ในสมัยของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ( ร่วมสมัยกับรัชกาลที่ 5 ของไทย ) รัสเซียประสบปัญหาความยุ่งยากเป็นอันมาก เพราะต้องเข้าสู่สงครามถึงสองครั้ง ครั้งแรกเป็นสงครามกับคนเอเชีย คือ คนญี่ปุ่น ผลของสงครามครั้งนั้นทำให้พระราชอำนาจของพระองค์เสื่อมถอยลง เพราะรัสเซียพ่ายแพ้สงครามแก่ญี่ปุ่น พอถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งรัสเซียเข้าเกี่ยวข้องด้วยนั้น ก็มีผลกระทบกระเทือนมาถึงราชบัลลังก์ของพระองค์ด้วยเหมือนกัน เพราะความพ่ายแพ้ในสนามรบทำให้ประชาชนซึ่งมีเรื่องเดือดร้อนเสื่อมความนิยมในรัฐบาลของพระองค์ ทั้งนี้เนื่องจากขาดแคลนอาหารและภาวะเงินเฟ้อ จนกระทั่งนำไปสู่การปฏิวัติของพวกบอลเชวิกเป็นระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และการสำเร็จโทษกษัตริย์รัสเซียและราชวงศ์ที่ใกล้ชิดทั้งหมด ( จนเป็นปมปัญหาที่ถกเถียงกันในทางประวัติศาสตร์ว่าพระโอรส พระธิดาของพระเจ้า
ซาร์นิโคลัสที่ 2 สิ้นพระชนม์ทั้งหมดจริงหรือไม่ ถ้าจริงแล้วพระอัฐิศพอยู่ที่ใด เพราะมีผู้มาอ้างตัวเป็นพระนางอนาสตาเซีย พระธิดา และคนอื่นๆอีกหลายคน – จะนำมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป )
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่รัสเซียจะเข้าพัวพันกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ราชวงศ์โรมานอฟยังมีเรื่องวุ่นวายเสื่อมเสีย เพราะอลัชชีผู้หนึ่ง นามว่า “รัสปูติน” ซึ่งมีเรื่องราวดังต่อไปนี้
กริกอริ รัสปูติน เกิดเมื่อ พ.ศ. 2374 ( สมัยรัชกาลที่ 3 ของไทย ) เกิดในครอบครัวเกษตรกรบ้านนอกของไซบีเรีย โดยเป็นบุตรคนที่สามของอีฟิม อากอฟเลวิช และแอนนา อีกอรอฟน่า ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองโปดรอฟสโกยี ( สันนิษฐานว่า ครอบครัวนี้อาจเป็นพวกมองโกลจากเมืองโตบอลสก์ ) ในตอนเป็นหนุ่ม รัสปูตินมีความกระหายที่จะเป็นแบบเกษตรกรผู้ที่ทำงาน ดื่มเหล้าหนัก และเสเพลเรื่องผู้หญิง ขนาดอวัยวะเพศอันผิดมนุษย์มนาของเขาเป็นที่ชื่นชอบขอเด็กสาวๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมาดูเขาเปลือยกายว่ายน้ำในสระเช่นเดียวกับพวกเธอ ( บางตำราที่กล่าวถึงรัสปูติน อ้างว่า รัสปูตินมีอวัยวะเพศยาวถึง 13 นิ้ว !!! ) วันหนึ่ง ไอริน่า แดนิลอฟว่า คูบาชอฟว่าภรรยาสาวสวยของนายพลรัสเซียร่วมกับสาวใช้ 6 คน ร่วมกันล่อลวงเด็กหนุ่มรัสปูตินอายุ 16 ปีไปเสียตัว หลังจากเหตุการณ์ครานั้นแล้ว รัสปูตินจึงเริ่มเที่ยวโสเภณีในหมู่บ้านเกิดของเขา
เมื่อถึงอายุ 20 ปี รัสปูตินแต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ ปราสโกเวีย เฟโอ โดรอฟน่า ดูโบรวิน่า และเป็นพ่อของเด็กสี่คน สามคนมีชีวิตอยู่จนเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเที่ยวโสเภณีอยู่
จากการได้ร่วมสนุกทางกามารมณ์กับเด็กสาวนาไซบีเรียสามคน ซึ่งเขามีโอกาสพบขณะไปว่ายน้ำเล่นที่ทะเลสาบนั้นเอง ได้ชักจูงให้รัสปูตินรู้ถึงความหลายหลากในศาสนา ในราว พ.ศ. 2443 เขาก็ได้ร่วมกับนิกายนอกรีตนอกรอยที่เรียกว่า นิกายคลิสติ กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา ดังนั้น พวกเขาจึงประกอบพิธีอันพิลึกพิลั่นหลายอย่างเกี่ยวกับความวิตถารในทางกามารมณ์และการบูชายัญ ผู้คนในบ้านเกิดของรัสปูตินไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมเหล่านี้ จึงขับไล่
รัสปูตินให้ต้องเร่ร่อนไปทั่วชนบทของรัสเซีย เพื่อประกอบการเยียวยารักษาโรค และชักชวนผู้หญิงในแดนเถื่อนให้เข้าร่วมพิธีกรรมอันวิตถารพิธีกรรมเหล่านี้ประกอบด้วยการดื่มเหล้า การร้องเพลง การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเป็นหมู่คณะ ( สวิงกิ้งนั่นเอง ) ในทุกๆ แห่งที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นป่า ( โปรดนึกภาพตามว่าสภาพจะเป็นอย่างไร ) ยุ้งข้าว หรือกระท่อมของสาวกคนใดคนหนึ่ง หลักนิยมของ
รัสปูตินในการไถ่บาปผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์นั้น ทำให้สตรีมากมายที่ศรัทธาในนิกายนี้ต้องบำเรอความสุขให้เขาเสียก่อนเป็นขั้นแรก แม้ว่ารูปโฉมของ “ นักบุญจอมราคะ ” แสนจะสกปรกเลอะเทอะ โรเบิร์ต แมสซี่ นักเขียนอัตชีวประวัติจึงบันทึกไว้ว่า “ การร่วมเพศกับคนบ้านนอกที่ไม่ได้อาบน้ำ หนวดเคราและมือสกปรก ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านอย่างใหม่ขึ้น ”
ในปี พ.ศ. 2448 รัสปูตินได้เข้ามาตั้งมั่นอยู่ในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก ( เมืองหลวงในขณะนั้น ) รัสปูตินได้บรรเทาอาการโรคโลหิตไหลไม่หยุด ( ฮีโมฟีเลีย ) ของเจ้าชายอเล็กซิสได้ เป็นที่ชื่นชมของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และซารีน่า อเล็กซานดร้า ผู้เป็นพระราชมารดาเป็นอันมาก รัสปูตินจึงอาศัยอิทธิพลของซารีน่าแผ่อิทธิพลและสร้างเรื่องอื้อฉาวทางกามารมณ์จนเป็นที่กล่าวขวัญในเมืองหลวง มีสตรีสมัยใหม่จำนวนมากมายในนครหลวงที่ตกเป็นทาสกามของรัสปูตินอย่างเต็มใจ บางครั้งสามีของสตรีเหล่านี้กลับเอาไปคุยโวโอ้อวดว่าภรรยาของตน “ เป็นสมบัติของรัสปูติน ผู้มีความสามารถอย่างเหลือเชื่อ ”
เขาจัดตั้งสำนักขึ้นในที่พักแบบห้องชุดของเขา และบรรดาสุภาพสตรีก็จะชุมนุมกันอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารเพื่อรอการเชิญเข้าไปในห้องนอนซึ่งเขาเรียกเอาเองว่า “ ห้องศักดิ์สิทธิอันเป็นที่หวงห้าม ” ตามธรรมดาแล้วรัสปูตินจะอยู่ในห้องอาหาร แวดล้อมไปด้วย “ สานุศิษย์ ” ที่น่ารักน่าใคร่ บางครั้งคนใดคนหนึ่งในพวกเหล่านี้จะขึ้นไปอยู่บนตักของเขาและเขาจะลูบไล้เส้นผมของเธอ พลางกระซิบแผ่วๆ ถึงความเป็นคนถือสากปากถือศีล และความลึกลับของการกลับฟื้นคืนมาใหม่ ต่อจากนั้นเขาก็จะตั้งต้นร้องเพลง ในตอนท้ายสุภาพสตรีก็จะร่วมร้องเพลงด้วย ในไม่ช้าการร้องเพลงก็จะแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันไปสู่การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งก่อให้เกิดตัณหาหน้ามืดและต้องเข้าไปใน “ ห้องศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่หวงห้าม ” ในการชุมนุมครั้งหนึ่งที่กรุงเซนต์ปีเตอร์-เบอร์ก รัสปูตินได้โพล่งพรรณนาราวกับตาเห็นถึงการสมสู่ของม้า แล้วเขาก็คว้าสตรีผู้มีชื่อเสียงซึ่งเป็นแขกรับเชิญคนหนึ่งเข้าเต็มแรง และกล่าวว่า “ มาเถอะ นางฟ้าที่รักของฉัน ”
คนที่เต็มใจเป็นคู่ขาในทางกามารมณ์ของรัสปูตินมีอยู่หลายคน แต่มักจะไม่ปรากฏนามอย่างเปิดเผย ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูงหรือผู้มีชื่อเสียง เช่น นักแสดงหญิง ภรรยาทหาร และเมื่อไม่มีใครอื่นที่จะใช้ระงับตัณหาราคะอันมหาศาลของเขาได้แล้วละก็ สาวใช้ในโรงแรมหรือโสเภณีก็ได้ สุภาพสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดของรัสปูติน คือ องค์ซารีน่า นั่นเอง สำหรับองค์ซารีน่าแม้จะไม่ถึงกับตกเป็นทาสสวาท แต่ก็มีลายพระหัตถ์อันเพราะพริ้งถึงรัสปูตินให้คำมั่นว่าจะ “...จูบมือของพระคุณเจ้าและแนบศีรษะของลูกกับไหล่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณเจ้า...” ผู้หญิงซึ่งรัสปูตินผู้อดทนมากที่สุดคือ ภรรยาของเขาเอง ปราสโกเวีย ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานกับการนอกใจของเขามาชั่วชีวิตโดยไม่ปริปากบ่น หล่อนเพียงแต่ยักไหล่และพูดอย่างใจกว้างว่า “ เขามีเพียงพอสำหรับคนทั้งหมด ”
ในปีพ.ศ. 2457 พวกชนชั้นสูงที่มีความคิดแบบจารีตนิยมได้ร่วมมือกันลอบฆ่ารัสปูติน คนที่ลอบฆ่าได้เชิญรัสปูตินมาเลี้ยงอาหารในตอนเที่ยงคืน และได้ใส่ยาพิษลงในขนมเค้กและเหล้าองุ่น เมื่อรัสปูตินมีอาการงุนงงมากขึ้นทุกทีเพราะกินยาพิษเข้าไป เจ้าชายเฟล็กซ์ ยูสซูปอฟ ( เป็นเกย์ ) หนึ่งในฆาตกรก็ฉวยโอกาสนั้นหาประโยชน์ทางกามารมณ์ที่ตนชอบนั้นทันที แล้วยิงซ้ำ 4 นัด รัสปูตินล้มลงแต่ยังไม่ตาย ฆาตกรอีกคนหนึ่งจึงใช้มีดเฉือนอวัยวะเพศของรัสปูติน แล้วโยนไปอีกด้านหนึ่งของห้อง หลังจากนั้นจึงมีการทุบตีรัสปูตินซ้ำลงไป แล้วจับมัดแล้วโยนลงแม่น้ำเนวาอันเยือกเย็น ทำให้รัสปูตินจมน้ำตายไปในที่สุด
สำหรับอวัยวะเพศของรัสปูตินที่ถูกโยนไปนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บ “ สิ่งที่ถูกเหวี่ยงทิ้ง ” ไปให้แก่สาวใช้คนหนึ่ง และปรากฏว่าได้พบตัวสาวใช้ผู้นั้นที่ปารีสในปี พ.ศ. 2511 หล่อนยังเก็บรักษา “ สิ่งที่ดูคล้ายกล้วยหอมซึ่งงอมจัดจนดำไปหมด ” ไว้ในหีบไม้ขัดมันและนี่ก็คือตำนานของ “ รัสปูติน ”
ภาพและที่มา www.bloggang.com