:: ประวัติย่อ ::
ชื่อจริง นายนที สุทินเผือก
ชื่อการแสดง กรุง ศรีวิไล
สถานภาพ มีบุตรทั้งหมด 5 คน จาก 3 ภรรยา โดยภรรยาคนปัจจุบันชื่อ พรรณวิภา มีบุตรด้วยกัน 2 คน
“ชีวิตในวัยเด็กก่อนจะเข้ามาตะเกียกตะกายตามหาฝัน ก็เหมือนเด็กหนุ่มๆ ทั่วไป มีเกเรไปบ้าง มีช่วงทำผิดพลาดไปบางหน แต่ก็เป็นไปตามวัย ซึ่งใครหลายคนก็เคยผ่านห้วงเวลาแบบนี้มา...” เขาเล่าว่า... ในอดีตทางบ้านมีฐานะไม่ค่อยดี จึงลำบากตั้งแต่เด็ก แต่พ่อแม่ก็ส่งลูก ๆ ให้ได้เรียนทุกคน ตนเองจึงมองเห็นความสำคัญของการศึกษา ตอนนี้ก็ลงทะเบียนเรียนด้านนิเทศศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเกริก
ส่วนการเรียนในวัยเด็ก เริ่มเรียนตั้งแต่ชั้นประถมฯที่โรงเรียนบางพลีน้อย หลังจากนั้นก็ต่อชั้นมัธยมปลายในตัวอำเภอ โดย “อาศัยวัด” เป็นที่พักจนเรียนจบ และเมื่อเรียนจบ ม.6 ตามชั้นสมัยก่อน ก็ไปต่อที่โรงเรียนในตัวจังหวัด พอผ่านชั้น ม.7 ยังไม่จบประโยคคือ ม.8 ก็ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนช่างกลปทุมวัน แต่ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น บวกกับเป็นคนรักเพื่อน ติดเพื่อน ทำให้เรียนได้เพียง 2 ปีเศษก็มีอันต้องถูกให้ออกกลางคัน เจ้าตัวเล่าว่า... ช่วงนั้นอยู่ปี 3 แล้ว พอดีมีเพื่อนชวนไปเที่ยวเชียงใหม่ ด้วยความที่เป็นคนไปไหนไปกัน ก็ไปเลย เงินค่ารถก็ไม่มี ใช้วิธีโบกรถไปตลอดทาง พอไปถึงก็หาเงินโดยวิธีการ “ชกมวย” “เที่ยวจนเพลิน จนกลับมาสอบไม่ทัน ก็เลยโดนให้ออกทั้งหมด”
หลังจากต้องออกจากช่างกลปทุมวัน เคว้งคว้างอยู่พักหนึ่ง แต่ก็คิดได้ว่าต้องเรียนเพิ่มเติม ก็เลยไปเรียนภาษาอังกฤษ และพิมพ์ดีด โดยหวังที่จะได้หางานทำ เพราะวุฒิแค่ ม.7 คงหางานยากแน่ๆ ต่อมาก็ได้รู้จักกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งได้ฝากฝังให้เข้าทำงานในกรมศุลกากร เป็นฝ่ายติดต่อราชการ งานด้านชิปปิ้ง ตอนที่เริ่มงานอายุเพิ่งจะ 17-18 ปีเท่านั้น ทำงานอยู่ได้ 4 ปีก็เริ่มหาลู่ทางทำธุรกิจ โดยตัดสินใจ “เปิดร้านขายผ้าไหมส่งออก” ที่โรงแรมแมนดาริน ต่อมาตัดสินใจทำธุรกิจเพิ่มโดย “เปิดร้านจิวเวลรี่” แต่พอย่างเข้าปีที่4 กิจการเริ่มไปไม่ไหว เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนก็หนีไปฮ่องกงพร้อมกับเงินสดในร้าน สุดท้ายกิจการก็ต้องปิดตัวลง...จนทำให้ชีวิตพลิกผัน มีโอกาสได้เข้าสู่ “วงการบันเทิง”
“ชื่อ กรุง ศรีวิไล เป็นชื่อที่ใช้แสดงในหนังเรื่องแรกที่เล่น คือเรื่อง ลูกยอด โดยแสดงคู่กับ นางเอกหมายเลข 1 ของเมืองไทยในยุคนั้นคือ เพชรา เชาวราษฎร์” หลังจากหนังเรื่องแรกออกฉายในวันที่ 13 ต.ค. 2513 ชื่อ “กรุง ศรีวิไล” ก็ติดทำเนียบดาราเมืองไทย และมาดังแบบช้างก็ฉุดไม่อยู่เมื่อเล่นหนังเรื่อง ทอง ภาค1 กับเรื่อง ชู้ และเรื่องชู้นี้เองที่ทำให้เขาประทับใจไม่ลืม เพราะทำให้ได้ “รางวัลตุ๊กตาทอง” ที่สำคัญคือเป็นปีสุดท้ายที่ดาราได้รับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอีกรางวัลที่ยังอยู่ในความทรงจำไม่ลืมเช่นกันก็คือ “รางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมของเอเชีย” จากภาพยนตร์เรื่องทอง ภาค 1 ที่ส่งไปประกวดที่ไทเป หรือไต้หวันในปัจจุบัน ซึ่งยิ่งส่งให้ชื่อของกรุงดังเป็นพลุแตก
กรุง ศรีวิไล กลายเป็นอีกหนึ่ง “พระเอกคิวทอง” แห่งยุค รวมแล้วเขาได้เล่นหนังมากมายจนนับแทบไม่ถ้วน อาทิ.. ลูกยอด (2513), ตามรักตามล่า (2515), สะท้านกรุง (2515), ชู้ (2515), ทอง ภาค 1 (2516), สวรรค์เวียงพิงค์ (2516), อีหนู (2516), จ้าวทุ่ง (2516), ขัง 8 (2517), รสรักลมสวาท (2517), ผู้ชายขายตัว (2517), กราบที่ดวงใจ (2517), ตัดเหลี่ยมเพชร (2518), รักข้ามโลก (2519), ซุปเปอร์ลูกทุ่ง (2520) เป็นต้น
เอ๊ดดี้-กรุง ศรีวิไล ได้ฉายาว่าเป็น “พระเอกอินเตอร์” จากการที่ได้เล่นหนังประกบกับดาราต่างประเทศบ่อยๆ เช่นเรื่องทองที่แสดงร่วมกับเกริก มอริส และคริส มิตชั่น พระเอกจากฮอลลีวู้ด ในเรื่องตัดเหลี่ยมเพชร เป็นต้น แล้ววันหนึ่งจากพระเอกอินเตอร์ก็เปลี่ยนเป็น “ซุปเปอร์ลูกทุ่ง” เจ้าตัวเล่าที่มาที่ไปของฉายานี้ว่า... ตอนนั้นไปแสดงหนังให้ ฉลอง ภักดีวิจิตร เรื่องรักข้ามโลก โดยเรื่องนี้จะต้องไปถ่ายทำกันที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ก่อนที่จะเดินทางไปถ่ายทำหนังเรื่องรักข้ามโลกก็มีผู้สร้างหนังหลายคนต้องการให้แสดงหนังให้ แต่ต้องปฏิเสธไปเพราะให้คิวกับหนังเรื่องนี้ก่อนแล้ว ผู้สร้างหนังจึงไม่พอใจ เพราะผู้สร้างหนังบางคนได้ไปกู้เงินมาเตรียมทำหนังไว้แล้ว ซึ่งการที่ผู้สร้างหนังไม่พอใจเขา ก็ทำให้เขาเกิดอาการน้อยใจผู้สร้างหนังเช่นกัน ก็เลยบอกไปว่า... “เลิกเล่นหนังดีกว่า !!”
หลังจากนั้นชื่อ “กรุง ศรีวิไล” ก็หายไประยะหนึ่ง แต่ต่อมาไม่นานก็มีคนตามตัวเพื่อให้เล่นหนังเรื่อง “ซุปเปอร์ลูกทุ่ง” ซึ่งเล่นคู่กับ ป๋าต๊อก หรือ ล้อต๊อก ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับพระเอก กรุง ศรีวิไล ในมาดใหม่ คือมาดของนักร้องลูกทุ่ง จนเป็นที่มาของฉายา “พระเอกซุปเปอร์ลูกทุ่ง” “ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะดังได้ เพราะเรื่องซุปเปอร์ลูกทุ่งฉีกแนวไปเลย ในยุคนั้นหนังทำเงินต้องเป็นหนังบู๊ มีพระเอกประกบคู่ แต่เรื่องนี้มีเราเป็นพระเอกคนเดียวคู่กับป๋าต๊อก แต่กลับดังระเบิด”
หลังจากหนังดัง พระเอกก็ดังในมาดนักร้อง ก็เริ่มมีการออกโชว์ตัวตามจังหวัด ซึ่งเมื่อเห็นว่าแนวนี้น่าจะไปได้สวย ก็เลยลงทุนสร้างวงดนตรีโดยใช้ชื่อเดียวกับหนัง คือ “ซุปเปอร์ลูกทุ่ง-กรุง ศรีวิไล” ในยุคนั้นวงดนตรีของเขาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่แพ้วงดนตรีของนักร้องอาชีพอย่าง ยอดรัก สลักใจ, เพลิน พรมแดน หรือแม้แต่ สายัณห์ สัญญา ที่ยุคนั้นดังมาก “เรียนร้องเพลงก็ไม่ได้เรียน ร้องเพลงก็ไม่เป็น ขึ้นเวทีไปร้องถูกบ้างผิดบ้าง แต่คนดู-คนฟังก็ชอบ ส่งเสียงเชียร์กันดังไปหมด” ...กรุงเล่า
เดินสายเล่นดนตรีอยู่ได้ 5 ปี 8 เดือน เขาก็ตัดสินใจยุบวง เพราะคนดูเริ่มอิ่มตัว หลังจากที่ไม่ได้ทำวงดนตรี ก็อยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก อาศัยมีเพื่อนเยอะก็พอแก้เหงาได้มาก หยุดพักงานบันเทิงไป 5 ปี กรุง ศรีวิไล ก็หวนกลับคืนวงการอีกครั้ง โดยเริ่มจากจอแก้ว ตอนแรก ๆ ก็รับเล่นละครแนวจักรๆ วงศ์ๆ การกลับเข้าสู่วงการมายาอีกครั้ง อดีตพระเอกคิวทองยอมรับว่า...ไม่โดดเด่นเหมือนเก่า เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป มีดาราหน้าใหม่เข้าสู่วงการมากมาย จึงต้องพลิกคาแร็กเตอร์จากพระเอกอินเตอร์เป็น “บทตัวร้าย” “แม้จะเล่นเป็นผู้ร้าย แต่เราก็มีหลักการผู้ร้ายในแบบของเรานะ คือบทค้ายาเสพติด ค้าผู้หญิง เตะผู้หญิง ไม่เล่นเด็ดขาด ถึงจะให้เงินมากแค่ไหนก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะรักษาภาพพจน์พระเอกนะ แต่ไม่ชอบ ก็เท่านั้น”
จนถึงปัจจุบัน กรุง ศรีวิไล ก็ยังคงมีงานแสดงอยู่ตลอด ที่กำลังจะได้ชมกันเร็ว ๆ นี้ก็มี อังกอร์ ภาค 2, เหล็กไหล, ดวง, สุภาพบุรุษตีนควาย, บอดี้การ์ดแดดเดียว
และนอกจากงานแสดงแล้ว เขายังมีงานประจำคือเป็นผู้จัดการทั่วไป บริษัท A.G.Car และยังเป็นผู้จัดการหมู่บ้านจัดสรรที่บางใหญ่ หมู่บ้านเมืองเพชรวิลเลจ 5 และยังเป็นประธานกรรมการของสถานตากอากาศไทรโยก ริเวอร์วิว รีสอร์ทด้วย ซึ่งก็เหมือนกับย้อนอดีต เพราะก่อนจะเป็นดาราเขาก็ทำงาน-ทำธุรกิจมาก่อน
