พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคลในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2544
ขอขอบใจท่านทั้งหลาย ที่ได้มาให้พรในวันนี้ โดยผ่านคำของนายกรัฐมนตรี ผู้ได้สรุปโดยสังเขป งานการที่ได้ทำมาเป็นเวลาเกิน ๕๐ ปี ซึ่งเป็นการสรุปที่กะทัดรัด ตั้งใจจะลงมา ก็อยากจะเล่าให้ฟังว่า โครงการบางอย่างก็เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ อย่างที่ได้กล่าวถึงโครงการ อ่างเก็บน้ำเขาเต่า คำว่า อ่างเก็บน้ำเขาเต่า นี่ก็ดูท่าทางโก้ดี เพราะว่าอ่างเก็บน้ำดูจะเป็นโครงการที่ใหญ่ แต่ที่จริงเป็นโครงการเล็กนิดเดียว และเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ได้แล่นรถไปเมื่อเป็นเวลาเกือบ ๕๐ ปี ที่ไปหัวหิน และแล่นรถไปตามชายหาด แล่นจนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านเขาเต่า บนหาดทราย และขึ้นไปบนบก บนฝั่ง บนบก และผ่านหมู่บ้านเขาเต่า ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง และเป็นหมู่บ้านที่ชาวบ้าน ไปเก็บหอยเพื่อหากิน เขาไม่ค่อยได้ทำการเพาะปลูก และแม้จะประมง ก็ไม่ได้ทำมากนัก โดยมากไปเก็บหอย เราก็แล่นไปตรงนั้น ข้ามหมู่บ้านแล้ว ก็มีทุ่ง คล้ายๆ เป็นทุ่ง ซึ่งเขาเรียกว่า ตะกาด ตะกาดนี้ เป็นพื้นที่ที่น้ำทะเลขึ้นถึง และเป็นโคลน เวลาน้ำลงก็เป็นโคลน เวลาน้ำขึ้นก็แฉะๆ เราก็แล่นรถจี๊ปไป แล่นๆ ไป ก็จมเลน มีชาวบ้านมาเข็นรถ ช่วยกันเข็น ทั้งทหาร และตำรวจ ก็มาช่วยกันเข็น จนกระทั่งข้ามไปอีกข้าง และไปเจอทาง ทางเกวียน เหมือนทางเกวียนข้ามไป จนกระทั่งอ้อมเขาเต่า ไปลงหาดทรายอีกแห่งหนึ่ง ที่เรียกว่า หาดปราณคลิคีรี
หาดปราณฯ นั้นน่ะ ได้แล่นรถไป จนกระทั่งถึงปากแม่น้ำปราณ ทั้งหมดนี้ ไม่ได้ไปเป็นครั้งเดียว แต่เป็นหลายครั้ง แต่การที่ข้ามตะกาดนั้น ก็เกิดความคิดว่า ตรงนั้นเป็นที่ที่เปล่าประโยชน์ เพราะว่าน้ำก็ไม่มีมากพอ ที่จะทำประโยชน์ แต่น้ำก็มีมากเกินไป ที่จะทำประโยชน์ จึงนึกว่า ถ้าสมมติว่า กั้นตรงทางที่น้ำทะเล น้ำเค็มเข้ามาปิดตรงทางเข้า สามารถจะเอาน้ำทะเลออกไป และกักน้ำจืดไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ ทั้งเป็นประโยชน์ในด้าน ที่จะใช้น้ำจืดนั้น เป็นน้ำสำหรับทำการเพาะปลูก และเป็นน้ำสำหรับทำการประมง จึงบอกกับอธิปดีชลประทาน ในขณะนั้น คือ ม.ล.ชูชาติ กำภู ให้ช่วยคิดทำกั้นตรงนั้น ทีแรกก็ ม.ล.ชูชาติก็ เห็นว่า ไม่ ไม่คุ้มไม่ดี เพราะว่าถ้าทำแล้วก็ ตรงนั้นอาจจะมีน้ำ แต่ว่าน้ำจะไม่ได้ทำประโยชน์อะไร บอกว่า ควรจะทำน้ำให้อยู่สูงกว่า แล้วก็กั้นตรงนี้ ใช้เป็นที่ทำการเพาะปลูก แต่ในเวลานั้น รู้สึกว่า โครงการที่อธิปดีชลประทานเสนอ เป็นโครงการที่ค่อนข้างจะสิ้นเปลืองมาก สิ้นเปลืองในขณะนั้น ในสมัยนั้น ว่าจะใช้เงินถึง ๑ ล้านบาท ซึ่งสำหรับเดี๋ยวนี้ คล้ายๆ ว่า ๑ ล้านบาทก็ขี้ผง ทำอะไร ทำอะไรไม่ได้ ๑ ล้านบาท แต่สมัยโน้น ๑ ล้านบาท นับว่าเป็น เป็นเงินจำนวนมาก ก็เลยบอกว่า เชื่อเถิดทำเป็นประตูน้ำ เป็นกั้นไว้ ซึ่งก็ทำได้ และสิ้นเปลืองน้อย นับว่าไม่มากนัก คือ ๖๐,๐๐๐ บาท ไอ้ ๖๐,๐๐๐ บาทนั้น มิได้เป็นเงินของ ของราชการ ไม่ได้เป็นเงินของส่วนรวม ของประชาชน เป็นเงินส่วนตัวที่ให้เขาไป ทำไปเถอะ ๖๐,๐๐๐ บาท ซึ่ง ๖๐,๐๐๐บาทก็ถือว่าไม่น้อย ถ้า แต่ถ้าทำได้ประโยชน์ดี ก็นับว่าเป็นประโยชน์มหาศาล ถ้าทำแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์ ก็ยังไม่เสียหายมากนัก และเงินงบประมาณไม่ได้เสียเลย
ในที่สุดก็ทำได้ นั่นเป็นปี ๒๕๐๖ เวลาทำแล้ว ฝนไม่ลง เพราะที่นั่นเป็นที่ที่แห้งแล้ง ที่เขาเต่านั้น เป็นที่ที่แล้งที่สุดในประเทศไทย ใครๆ บอกอีสานแล้ง จะต้องสร้างอีสานเขียว อีสานฝนลงมา มากกว่าที่นี่หลายสิบเท่า ที่เขาเต่าในสมัยนั้น ฝนตกเพียงปีละซัก ๑ วันหรือ ๒ วัน แต่ว่าในที่สุดน้ำก็ ได้เพิ่มขึ้นมาหน่อย แต่น้ำก็ยังกร่อยมาก จะเรียกว่ากร่อยก็ยังไม่ได้ เรียกว่าเค็ม เค็มทีเดียว เพราะว่าน้ำที่เข้ามาในนั้น คือน้ำเกลือ น้ำทะเล แล้วก็เมื่อน้ำทะเลเข้ามา เรากังกักเอาไว้ ตลอดปีมันก็ระเหย ระเหย น้ำมันระเหยไป เกลือไม่ระเหย ทำให้น้ำนั้นเค็มกว่า เค็มกว่าน้ำจืด เอ้อน้ำทะเล น้ำ น้ำทะเลกลายเป็นเหมือนน้ำจืด เลยไม่ทราบว่าจะทำยังไง ปีต่อไป ได้ไปที่ประจวบคีรีขันธ์ ที่คลองวาฬ ซึ่งมีสถานีประมงที่คลองวาฬ เขาเลี้ยงปลา ที่เป็นปลาทะเล เรียกว่า ปลานวลจันทร์ทะเล เขาจับปลานวลจันทร์เล็กๆ ที่อยู่ในทะเลเอามาขาย และสำหรับเลี้ยงใน ในบ่อ ซึ่งถ้าเลี้ยงในบ่อ น้ำมันจืดลง ปลานวลจันทร์ทะเลนั้น ก็เติบโตได้ เป็นอันว่า จะเป็นอาชีพสำหรับชาวบ้าน ไปซื้อมา เขาไม่ได้ซื้อ เราซื้อให้ ไปซื้อเอามาปล่อยในอ่างเก็บน้ำ และเมื่อปล่อยแล้วมันก็เติบโต เติบโตดี ปีหนึ่งมันเติบโตมาขายได้เป็นเงิน เป็นหลายแสน แต่ว่าชาวบ้านก็ไม่ค่อยสนใจ จึงเลิก ปลานวลจันทร์ทะเลมันไม่ มันไม่เติบโต เอ้อมันไม่แพร่พันธุ์ในบ่อ ในอ่าง มันจะแพร่พันธุ์ได้แต่ในทะเล แต่ก็ยังไงก็จับได้และค้าขายได้ ซึ่งถ้าสมมติว่า ไปซื้อมาแล้วมาปล่อยแล้วก็ดูแล และถึงเวลาก็ขาย ก็เป็นอาชีพที่ดี
มาถึงปีต่อไปนั้น ก็จับปลานวลจันทร์ทะเล ก็ได้จำนวนปลามากพอสมควร แต่ที่แปลกที่สุด ไปจับไปจับมาจับมา ได้จับได้ปลาที่เรียกว่า ปลาหมอเทศ ใครเอามาใส่ก็ไม่ทราบ ไม่มีใครยอมรับว่าเอามาใส่ แต่ก็ได้ปลาหมอเทศ ๑๕ ตัน ซึ่งก็นับว่า เป็นผลพลอยได้ที่ดี แต่ปลาหมอเทศนั้น คนไม่ชอบ บอกว่าปลาหมอไทยอร่อยกว่า ปลาหมอเทศนี่ของเทศ ใช้ไม่ได้ เราก็ไม่ได้ตั้งใจที่นำมาใส่ แต่ว่าปลาหมอเทศนี่ เราถือว่าเป็นผลพลอยได้ ก็เอาขึ้นมา และตั้งใจจะให้ตากแห้ง และทำป่น ทำเป็นปลาป่นสำหรับเลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด ชาวบ้านก็บ่นบอกว่าเหม็น เขาไม่เอาใจใส่เลย ฉะนั้นก็ เราก็กลายเป็นคนไม่ดี เอาของมาทำให้ ทำให้สกปรก ทำให้เป็น pollution ต้องบอก pollution เพราะว่าต้องพูดภาษาอังกฤษนะ ถ้า ถ้าพูดภาษาไทย ไม่มีใครเข้าใจ เป็น pollution ก็ไม่สำเร็จ ลงท้ายก็ไม่ ไม่เอาอีก เลยไม่ได้ไปที่เขาเต่านี้ เป็นเวลาแรมปี เพิ่งไปเมื่อ เมื่อ ๒ เดือน ไป ไปดูแล้วก็ คนก็ฮือฮากันว่า เป็นโครงการที่เก่าแก่ที่สุด เป็นโครงการชลประทานอันแรก ของพระเจ้าอยู่หัว ก็ถึงบอกว่าค่อนข้างจะบังเอิญ ที่ทำโครงการนี้ และก็ผล ผลที่ได้ ก็บังเอิญเหมือนกัน บังเอิญมี มีปลา แต่ลงท้ายผลก็ไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็นผลสำเร็จ แต่ทีหลังก็ที่ไปดู เลยกลายเป็นผลสำเร็จอย่างยิ่ง เพราะว่าไปที่นั่น ไปดูที่ ที่โรงเรียน ที่โรงเรียนนั้น ในครั้งโน้น มีโรงเรียนเล็กๆ มีครูคนเดียว แล้วก็มีนักเรียนไม่กี่คน เป็นที่ที่ลุ่ม ปลูกหญ้าให้เด็กวิ่งเล่นก็ไม่ขึ้น ได้ไป ได้ไปดูที่ตรงนั้น และมีผู้เชี่ยวชาญทางองค์การอาหาร และเกษตร ได้ไปด้วย ซึ่งเขาเป็นคนผู้เชี่ยวชาญ ทางเกี่ยวข้องกับดิน ก็ปรึกษาเขา ปรึกษาเขาว่าเป็นอย่างไร ดินที่นี่เป็นอย่างไร เขาก็อุตส่าห์ไปเอาที่เจาะ ไม่ใช่เครื่องใหญ่โต เป็นที่เจาะเหมือนสว่าน สว่านมือ ไม่ใช่ไฟฟ้า เจาะแล้วเอาขึ้นมา เขาก็ไปตรวจดู บอกว่าดินนี้แย่มาก ที่เขาเต่านี้สถานการณ์เรื่องน้ำ ก็ที่แย่ที่สุดในประเทศ ทั้งนี้สำหรับดินก็เป็นสถานการณ์ ที่แย่ที่สุดในประเทศเหมือนกัน เป็นดินที่ถ้าจะปลูกอะไร ไม่มีอะไรขึ้น เพราะว่าไม่มีอาหารสำหรับ ให้ปลูกพืชอะไรเลย ถึงหญ้าไม่ขึ้น
ก็มีวิธีที่จะแก้ไข วิธีแก้ไขก็ใช้เอาดินลูกรัง ซึ่งแต่ละคนก็คงได้เคยเห็น ดินสีแดงลูกรัง ไม่ ไม่ได้นึกว่าจะมาทำการเพาะปลูก เพาะปลูกได้ แต่ความจริงดินลูกรังนี้ มีอาหารที่ดีสำหรับพืชพอสมควร แต่ว่ามันไม่ขึ้น เพราะว่าไม่มีจุลินทรีย์ ที่จะมาช่วยให้พืชสามารถที่จะดูด ดูดเอาอาหารที่อยู่ในดิน ก็ไปเอาดินลูกรังมาจากเนิน ที่อยู่ข้างถนน ทางด้าน ด้านเนินที่อยู่ทางตะวันตก แต่ไม่ไกลนัก ก็เอาดินมาใส่ และก็ปลูกหญ้า ปลูกดอกไม้ ปลูกต้นไม้ก็ขึ้นได้ดี ทีนี้การที่ได้ไปเมื่อ เมื่อ ๒ เดือนนี้ ไปมิได้ไปสำหรับไปปลูกอะไร มิได้ไปสำหรับไปเลี้ยงปลา มิได้ไปสำหรับทำอะไร ที่จะเป็นเงินเป็นทอง แต่ไปสำหรับไปสอนเด็ก เอาเด็กไป แล้วไปให้เขาดู ว่าทำยังไง สำหรับตรวจดิน ว่าดินเป็นอย่างไร แล้วก็บอกเขาว่า นี่แหละเมื่อสมัยก่อนนี้ เมื่อ ๔๐ กว่าปีได้มาที่นี่ และได้มาเจอผล ได้มาเจอสถานการณ์ที่ไม่ดี สถานการณ์ที่ รู้สึกว่าแร้นแค้นมาก แล้วก็ชาวบ้านที่เขาเต่านี้ ไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร แต่เดี๋ยวนี้ เขาก็อยู่ดีกินดีพอสมควร ก็มาจากการพัฒนา พัฒนาให้ดินดีขึ้น ให้สถานการณ์ที่ใน ในละแวกนั้นดีขึ้น เขาก็ได้เห็นว่าเราทำอย่างไร ทั้งที่โรงเรียน ที่โรงเรียนนั้น ก็เป็นโรงเรียนเดี๋ยวนี้ มีนักเรียนมากขึ้น แล้วก็มีครูมากขึ้น ครูเดิมเขาก็ยังอยู่ แต่ว่าเป็นครูที่ปลดเกษียณแล้ว อายุ อายุมากหน่อย แต่ว่ายังแปลกใจ อายุยังไม่ นึกว่าจะเป็นคนแก่ แท้จริงเป็นหนุ่มๆ อายุตอนนั้น เดี๋ยวนี้ก็ซัก ๖๘ ก็หนุ่มๆ ๖๘ ก็เลยได้พบ หูตึง ไปคุยกับเขาลำบาก เราก็หูตึงเหมือนกัน เขาก็หูตึง ก็คุยไม่ค่อยได้ แต่ไม่เป็นไร เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เราก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็ไปดูอีกแห่งหนึ่ง อีกข้าง ซึ่งเคยเห็นว่าเขาไถลงมา ใช้เครื่องไถเป็นเนิน เป็นเนินที่ลงมาจากภูเขา ไถลงมาแล้วก็เมื่อมีฝน ดินก็ถูกทลายลงมาในอ่าง มันก็เสีย เสีย เสียหลายอย่าง ดินก็เสียหมด อาหารในดิน แล้วก็อ่างก็ตื้นเขิน นี่เป็นปัญหาที่เจอทั่วทั้งประเทศ ว่าทำไม่ดี คือไถสำหรับทำการเพาะปลูก แล้วก็ มันก็ทลายลงมา ทำอ่างเก็บน้ำทลาย ทลายดินลงมา ดินก็มาทำให้อ่างเก็บน้ำนั้นตื้นเขิน
นี่ก็ไปครั้งนี้ไปดูโครงการ คำว่าโครงการนี้ โก้ว่าเป็นโครงการ แต่ก็โครงการนี้ก็ได้เห็นว่า ทั่วประเทศ มีสิ่งที่ทำแล้วบกพร่อง ถ้าบกพร่อง จนกระทั่งทำให้ที่ตรงนั้น เจริญขึ้นไม่ได้ แต่ก็ ก็เจริญได้พอสมควร ก็เพราะว่ามีคนไปช่วย แต่ก็ยังไงก็ตาม ก็ได้ให้นักเรียนได้เห็นว่า ในที่ที่แร้นแค้น มันไม่เจริญขึ้นมาได้ อย่างที่ควรจะเกิดเจริญได้ เพราะว่าไปทำอะไร ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกหลักวิชา อันนี้ อะไรก็ตาม ทั้งนี้ก็อยากให้ เด็กเขาได้ทราบ ได้เห็น ก็เข้าใจว่า เขารู้ เขาได้เห็น และก็ได้เกิดความรู้ขึ้นมา และเขาจะต้องหาความรู้เองต่อไป ไม่ใช่ว่าจะไปบอก เราต้องทำอย่างนั้นๆ แล้วก็ เขาก็ทำ แล้วก็ได้ผล แต่นี่เขาให้เห็นกับตัว ตัวเขาเองได้เห็นว่า ในภูมิประเทศที่แร้นแค้น มันทำได้ เพิ่มขึ้น เพิ่มความเจริญได้ แต่ว่าที่ ที่คนไม่ค่อยอยากทำ มันก็เจริญไม่ได้ หรือเจริญช้า ถ้าเจริญช้า ก็เท่ากับว่าถอยหลัง ทั่วประเทศก็เป็นอย่างนี้ ซึ่งนายกฯ มาพูดตะกี้ว่า ทำงาน ๕๐ กว่า ๕๐ ปี มีโครงการเกิน เกิน ๒,๐๐๐ โครงการ โครงการนั้นน่ะ ๒,๐๐๐ โครงการนั้น ความจริง ๒,๐๐๐ มันน้อย ในประเทศน่ะ มีโครงการเป็นแสนเป็นล้าน แต่ว่าถ้าทำตามแบบที่ ที่เหมาะสมที่ถูกต้อง ไม่ต้องให้พระเจ้าอยู่หัวไปทำ ทำ ไม่ต้องแม้แต่นายกฯ ไปทำ ต้องทำ คนที่มีหน้าที่ทำ ก็ทำไป และเมื่อทำไป ถ้าอยากให้มีกำลังใจ เราก็อาจจะมาโอ้อวดกันนิดหน่อย ว่าในตำบลของตัว ทำอย่างนั้นๆ ดี ได้ ได้ประโยชน์ขึ้นมา ก็อันนี้ก็จะดี เพราะว่าคนที่ได้ทราบ ว่าชาวบ้านในตำบลโน้นๆ ได้ทำ และได้ประโยชน์ ก็มาอวดให้คน ที่ยังไม่มีความคิด ได้ทำบ้าง และอาจจะเชิญ ผู้ที่เขาทำได้สำเร็จมา มาดูในที่ที่ ที่ยังไม่สำเร็จ หรือยังไม่ดี หรือยังไม่รู้ว่า ควรจะทำอย่างไร อันนี้ก็เป็น เป็นเรื่องที่จะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าได้ ไม่ถอยหลัง
ซึ่งก่อนลงมานี้ มิได้ตั้งใจจะมาพูดเรื่อง เรื่องพัฒนา ตั้งใจจะมาพูดถึงเรื่อง เรื่องความหายนะ ซึ่งปัจจุบันนี้ ทุกคนทราบดีว่า ประเทศดูเหมือนว่า จะหายนะ ไม่ใช่ พัฒนะ ไม่ใช่วัฒนะ เพราะว่า เดี๋ยวนี้อะไรๆ ดูจะเสื่อมลง ทางนายกฯ ดูนั่งทำหน้ามุ่ย รู้สึก รู้สึกไม่พอใจที่บอกว่า ประเทศหายนะ แต่เป็นความจริง เพราะว่า ทำอะไรมันดูมีปัญหาทั้งนั้น แต่สำหรับท่านนายกฯ น่ะไม่มี นายกฯ Happy แต่ว่า Happy ข้างนอก ดูท่าทาง Happy แต่ข้างในไม่สบายใจ ก็ว่าไม่รู้จะทำยังไง เพราะว่าไม่ก้าวหน้า แต่ยังไง การก้าวหน้านั้น นายกฯ ก็ได้ให้สูตรไว้แล้วว่าทำยังไงให้ก้าวหน้า คือ จะต้องสามัคคีกัน ร่วมกันทำ แล้วถ้าร่วมกันทำ มันก้าวหน้าได้ แต่ถ้าไม่ร่วมกันทำ ไม่ ไม่มีทางก้าวหน้า แล้วข้อสำคัญเรามานึกถึงคำว่า ทัศนะของแต่ละคน ความคิดของแต่ละคน ก็มีความคิดดีทั้งนั้น แต่ว่าทัศนะของอีกคนหรือความคิด หรือเกณฑ์ของคนอื่น มันไม่เหมือนกัน ก็ขัดกัน ถ้าเรามีความคิดอย่างหนึ่งแล้วก็มาพูดกับอีกคน เขาบอกไม่ ไม่ถูก เขาก็มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าไม่ถูก แต่ตอนนี้เราจะทำยังไง ถ้าหากว่ามีความคิดใน ในงานอะไรอย่างหนึ่ง คนหนึ่งบอกต้องทำอย่างนี้ อีกคนบอกทำอีกอย่าง ขัดกัน มันจะสำเร็จได้อย่างไร มันไม่มีทางสำเร็จ แต่ว่าทางสำเร็จมันมี อยู่ที่จะต้องละทิฐิ ถ้าหากว่ามาพูดกัน และจะเห็นได้ว่ามีทาง ในงานอะไรก็ตาม ความจริงมันมีทางเดียว ไม่ใช่มีหลายทาง ถ้ามีหลายทาง บางทีก็มาดูดี ๆ มันก็ทางเดียวกัน ทางที่จะทำให้งานสำเร็จน่ะ ไม่ใช่มีหลายทาง มันมีทางเดียว แต่ความคิดไม่เหมือนกัน มีจับเกณฑ์ของตัวเป็นใหญ่ อีกคนหนึ่ง เขาก็มีเกณฑ์ของเขา ฉะนั้นจะต้องให้ปรองดองกันได้
คำว่า ปรองดอง คำว่า สามัคคี สำคัญมาก ต้องมาหาทางที่ ที่มารวมปรองดองได้ แต่ว่าที่เป็นอย่างนี้ คน ๒ คน ความคิดไม่เหมือนกัน มีไม่เหมือน มีให้เหมือนกันไม่ได้ คน คนแต่ละคนมีความคิดต่างกัน มีแนวชีวิตคนละอย่าง ได้เรียนรู้มาคนละอย่าง ได้มีประสบการณ์มาคนละอย่าง แต่ว่าถ้ามา มาสัมมนากันน่ะ เชิงปฏิบัติการ ก็จะสำเร็จได้ แล้วไอ้คำเชิงปฏิบัติการนะ ต้องปฏิบัติ ถ้าทำสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ อย่างวันนี้นะ ไม่ใช่สัมมนาเชิงปฏิบัติการ นี่แหละพูด และพูดอยู่คนเดียว ถ้ามาพูดกัน คุยกัน และปฏิบัติ นี่ก็เป็น เป็นสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แต่ว่าการ การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แบบที่เราทำๆ กัน มันไม่ใช่ มันก็ ขอโทษนะ เป็นการไปเที่ยว ไปเที่ยวรถไฟน่ะ ก็มันไม่ถูก ถ้าหากว่าพูดกันให้รู้เรื่อง นั่นจะมีประโยชน์ ถึงต้องดูว่า แต่ละคน มีความคิดแตกต่างกัน ต้องพยายามที่จะให้ ความคิดนั้น ความแตกต่างนั้น มาปรองดองกัน
แต่อีกอย่างหนึ่งที่จะพูด จะพูดแล้วก็แต่ละคนก็จะต้องโกรธตัวเอง ไม่ใช่โกรธคนอื่น อย่างคนที่ มีความคิดอย่างหนึ่ง แล้วก็ไปเจอคนที่มีความคิดอีกอย่าง ก็โกรธเขา รู้สึกโกรธ รู้สึกเคือง ว่าทำไมเขาไม่ ไม่มีความคิดเหมือนกัน ไอ้ไม่มีความคิดเหมือนกันน่ะ มันเป็นไปได้ แต่ที่น่าโกรธที่สุดก็คือ ตอนนี้เราคิดอย่างนี้ พรุ่งนี้เราคิดอีกอย่าง ขัดกันเอง ขัดกับตัว ตัวเราเอง ในตัวเราเองน่ะขัดกัน นี่ไม่รู้ว่า มาคิดมา ๓ วันแล้ว ว่าจะแปลเป็นภาษาไทยว่ายังไง คือว่า แปลไม่ได้ หมู่นี้ฟังแต่ภาษาอังกฤษ ฟังภาษาไทยไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เพราะว่า ไปฟังวิทยุไทยก็มี ภาษาอังกฤษ ทีนี้ก็เป็นเรื่องของการ เอ๊ะเดี๋ยวนี้ภาษาอังกฤษ ชักจำไม่ได้อีกแล้ว จำไม่ได้จริงๆ คือ สมองชักจะเลือน มันอายุมันมาก ก็เลยมีเรื่องของความคิดที่ขัดกัน มีคนละมาตรฐาน เขาเรียกภาษาอังกฤษ ว่า double standard double ก็สองอย่าง standard ก็เกณฑ์ เกณฑ์หรือมาตรฐาน มาตรฐานที่มี ๒ อย่าง คือหมายความว่า เราคิดว่า สำหรับตัวเราอะไรดี แล้วก็บอก แต่ว่าไปพูดกับอีกคน ไปพูดอีกอย่างว่า อันนั้นเป็นดีสำหรับเขา เป็น double standard อย่างสำหรับเราคนไทยถือว่า ทำอะไรอย่างนะดี แต่เราไปบอกว่าของ ของต่างประเทศเขาพูดอย่างนั้น เขาไม่ดี เนี่ยเรามี double standard ไอ้คำว่า double standard เนี่ย มันทำให้ ทำให้ความเจริญไม่เกิดขึ้น แต่ว่าอาจจะนึกว่า ความเจริญเกิดขึ้นได้ เพราะว่าเราไปต้มเขาได้ เราไป เราไปหลอกเขาได้ แต่ความจริง double standard นี้มีทั่ว ทั่วไป ทั่วโลก ไม่ใช่เมืองไทย เมืองไทยไม่เคย ก่อนนี้ไม่มีเท่าไหร่ double standard ต่างประเทศมีมากกว่า แต่ว่าเดี๋ยวนี้เมื่อ อย่างที่ว่าพูดภาษาฝรั่ง เราก็ต้องมีบ้าง
ดังนั้นการที่แก้ไขความเดือดร้อน ความหายนะ จะต้องดูว่าไอ้ double standard นี่ เราจะมาปราบได้ยังไง แล้วก็ขอ ขอให้ท่านไปคิดเป็นการบ้าน ว่า double standard นี่ภาษาไทยเขาเรียกอะไร คือคิดมา ๓ วัน ๓ คืน เวลาหลับก็ ก็คิด ตื่นมาก็เอ๊ะ ตะกี้คิดอะไร มันไม่รู้เลย ไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ว่ามาปรารภว่า ถ้าเราไม่ใช้ double standard ใช้ความตรงไปตรงมา จะ จะแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่ถ้ายังใช้อยู่ รู้สึกว่าจะไม่มีความเจริญ คนที่มี double standard อาจจะมีความเจริญของ ของเขาได้ แต่ว่าถ้าเรามี double standard ในตัวเราเอง เราขัดขาตัวเอง คือเดิน ๆ ไป ถ้าเดิน ๆ ไปขามันขัดกัน เราไปขัดขาคนอื่นไม่เป็นไร คนอื่นเขาหกคะเมน แต่ถ้าเราขัดขาตัวเอง ไม่มีปัญหาเราต้องหกคะเมน เพราะว่าตัวเราเอง เราไปขัดขาคนอื่น คนอื่นน่ะหกคะเมน เราอาจจะไม่หกคะเมนได้ แต่ถ้าไปขัดขาคนอื่น เราอาจจะหกคะเมนก็ได้เหมือนกัน ฉะนั้นไอ้การมี double standard ในตัวเอง อันนี้เป็นอันตรายที่สุด อันนี้ต้องขอให้ท่านไป ลองแปลว่า คือแปลว่าอะไร อันนี้ที่เป็นความเดือดร้อนในจิตใจ และความไม่สบายใจ ว่าสมัยนี้กำลังถอยหลัง เพราะว่าใช้ double standard ในตัวเราเอง หรือในประเทศเราเอง ถ้าไปใช้ double standard กับคนอื่นหรือประเทศอื่น ก็แล้วไป ไม่เป็นไร เขาอาจจะเสียหาย แต่เมื่อเขาเสียหายเขาก็โกรธเรา เราก็เสียหายเหมือนกัน เขาตีหัวเรา เราไปขัดขาคนอื่น คนอื่นเขาก็โกรธ เขาก็โกรธเขาก็มาตีเรา อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา
แล้วก็ที่มาถึงนี่แล้วก็นายกฯ ก็ได้ชมว่าทำให้ส่วนรวมได้ดีขึ้น ก็ดี ดีใจ ที่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น แต่ว่าไอ้ความเดือดร้อนที่เดินลงมา อยากจะมาพูดกับท่านว่า เราต้องพยายามแก้ไขให้ความถอยหลังที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ในปัจจุบันนี้จะต้องแก้ไขให้เดินหน้า ให้ก้าวหน้า และให้มีความรุ่งเรืองต่อไปได้ มาถึงฟังดู ว่านายกพูดในนามของท่านทั้งหลายว่ามีความพอใจ ก็ดีใจชั่วขณะ ดีใจมากว่า โอ้ เราทำดี แต่มาคิดกลับไปที่เราตั้งใจจะมาปรารภ ก็กลุ้มใจ ถึงต้องพูดให้ ฝากให้ทุก ๆ ท่าน ไม่ใช่รัฐบาลเท่านั้น คนอื่นทุกคนว่า ต้องพยายามแก้ไข ไม่ให้ขัดขากันเอง ไม่ให้ขัดขากันเองโดยนึกตั้งใจว่า นึกจะได้ดี ฉะนั้น ต้องพยายามเข้าใจคำนี้ แล้วเอาไปแปลให้ดี แล้วก็ปฏิบัติ มานึกดูว่า Standard ก็คือ มาตรฐาน ดับเบิลก็ ขัดกัน คือ มาตรฐานที่ขัดกัน แต่ว่าถ้าขัด ๒ บุคคล ขัดกัน ก็เกิดทะเลาะกันได้ แต่คนบุคคลเดียวกันขัดกันก็อาจจะเดือดร้อนในตัว คือ ตัวเราน่ะมี อาจจะมีหลายตัว หลายคน ลืมว่า เราพูดอะไรตะกี้ เสร็จแล้ว เรามาขัด ขัดกัน เราก็เสียหาย อันนี้พูดย้ำ เพราะว่ามันเป็นจุดที่ค่อนข้างจะสำคัญ อันนี้ก็ พูดอย่างนี้ เพราะว่า ได้ยินตะกี้ว่า นายกฯ ชมว่าทำตั้งแต่เขาเต่า เราก็ตั้งใจที่จะมาเล่าให้ฟัง เรื่องอะไรที่ไม่ ไม่ดี สิ่งที่โสโครก วันนี้ดูท่าทางพูดอะไรไม่ค่อยดีหรอกครับ สิ่งที่โสโครก เมื่อ ๒๐ กว่าปี ๒๐ กว่าปีนั้น ก็ได้คิดถึงว่า สิ่งโสโครกที่ลงมาจากบ้าน แล้วก็ทาง เขาให้ทางเทศบาลมาดูดมาสูบไป แล้วก็ไป ไปทิ้งในที่ที่สมควร นี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อ ๒๐ ปี ได้คิดดูว่า ว่าที่เขา เจ้าหน้าที่ที่เขาไปดูดสิ่งโสโครก จากบ้าน แล้วเขาเอาไปไว้ที่ไหน เป็นปัญหา ก็ไปสืบดู เขาก็บอกว่าสูบเอาไป และเอาไปทิ้งในที่ที่เหมาะสม ไอ้ที่ที่เหมาะสมนั้น ไม่ทราบที่ไหน ก็ตามรถที่เขาเอาสิ่งโสโครกนั้นไป ตาม ตามรถนั่นไป แล่น ๆ ไปตอนกลางคืน มันก็ไม่ค่อยเห็น แต่มันแล่นไป ไปจอดที่คลองหรือที่แม่น้ำ จอดสักพักหนึ่ง ปล่อยลงคลอง ปล่อยลงแม่น้ำ เสร็จแล้วก็ในรถนั้น ก็ไม่มีสิ่งโสโครกแล้ว เป็นสำเร็จประโยชน์ เรียบร้อย สะดวกดี ไม่ต้องไปไกล ไปดูดที่บ้านที่อีกแห่งหนึ่ง
เกิดจากเหตุอย่างนี้ จึงเกิดความคิดว่า ถ้าหากว่า หาที่แห่งหนึ่ง นอกเมือง แล้วก็ไปทำถัง เอาสิ่งโสโครกนี่ ไปปล่อยใส่ในถังนั้น แล้วก็หมัก หมักไป ๑๐ วัน สิ่งที่เป็นสิ่งโสโครก ก็หายโสโครก มีเชื้อโรค เชื้อโรคอะไรล่ะ หมดไป ๑๐ วันก็หมดไป ถ้าให้ดี เอาเป็น ๒๘ วัน ให้ ให้มันจริง ๆ จัง ๆ โสโครกพวกเชื้อที่ร้ายแรง ที่เวลานั้นยังมีอยู่ ก็คงไม่ต้องบอกชื่อ ก็คงคนรังเกียจ ชื่อพวก สิ่งโสโครกเหล่านั้นคือ เป็นพวกเชื้อโรคต่าง ๆ ชนิด หมดไม่มี แล้วแม้แต่กลิ่นก็หมด ไปใส่อย่างนั้นแล้ว เสร็จแล้ว เอาออกมา มาตาก แล้วก็ใช้ ที่เป็นวัตถุนั้น มาใช้เป็นปุ๋ยได้ เป็นประโยชน์ มีส่วนที่เป็นสิ่งผลิตที่เป็นของแข็ง เป็นของแข็ง และสิ่งที่เป็นน้ำ น้ำก็เป็นปุ๋ย ปุ๋ยที่ไม่เหม็น ไอ้สิ่งของแข็งนั้นก็เป็นปุ๋ยที่ไม่แข็ง ไม่ ไม่เหม็น เมื่อเอาไปใช้แล้วเอาทำถังหลายถัง ก็เอาสิ่งโสโครกมาใส่อีกต่อไป ก็จะทำเอาของที่โสโครก และของที่ปฏิกูลมาใช้เป็นประโยชน์สำหรับการเกษตร ใช้ได้ ได้ปรึกษากับผู้ที่รู้ และได้ไปทำโครงการอันนั้น ที่นนทบุรี ๒๐ กว่าปี และก็เขาก็รายงานว่า ได้ผลดี มาเมื่อ ๒-๓ เดือน ก็เกิดคิดนี้ ก็ถามว่า เดี๋ยวนี้เป็นยังไง เขาบอกโอ้ยยังมี วิธีทำอย่างงี้ แต่ที่นนทบุรี ไม่มีแล้ว คงเป็นเพราะว่า เมืองมันขยายไป นนทบุรีนี่ เป็นที่ที่ เป็นที่ที่มีคนไปอยู่อาศัย ไม่ได้เป็นที่สำหรับการเกษตร แต่ว่าเขาไปทำที่อื่น ในจังหวัดอื่น ๆ ทำไปทำมา ก็เจอว่า ที่หัวหินก็มี ก็ให้คนไปดูที่หัวหิน แต่ปรากฏว่า ที่หัวหินไม่ค่อยสำเร็จ ไม่ดี เพราะว่าไปทำ แล้วก็มีคนมา มาสร้างบ้านอยู่รอบ นาน ๆ ไปคนที่สร้างบ้านอยู่รอบนั้น ก็เป็นใหญ่ บอกว่า ทำไมเอาสิ่งปฏิกูลมาทิ้งไว้ตรงนี้ มันเหม็น มันแย่ เขาก็ยังดีไม่เดินขบวนมาหารัฐมนตรี แต่ว่าจวนแล้ว เพราะว่าเขาบอกว่า อยู่ไม่ได้ ที่จริงเขาไม่ได้ แต่ก่อนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นั่น แต่เขามา มาอยู่ มาสร้างบ้านที่มาอยู่อาศัยที่รอบโครงการปฏิกูลนี้ ก็ตกลง โครงการปฏิกูลนี้ ตอนนั้นลงทุนถึง ๒ ล้านบาท เราไม่ได้ลงทุนหรอก เขาลงทุนเอง ควบกับเทศบาลหัวหิน แต่ว่ามีที่อื่นที่ยังพอใช้ได้ โครงการแบบนี้ ฉะนั้น ก็โครงการที่ทำอย่างนี้ ก็เป็นโครงการที่ส่วนมากท่านทั้งหลายคงไม่มี ไม่ได้เคยได้ยินว่า มีโครงการอย่างนี้ ทำขึ้น สิ่งปฏิกูลมาเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ว่าก็ต้องทำเหมือนกัน
เวลานี้ก็มีปัญหาที่ในกรุงเทพฯ ก็เคยพูดแล้ว ว่าในกรุงเทพฯ นี่ เอาของมาจาก จากต่างจังหวัด ที่เขาปลูกต่างจังหวัด ปลูกแล้วก็มาบริโภค มาบริโภคแล้ว ขอโทษ ถ่ายออก ถ่ายออก มาแล้วก็ ไอ้ที่ถ่ายออกนี่มันไปไว้ที่ไหน ก็ยังมีปัญหา ว่าจะทำปัญหาอย่างนี้ อันนี้ เทศบาล เทศบาลเป็นทุกข์ ก็ต้องพยายามที่จะพิจารณาว่า จะทำอะไรต่อไป พูดถึงเทศบาล ท่าน ท่านผู้ว่าฯ สมัคร ตอนนั้นน่ะมาบอกว่า จะทำโครงการสำหรับสุนัขเทศบาล สุนัขเทศ แต่ได้ข่าวว่าท่านได้ทำ ไปทำการทำหมันกับสุนัข แล้วเมื่อทำหมันสุนัขแล้ว ก็ปล่อยออกมาตามถนน แต่ปล่อยมาตามถนนนั้น ก็ขอโทษ มันเกิดเดือดร้อน เกิดเดือดร้อน ๒ อย่าง อย่างหนึ่ง ไอ้สุนัขที่ออกมานั้น มันก็วิ่งไปวิ่งมาถูกรถชนมันก็เกิดปฏิกูลน่ะสิ ก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่ว่าที่ท่านไปทำหมันน่ะ ที่แย่อีกอย่าง ก่อนที่จะปล่อยออกมาท่าน ท่านตัดหู ท่านตัดหูสุนัข ให้รู้ว่าเขาทำหมันแล้ว ไอ้นี่มันไม่รู้จะทำยังไง เราไปเจอสุนัข ที่หูแหว่ง อ้านี่แหละทำหมัน ทำหมันแล้ว ทำหมันสมัคร ขอโทษนะ (ทรงพระสรวล) ก็ได้ยินว่าอย่างนี้ แต่ก่อนนี้สุนัข ไปซื้อที่เมืองนอกมานะ เมื่อห้าสิบปีนั้น ตอนนั้นไปซื้อสุนัขเมืองนอกแล้วก็ สุนัขนั้นเขาตัดหู ไม่ใช่เพราะทำหมัน เขาไม่ได้ทำหมัน สุนัขที่ที่ซื้อมาเขาตัดหู และที่ตัดหูนั้นไม่ได้ทำหมัน รู้มา เพราะว่าเป็นพ่อแม่ของสุนัขที่รู้จักกันวันหลังว่า โจโฉ ตัวนั้นเป็นสุนัขที่มีชื่อเสียงมาก แต่เสียไปแล้ว ตายไปแล้วหลายปี บางก็คนอาจจะจำได้ ว่าโจโฉนั้นน่ะพ่อแม่เขาหู หูแหว่ง ไม่ได้ เขาตัด ตัดหู แต่ไม่ได้ทำหมัน โจโฉ น่ะไม่ได้ตัด ไม่ได้ตัดหู ไม่ได้ทำหมัน แต่ว่าโจโฉก็เขา เขาไม่ได้มีบุตร ไม่มีลูก แต่ยังไงก็ตาม ของเทศบาลสุนัขที่ตัดหูแหว่ง ไม่ได้ตัดหู แบบ แบบพ่อแม่โจโฉ มีสุนัขของคุณสมัครนี่ มีลูกไม่ได้เพราะว่าไปทำหมันเขา เราไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร สำหรับให้ ให้รู้ว่านี่เป็นสุนัขสมัคร แต่ว่าอย่าให้มัน สุนัขบางตัวก็น่ารัก สวย แต่หูแหว่ง ไม่มีใครอยากไปเลี้ยง แต่ถ้าสุนัขที่ทำหมันแล้วได้ดูแลเกี่ยวข้องกับ กับอนามัยสุขภาพของเขา มีคนอยากได้ คนอยากได้ไปเลี้ยง มี และแม้จะอยู่ กลางถนนมีคนไม่ใช่คนหรูหราอะไร มีคน พวกแท๊กซี่ พวกอะไรนั่น เขาก็เลี้ยงดู เพราะว่าเขา คนไทยนี่เมตตา แต่สงสัยว่า ถ้ามันหูแหว่ง เขาอาจจะไม่เอา
ถ้างั้น เราขอ ขอฝาก ว่าไปหาวิธีที่จะแก้ไข มีสัตวแพทย์คนนึง พบเมื่อวานนี้เอง เขา เขาบอกว่า ไม่น่าจะตัดหูให้แหว่ง ใส่ไมโครชิพให้รู้ ก็บอกเขาไมโครชิพนี่มันสิ้นเปลือง ทำให้หูแหว่งปึ๊บเดียวก็ง่ายกว่า แต่ว่าไมโครชิพนี่ ก็ที่จริงเขาบอกว่าไม่แพง และมีคนที่จะบริจาคไมโครชิพ แต่มันไม่เห็น คนมาค้านว่า ใส่ไมโครชิพมันไม่เห็น เดี๋ยวไปที่ไหนต้องเอาเครื่องไปตรวจว่า นี่ไมโครชิพหรือเปล่า แต่เขาทำ เมืองนอก เขาทำ เขาเอาสุนัขที่เร่ร่อนแล้วก็มาใส่ไมโครชิพ มาใส่แล้วมี มีเบอร์ว่า มันเบอร์อะไร ๆ รู้หมด ก็คนที่อยาก อยากดูว่าคนนี้ทำหมันเมื่อไหร่ ชื่ออะไร ก็เอา เอาเครื่องมา มาจิ้มดู แล้วก็ไปถามคุณสมัครว่า ทำ ทำหมันเมื่อไหร่ ชื่ออะไร เป็นพันธุ์อะไร ก็เป็นพันธุ์เทศ หมาเทศ เป็นหมาเทศ เทศบาล นี่แล้วก็ต้องพยายามที่จะหาวิธีที่จะกำจัด เลิกไม่ให้มีหมาเร่ร่อน เสียหาย แต่ว่าหาวิธีที่จะให้สุนัขพวกนี้ ได้ไปมี มีเจ้าของ เจ้าของเขา เขาก็เอ็นดู เขาก็ดูแลได้ อย่างของเราที่นี่มี มีหมาเทศอยู่เยอะเลย เดี๋ยวนี้มีถึง ๔๓ แล้ว ที่ที่มีอยู่นี่ ที่นี่คือ เฉพาะที่อยู่ใน ในปกครอง ๔๓ แล้วก็มี ๔๓ เพิ่งมาใหม่ ๗ แต่นี่เป็นหมาเทศ เอ้อไม่ใช่สิ หมาต่างประเทศ หมาต่างประเทศก็มาจากหมาเทศ เพราะว่าอย่างที่เล่า เล่าให้ฟังว่าเรามีหมาเทศ คือหมาที่มีชื่อเสียงดีมาก คือหมาชื่อทองแดง อ้ารู้จักกันนะ ทองแดงนี่เป็นหมาเทศ เพราะมาจากเทศบาลแท้ ๆ นี่แท้ ๆ เกิดในเทศบาล คือว่า ตอนที่เขาจับ จับสุนัขไป แล้วก็มีคนที่ถือตัวว่า ถือว่าเป็นเจ้าของและอยู่ในซอยก็ไป ไปที่เทศบาล เอาคืนมา เมื่อเอาคืนมาได้ แม่ของทองแดงเนี่ย ทองแดง ยังไม่เกิด แม่ของทองแดงมาด้วย แถมมา ทองแดงนี่เป็นหมาเทศพันธุ์แท้ พันธุ์แท้แท้ทีเดียว แต่ว่าทองแดงนี่เป็นต้นตำหรับของหมา หมาต่างประเทศที่มาเกิด ๗ ตัว เขา ๗ ตัวนี่ พ่อก็เป็นชาวต่างประเทศ แม่ก็เป็นชาวต่างประเทศ แต่ลูกเป็นหมาเทศ ลูกเป็นหมาต่างประเทศ แต่เขา เขาเกิดในเมืองไทย ก็มีมีสัญชาติเป็นไทย เป็นชาวไทย ตกลงก็ที่นี่มีหมา หมาต่างประเทศ ๓ แล้วก็มีหมาเทศ ๔๐ มี ๔๐ ท่าน
ต้องบอกท่านเพราะว่าเขามีเกียรตินะ ก็เลยจะไม่ ไม่ได้ทำหูแหว่ง กลัวว่าเดี๋ยว ผู้ว่าฯ สมัครมา แล้วไปด้อมดู โอ๊ยนี่ไม่แหว่ง นี่ไม่แหว่ง นี่ไม่แหว่ง นี่จับเอาไปเลย แล้วให้ท่านทำอย่างไร ต้องหาวิธีการ วิธีการอย่างหนึ่ง ห้ามไม่ให้คุณสมัครไปดู ไม่ให้ไปดูที่คอกหมา ก็จะได้ปลอดภัย แต่คุณสมัครเข้าไปในตรงนั้นต้องมีบัตร ต้องติดบัตร บัตรนี้ บัตรพวกนี้ไม่ได้ ใช้ ไม่ได้ เข้าในเขตนั้นไม่ได้ เข้าในเขตนี้ได้ ก็นี่แหละเป็นการทำระเบียบให้เรียบร้อย พูด พูดเลยเถิดไป ค่อนข้างจะ จะมากไปหน่อย แต่ว่าที่ท่านมานี่ ก็รู้สึกว่าให้มีความรื่นเริง แล้วก็ให้พยายามที่จะพูดกันให้รู้เรื่องกัน ถ้าพูดกัน รู้เรื่อง เมืองไทยคงจะดีขึ้น ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง ซึ่งเดี๋ยวนี้มันพูดมันไม่รู้เรื่องจริง ๆ เพราะทำไม เพราะแต่ละคน มีทิฐิของตัว แม้จะตัวเองก็มีทิฐิกับตัวเอง ก็ใช้ไม่ได้ ก็อันนี้บอกเป็น เป็นปริศนา ก็ไม่อยากจะบอกว่า ใครไม่ดี หรือใคร ใครทำไม่ดี ใครทำไม่ถูกนะ ไม่มีใครทำไม่ถูก ทุกคนทำถูก ก็ตาม ตามหลักของตัว ตัวเราทำถูก ตัวเราทำต้องทำถูก ไม่มีทำไม่ถูก นอกจากบางคนที่เขา แหมข้าพเจ้ารู้ดีว่าไม่มีไม่ดีอย่างนั้น ๆ แต่ว่าคนที่ทำบอกว่าข้าพเจ้าทำไม่ถูก เกือบไม่มี ส่วนมากน่ะข้าพเจ้าทำถูกทั้งนั้น แต่ถ้าบอกว่าข้าพเจ้าทำถูก อีกคนบอกท่าน พณฯ ทำไม่ถูก เอ๊ย ไม่ใช่ พณฯ ท่านทำไม่ถูก ก็ มันก็ขัดกัน มันขัดกัน แต่ว่าถ้าคนนึงบอก ข้าพเจ้าทำ ก็มีบ้าง ทำไม่ถูกก็มีบ้าง อีกคนก็บอก ท่านก็บางทีก็ทำ ทำถูก เพราะว่า เข้าใจกันได้ ถ้าเข้าใจกันได้แล้ว คนในเมืองไทย ๖๐ เท่าไหร่ ๖๒ ล้าน ถึงป่านนี้ก็กว่าแล้ว ก็สามารถที่จะปรองดองกัน สร้างความมั่นคง ใน ในประเทศ คนอื่นก็ชั่งมันล่ะ ชาวต่างประเทศ ชาวบ้านต่างประเทศ เขาก็เข้า ๆ ออก