. การเป็นที่ปรึกษาแก่ผู้ร่วมงาน
7. การมีผลงานที่ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรม โดยผู้นำต้องมีความรับผิดชอบ และมีระบบการควบคุมงาน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำงาน ให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
8. ความรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการ ผู้นำต้องสามารถผลักดันให้ผู้ร่วมงานทำงานสำเร็จตามเป้าหมายในลักษณะทีมงาน
9. การยอมรับต่อบุคคล ผู้นำต้องให้เกียรติต่อผู้ร่วมงานเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน และทำให้ทีมงานแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
หน้าที่ความรับผิดชอบทั่วไปของ CEO
โดยทั่ว ๆ ไป แบ่งได้ ดังนี้
1. ในฐานะผู้นำ
- ให้คำปรึกษาแนะนำกรรมการของหน่วยงาน
- เป็นตัวแทนขององค์กร ในการสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรอื่น และเป็นผู้แนะนำองค์กรให้ผู้อื่นรู้จัก
2. ในฐานะผู้บริหาร ผู้มองการไกล
- เป็นผู้รับรู้ข่าวสารใหม่ ๆ เกี่ยวกับองค์กรและบุคลากรเสมอ
- มองไปยังอนาคตเพื่อสร้างโอกาส
- มีการพบปะกันระหว่างผู้บริหารและบุคลากร
- มีการติดต่อกันระหว่างองค์กรและสังคมภายนอก
3. ในฐานะผู้ตัดสินใจ
- นำเสนอนโยบายและแผนงานแก่กรรมการบริหาร
- ตัดสินใจหรือแนะนำการปฏิบัติงานให้กับบุคลากร
4. ในฐานะผู้จัดการ
- บริหารจัดการองค์กร
- ปรับปรุงแผนงาน
- บริหารจัดการ ทรัพยากรบุคคลในองค์กร
- บริหารจัดการ เงิน และทรัพยากรทางกายภาพ
5. ในฐานะนักพัฒนา
- ช่วยในการคัดเลือกและประเมินสมาชิกของกรรมการบริหาร
- ให้คำแนะนำ ปรึกษา สนับสนุนการทำงาน
- สนับสนุนการประเมินกรรมการบริหารระดับสูง
หน้าที่หลักของ CEO
1. เป็นกรรมการบริหาร และสนับสนุนการทำงานขององค์กร
2. รับผิดชอบด้านการออกแบบ วางแผนการตลาด การประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการ
3. บริหารจัดการด้านการเงิน ภาษี การจัดการความเสี่ยง
4. บริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภายในองค์กร
5. การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์องค์กรให้เป็นที่รู้จัก
6. การจัดการด้านงบประมาณเพื่อการพัฒนาองค์กร
CEO กับ Knowledge Management
CEO ต้องเป็นผู้ให้ความสำคัญกับความรู้ เป็นผู้ที่สนับสนุนให้เกิดความรู้ขึ้นในองค์กร โดยเฉพาะความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นตัวผลักดันให้องค์กรเกิดการพัฒนาโดยกระบวนการในการจัดการความรู้ที่ CEO ต้องดำเนินการ คือ (Dauphinais 2000, 311-322)
1. การกำหนดว่าความรู้ใดเป็นความรู้ที่มีความสำคัญกับองค์กร และจำเป็นต้องใช้ในการทำงาน
2. การพิจารณาความรู้ที่จะจัดเก็บว่าจะนำไปใช้ในด้านใดบ้าง ซึ่งการจะทราบว่าความรู้ที่ได้จัดเก็บไว้นั้นจะนำไปใช้ในส่วนใด อาจพิจารณาได้จากหลายทาง เช่น จากลูกค้า จากบุคลากรในองค์กร เป็นต้น
3. การกำหนดวิธีการในการเข้าถึงความรู้ที่ได้ทำการจัดเก็บไว้ ซึ่งในส่วนนี้ต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการ
4. การกำหนดภาษาที่ใช้ในการจัดการความรู้ ควรเป็นภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย
5. การสร้างความรู้เสมือน คือ การสร้างแหล่งความรู้ให้สามารถเข้าใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา
6. สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในองค์กร
7. วัดผลที่ได้รับจากการสร้าง ระบบการจัดการความรู้ ที่ใช้ในองค์กร ซึ่งอาจวัดได้จากกำไรที่ทางบริษัทได้รับ
8. CEO ต้องสามารถคาดคะเนได้ว่าสิ่งที่ลงทุนไปนั้นจะเป็นสิ่งที่มีความคุ้มค่ากับองค์กร
9. CEO ต้องมีความกระตือรือล้นในการพัฒนาความรู้ขององค์กรอยู่เสมอ เพื่อให้องค์กรมีความรู้ใหม่ ๆ ในการพัฒนางาน
ที่มา กรมบัญชีกลาง
รวบรวมโดย นายไพบูลย์ ปะวะเสนะ บรรณารักษ์ 3 ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง (1 ธันวาคม 2547)
ความรู้และทักษะของ CEO
CEO เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในองค์กร ดังนั้นตำแหน่งนี้จึงต้องการบุคคลที่มีความสามารถดำรงตำแหน่ง ซึ่งความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนี้ ได้แก่
1. ความรู้ในด้านการบริหารจัดการและภาวะผู้นำ ได้แก่
- การบริหารจัดการตนเอง
- ความรู้และทักษะในการบริหารจัดการองค์กร
- สมรรถนะความเป็นผู้นำ
- ความสามารถในการบริหารจัดการ
2. ความรู้ในด้านการวางแผน ได้แก่
- การวางแผนทางธุรกิจ
- การวางแผนกลยุทธ์
3. ความรู้ด้านการบริหารจัดการ ได้แก่
- การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล
- การบริหารจัดการบุคลากร
- การบริหารจัดการกลุ่มภายในองค์กร
- การบริหารจัดการธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ
- การปรับปรุงองค์กรทางธุรกิจของตน
4. ความรู้ความสามารถในด้านการเป็นผู้นำ ได้แก่
- เป็นผู้นำของทุก ๆ คน
- เป็นผู้นำของกลุ่ม
- เป็นผู้นำขององค์กร
5. ความรู้ในด้านการจัดการกิจกรรมและทรัพยากรในองค์กร ได้แก่
- มีจริยธรรมในระบบการบริหารจัดการ
- การจัดการด้านการเงิน
- การจัดการด้านงบประมาณ
- การบริหารจัดการบุคลากร
- การบริหารจัดการกลุ่มในองค์กร
- การบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลง
- การบริหารจัดการผลิตภัณฑ์และบริการ
- การบริหารจัดการการตลาด และการประชาสัมพันธ์
- การคิดอย่างเป็นระบบ
บทบาทของ CEO
CEO ควรจะมีบทบาทสำคัญในด้านต่อไปนี้ (ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ 2545, 43-47)
1. เป็นผู้วางกลยุทธ์ ให้บริษัทอยู่รอดทางธุรกิจ และเจริญรุ่งโรจน์ต่อไป การวางกลยุทธ์ได้ดี ต้องวางอย่างมีวิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่จินตนาการ คิดปุ๊บแล้วสั่งให้ทำปั๊บ CEO จะต้องลงไปคลุกคลีกับงานจนรู้แจ้งแทงตลอด เข้าใจกระบวนการทั้งหมด จากนั้นจึงแสดงวิสัยทัศน์ชี้นำ และมอบหมายอำนาจให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำไปปฏิบัติ ไม่ใช่จะมากล่าวยกย่องกันเอง แต่คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานใหญ่ของเครือซี.พี. คือ ตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เพราะท่านทำงานชนิด